One-Shot · Original Fiction

In the silent thought of lone Feng bird

         

          น้องสาวของข้าเป็นที่รัก

          มันเป็นเช่นนั้นเสมอ

          นางถอดแบบใบหน้าและนิสัยของท่านแม่มาไม่ผิดเพี้ยน คงจะมีเพียงดวงตากระมังที่เหมือนท่านแม่อีกหนึ่งของข้าและนาง ทั้งรอยยิ้มรวมถึงน้ำเสียงสดใสนั่นทำให้ไม่เคยมีผู้ใดปฏิเสธคำร้องขอของนางได้สักครั้ง กระทั่งประชาราษแห่งหลงเทียนฟางก็ต่างรักนางเฉกเช่นความเคารพเทิดทูนของพวกเขาที่มีต่อท่านแม่

          องค์หญิงรอง หลงเฉิงหลิง

          รัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังค์มังกรต่อจากท่านแม่

          ในขณะที่ข้า―หลงอันเฟิ่ง

          องค์หญิงใหญ่ในจักพรรดินีหลงอันเหวิน

          คงเป็นเพียงภาพสะท้อนของผู้ให้กำเนิดอีกตนจากต่างฝากดินแดน จอมมารผู้ปกครองบัลลังค์ลิเทอรอสแห่งตะวันตก เวพาร์ ซัลลิแวน

          จะด้วยสีผมก็ดี หรือแม้กระทั่งดวงตาก็ดี ข้าไม่ได้รับสิ่งใดมาจากท่านแม่อันเหวินเลยยกเว้นเค้าโครงรูปหน้าและเขามังกรบนศีรษะ และข้าคิดว่านั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านแม่เอ็นดูข้าไม่น้อยไปกว่าน้องสาวฝาแฝด แม้ในยามนั้นท่านแม่จะดูโรยแรงลงจนน่าใจหายเหลือเกินก็ตาม

          ท่านแม่รักเวพาร์จนสามารถยกนางขึ้นเคียงกับหลงเทียนฟางของท่านได้ทีเดียว

          ในส่วนนี้ข้าเพียงแค่อยากเอ่ยถึง—ข้ายกย่องความมั่นคงของท่านแม่เสมอ ท่านมีเพียงรักเดียวในชีวิตนี้ ถึงจะผ่านการแต่งงานทางการเมืองและมีบุตรมาก่อน ทว่าท่านหาได้รักใคร่คู่แต่งงานผู้นั้นไม่ จนกระทั่งชีวินอันยืนยาวในฐานะจอมมารพาท่านมาพบกับราชาทรราชย์จากลิเทอรอส

          ช่วงเวลานั้นแค่งานในการปกครองหลงเทียนฟางก็เยอะพอควรแล้วสำหรับสุขภาพของท่านแม่ ท่านจึงได้มอบหมายให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายคอยเป็นหูเป็นตาในการดูแลข้าและเฉิงหลิงแทน

          ข้ารู้จักนาง―คงต้องพูดว่าข้าจำนางได้ขึ้นใจมากกว่า

          หงลู่ซือ 

          นางเป็นธิดาของผู้ซึ่งทรยศต่อตำหนักมังกรของท่านแม่ หากแต่ หง นั้นเป็นแซ่ใหม่ของนาง ท่านแม่เปลี่ยนแซ่เพื่อล้างมลทินให้แก่ลู่ซือผู้นี้ก่อนขึ้นรับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้าย ตัวข้าเองก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าแซ่เก่าของนางนั้นคืออะไร คงรอวันที่ท่านแม่จะบอกข้าเอง หรือไม่…ท่านก็คงบอกเฉิงหลิงที่เป็นคนสืบทอดบัลลังค์ของหลงเทียนฟาง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

          เป็นระยะเวลาไม่น้อยเลยที่ลู่ซือเจียดเวลาทำงานมาใช้ในการดูแลข้าและน้องสาว จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี นางพร่ำสอนระบบการปกครองของตะวันออกในส่วนยิบย่อยที่ท่านแม่ไม่สามารถถ่ายทอดมันลงมาได้เนื่องด้วยสภาพร่างกายจักพรรดินีมังกรเริ่มทรุดลงแล้ว เดิมทีพวกข้าไม่ได้อยู่แค่ตะวันออก หากแต่สลับไปมาระหว่างตะวันตกด้วยเช่นกัน เพื่อใช้เวลาอยู่กับมารดาอีกหนึ่งของเรา

          ข้าอยู่ที่ตะวันออกต่อได้อีกไม่นานก็ต้องเดินทางไปยังตะวันตกที่เวพาร์ปกครอง โดยครั้งนี้จำต้องทิ้งเฉิงหลิงเอาไว้เพื่อสานต่อบทเรียนจากลู่ซือในฐานะจักพรรดินีมังกรตนต่อไป สถานที่ที่ข้าจำเป็นต้องอยู่หาใช่หลงเทียนฟาง

          หากทว่าเป็นลิเทอรอส 

          ข้าเองก็ไม่ทราบว่าท่านแม่ทั้งสองใช้อะไรตัดสินว่าข้าควรปกครองที่ใด แล้วเฉิงหลิงควรปกครองที่ใด จากที่ข้าได้ยินพวกมังกรเฒ่าจากสกุลต่างๆพูดคุยภายในโถงที่ประทับของท่านแม่มานั้น แดนตะวันตกสืบทอดบัลลังค์กันด้วยพลัง ใครแข็งแกร่งที่สุดก็ได้หัวโขนกษัตริย์ผู้สูงศักดิ์และภาระอันหนักอึ้งไป อาจเกี่ยวเนื่องด้วยข้าเป็นบุตรีคนโต รวมถึงเป็นลูกผสมจากจอมมารทั้งสอง พลังที่ครอบครองหาใช่เป็นรองใคร

          ภาระหน้าที่ในดินแดนตะวันตกคงหนักหนาเกินกว่าจะให้น้องสาวของข้ามาปกครอง ท่านแม่รู้ดีว่านางมีนิสัยอย่างไร และด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มนั่นแล้ว…คงไม่เหมาะที่จะปกครองลิเทอรอส ทว่านางจะเป็นแรงสนับสนุนที่ดีของข้าในการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างประจิมและบูรพา

          ผู้ปกครองดินแดนทั้งสองที่เป็นฝาแฝด ความสัมพันธ์ของบ้านเมืองย่อมดีขึ้นตาม เท่ากับเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว

          แต่นั่นเป็นเพียงการคาดเดาของหลงอันเฟิ่งผู้นี้เท่านั้น

          กินเวลาไปอีกหลายปีที่ข้าอาศัยอยู่ที่ลิเทอรอสกับเวพาร์ รู้ในสิ่งที่ควรจะรู้ ปฏิบัติในสิ่งที่ควรปฏิบัติ เพื่อในสมกับฐานะว่าที่จอมมารรุ่นที่ 14 แห่งประจิมนคร เวลาว่างสุดน้อยนิดของข้าหมดไปกับการอ่านตำราที่หน้าหนังสือเยอะยิ่งกว่านิยายน้ำเน่าของท่านแม่อันเหวินเสียอีก 

          ชั่วขณะที่ข้าเผลอเหม่อลอยจากหน้าหนังสือเกี่ยวกับการทำการค้าระหว่างอาณาจักรนั่นเอง―มีความคิดหนึ่งตกตะกอนลงภายในจิตใจของข้า

          ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ใบหน้าของผู้ที่อยู่ฝั่งบูรพาซึ่งข้านึกถึงไม่ได้มีเพียงท่านแม่หรือเฉิงหลิง

          ตั้งแต่เมื่อใดกันที่มังกรตนนั้นขยับแนบเบียดพื้นที่ในหัวใจของข้า

          ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ข้ารู้สึกสนใจหงลู่ซือ

          ข้าคิดเพียงแค่มันคงเป็นความคิดชั่ววูบกระมัง สำหรับตัวข้าแล้วความรักนั้นแทบไม่ใช่สิ่งจำเป็นอันใดในการดำรงชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะในฐานะองค์หญิงใหญ่แห่งหลงเทียนฟาง หรือในฐานะหลงอันเฟิ่งก็ตาม

          และตะกอนความคิดที่กล่าวถึงก็ไม่ถูกกวนขึ้นมาอีก จนกระทั่งข้ากลับไปยังตะวันออกเพื่อเยี่ยมไข้ท่านแม่ และพบเข้าอีกหนึ่งความจริงที่ทำเอาหัวใจของข้าหล่นวูบตกไปยังตาตุ่ม

          เฉิงหลิงเองก็เช่นกัน

          นางหลงรักหงลู่ซืออย่างไม่ต้องสงสัย

          คงไม่มีสิ่งใดเจ็บปวดไปกว่าการชมชอบหญิงสาวคนเดียวกันกับน้องสาวแท้ๆของตัวเองแล้วกระมัง ข้าขบฟันคิดอยู่นาน ใจหนึ่งก็อยากจะครอบครองลู่ซื่อผู้นี้ไว้เพียงแค่คนเดียว ทว่าอีกใจข้ารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถทนต่อหยาดน้ำตาของน้องสาวได้เป็นแน่ สุดท้ายแล้วข้าก็หลีกทางให้นางได้เป็นผู้สานสัมพันธ์กับเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งตำหนักมังกร

          หากครั้งนี้ข้ารู้ซึ้งแล้ว―ท่านแม่ยามถูกเวพาร์เมินเฉยเจ็บปวดเพียงใด

          ข้าเคยคิดว่าความรู้สึกนี้จะไม่สลักลึกและจางหายไปตามกาลเวลา ทว่ายิ่งข้าได้เห็นใบหน้าประดับรอยยิ้ม ยิ่งข้าได้สดับฟังคำพูดหวานหูที่นางพูดกับน้องสาวของข้า เวลานั้นคล้ายมีบางสิ่่งผูกรัดดวงใจของข้าเอาไว้ กระตุกปมไม่กี่ครั้งก็ทลายกำแพงที่ข้าเคยมีให้แตกกระจายออกมาอย่างง่ายดาย

          ทว่าน้ำตานั้น สำหรับข้าแล้ว..มันสมควรถูกซ่อนเร้นเอาไว้ ต่อหน้าผู้อื่นข้ายังคงเป็นองค์หญิงใหญ่ผู้ไม่สนใจสิ่งใดไปกว่าการเล่นสนุกกับน้องสาว นำพาเสียงหัวเราะให้แก่ใครหลายๆคน แม้คนอื่นจะไม่สังเกตเห็นแววตาที่หม่นลงของข้า หากท่านแม่ทราบถึงมันเป็นอย่างดี

          ท่านมีประสงค์เรียกข้าไปพบ คราแรกข้าคิดว่าคงถึงเวลากลับไปยังตะวันตกแล้วงั้นหรือ ข้าเพิ่งมาอยู่ได้ไม่ถึงปีดีเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อฝ่ามือของท่านแม่ถูกวางลงบนเรือนผมของข้าพร้อมคำเอ่ยคล้ายเสียงกระซิบ ข้าก็ไม่สามารถสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป

          ‘เหนื่อยมากหรือไม่ ลูกมังกรน้อยของแม่’

          ‘อยู่กับแม่ เจ้าไม่จำเป็นต้องปิดกั้นอารมณ์ใดๆ เฟิ่งเอ๋อร์’

          ในวันที่ข้าแตกสลาย ยังคงมีอ้อมกอดของท่านแม่คอยประคับประคอง ประกอบชิ้นส่วนของหลงอันเฟิ่งกลับขึ้นมาใหม่ดั่งเช่นวันวาน

          หากแต่ข้าไม่รู้—ไม่รู้เลยว่าอ้อมกอดนี้จะอยู่กับข้านานเท่ากี่เหมันตฤดู

          การเข้าเฝ้าท่านแม่อันเหวินเป็นหนึ่งในสองสิ่งที่ทำให้ข้าสามารถลืมเรื่องของหงลู่ซือไปได้บ้าง อีกหนึ่งคือการอ่านหนังสือในหอตำราของท่านแม่ ข้าพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับท่าน บางครั้งท่านก็เล่าเรื่องราวครั้งเก่าให้ฟัง ว่าในชีวิตอันยืนยาวล่วงเกินกว่าหลายพันปีของการเป็นมารดาแห่งหมู่มวลมังกรนั้นประสบพบเจอสิ่งใดมาบ้าง และบางครั้งข้าก็ต้องเร้นกายออกจากห้องนอนของท่านแม่ในยามที่เวพาร์ต้องการยึดครองอ้อมกอดของท่านไว้เพียงผู้เดียว

          ตอนนี้เองที่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับข้า

          เฉิงหลิงเข้ามาจับจูงมือ พาข้าไปเดินเล่นยังศาลากลางน้ำใกล้กับตำหนักของท่านป้าอันเหยียน ในหัวของข้ามิมีความคิดอะไร ช่างแสนว่างเปล่า รู้สึกแค่นางอาจจะคิดถึงข้า หรืออยากไปเที่ยวเล่นด้วยกันเหมือนสมัยที่ข้ายังไม่ต้องย้ายไปลิเทอรอส

          หลังทั้งข้าและนางนั่งลงบนศาลาแล้วเฉิงหลิงก็ชวนข้าคุยเรื่อยเปื่อย เบาสมอง ข้าเองก็เออออไปกับนาง ปล่อยตัวล่องลอยคล้ายไม่ต้องแบกรับหน้าที่ทายาทผู้สืบทอดบัลลังค์ประจิมและบูรพา เป็นแค่ลูกมังกรอันเฟิ่งกับเฉิงหลิงของท่านแม่ทั้งสองก็เท่านั้น

          สิ่งที่ทำให้ข้าหลุดจากภวังค์คือคำพูดของนางซึ่งกล่าวต่อจากการพูดคุยอันหาสาระไม่ได้ของเราพี่น้อง

          ลู่ซือเองก็ชอบข้า

          จะเป็นไปได้อย่างไร? จริงอยู่ที่การมีภรรยาหรือสามีเกินกว่าหนึ่งจะเป็นเรื่องปกติในตะวันออก แต่คนรักที่เป็นพี่น้องกัน…หรือในกรณีของข้าคือฝาแฝดนั้นมันไม่แปลกไปหน่อยหรือ ถึงข้าจะหน้าตาเหมือนเฉิงหลิงแต่นิสัยของเราก็มิได้ราวกับถอดพิมพ์เดียวกันมาเหมือนหน้าตาเสียหน่อย

          แล้วเจ้าไม่เสียใจหรือ

          ข้าจำได้ว่าถามนางกลับไปเช่นนั้น พินิจดูสักหน่อยก็จะรู้ได้ไม่ยากว่าน้องสาวของข้าไม่ชอบการใช้คนรักร่วมกับผู้อื่น แน่นอนว่าข้าเองก็เช่นกัน

          คำตอบที่ได้มีแค่รอยยิ้มบาง นัยน์ตาสีทับทิมสะท้อนภาพข้า เช่นเดียวกับที่ดวงตาของข้าสะท้อนภาพนาง เราต่างเป็นเงาของกันและกันที่คนละฝากของกระจก หากแต่เงานั้นถูกทลายลงเมื่อเฉิงหลิงส่ายหน้าไปมา นางไม่เสียใจ

          ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด

          เฉิงหลิงทิ้งความฉงนไว้ให้ข้าได้แต่วนเวียนคิดถึงมัน คอยหลบหน้าเสนาบดีฝ่ายซ้ายซึ่งน้องสาวกล่าวว่านางมีใจให้ข้า และในยามที่ข้าตกตะกอนความคิดเรียบร้อยแล้ว…กลับเป็นช่วงเวลาที่ข้าไม่อยากให้มาถึงที่สุด

          ท่านแม่กำลังจะจากไป

          ข้าพร้อมเฉิงหลิงรีบรุดไปยังห้องนอนของท่านแม่ ความจริงแล้วน่าจะมีท่านป้าอยู่ด้วย ถ้าข้าไม่วิ่งสวนทางกับนางที่เพิ่งออกมาจากห้องนอนของท่านแม่อันเหวินเสียก่อนก็คงไม่รู้ว่านางคงพูดคุยกับท่านแม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

          เวพาร์อยู่ข้างในก่อนแล้ว มือของราชาแห่งลิเทอรอสกุมอุ้งมือของท่านแม่เอาไว้ น่าแปลกเหลือเกิน นางยังดูสงบนิ่ง สีหน้าเรียบขึงมิแสดงอารมณ์ใด

          ข้าได้รับอ้อมกอดสุดท้ายจากท่านแม่ในวันนี้

          ‘หลงเทียนฟางของแม่ คงต้องฝากเจ้าแล้ว หลิงเอ๋อร์’  ข้าได้ยินท่านพูดกับเฉิงหลิง ซึ่งก็ไม่ผิดนัก นางเป็นคนที่จะรับช่วงต่อ นั่งบนบัลลังค์ในฐานะราชินีมังกรรุ่นต่อไป

          ข้าลูบหลังน้องสาวที่ท่านแม่กำลังใช้ปลายนิ้วอ่อนแรงปาดเกลี่ยหยดน้ำตาให้กับนาง ก่อนเสียงของท่านแม่จะเรียกความสนใจข้าไปที่ท่าน

          ‘และสำหรับเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เฟิ่งเอ๋อร์…’

          ‘…แม่อยู่กับเจ้าเสมอ’

          จมูกข้ารู้สึกแสบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ข้าพยักหน้ารับคำของท่านแม่ ก้มลงรับริมฝีปากสีซีดที่กดลงยังหน้าผากของพวกเราคนละทีแทนความรักของท่านที่มีต่อลูกสาวทั้งสอง ท่านได้มอบมันให้พวกข้าแล้ว ไร้ซึ่งห่วงใดอีก 

          ข้าพาเฉิงหลิงออกไปรอด้านนอกเพื่อให้คนรักได้ร่ำลากัน ข้าสัญญากับตัวเองว่าจะกลับไปร้องไห้ที่ห้องนอนเสียให้พอในครั้งเดียว ดีกว่าร้องๆหยุดๆจนเหนื่อยล้า 

          กระทั่งมีเสียงเรียกพวกข้าให้เข้าไปด้านในอีกครั้ง ถึงเวลาของท่านแม่แล้ว

          ทั้งชีวิตข้าเคยเห็นการดับสูญมาบ้าง หากแต่ไม่ใช่คนใกล้ชิดหรือสมาชิกในครอบครัว ข้ายืนอยู่ข้างเตียงของท่านแม่ มือขยับเกาะเกี่ยวกับมือเฉิงหลิงแน่น นาฬิกาที่ถูกขยับพลิกเริ่มนับถอยหลังเมื่อลมหายใจของราชินีแห่งบูรพานครกำลังค่อยๆแผ่ว จังหวะชีพจรช้าลง

          …กระทั่งทรายเม็ดสุดท้ายร่วงหล่น

          ข้าทอดมองร่างซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกขนานนามว่าจอมมารแห่งตะวันออก จักพรรดินีมังกรผู้นำพาหลงเทียนฟางสู่เส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์

          ชีวิตจอมมารคงอยู่ด้วยคำอวยพรนานับประการจากธรรมชาติ เมื่อดับสังขารแล้วจึงจำต้องย้อนคืนสู่ต้นกำเนิด ท่านแม่อันเหวินเองก็เช่นกัน ร่างของนางค่อยๆสลายกลายเป็นละอองแสง กระจัดกระจายและลอยหายไปในอากาศ

          จักพรรดินีมังกรจากไป ไม่เหลือกระทั่งละอองธุลีใดให้พวกข้าได้ดูดั่งของต่างหน้า มีเพียงอัญมณีรูปหยดน้ำซึ่งถูกมัดเกี่ยวเอาไว้กับปิ่นปักผมแสนธรรมดาของท่านที่ไม่ได้สลายหายไปด้วย

          ท่านแม่ถอดมันออกมาให้เวพาร์ก่อนท่านจะจากไป…ตลอดกาล

          และนี่—เป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าที่เรียกเวพาร์ว่า ‘ท่านแม่’

          ไม่ใช่ว่าข้าและเฉิงหลิงไม่เคยเคารพรักนางในฐานะมารดาผู้ให้กำเนิด ทว่านั่นเป็นคำเรียกติดปากในตอนยังเล็กของพวกข้าที่เรียกชื่อท่านแม่อีกตนตามท่านแม่อันเหวิน เพื่อกันไม่ให้มีการสับสนเกิดขึ้น เราทั้งสองจึงไม่เคยคิดเปลี่ยนคำเรียกเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น

          หากยามนี้ไร้ซึ่งเงาของราชินีมังกรแล้ว คำว่าท่านแม่จึงถูกหยิบยกให้แด่ท่านผู้เป็นใหญ่แห่งแดนตะวันตกแต่เพียงผู้เดียว

          เนื้อความข่าวสารที่ว่าสิ้นจักพรรดินีหลงอันเหวินแล้วถูกประกาศออกไปทันที หลงเทียนฟางตกอยู่ในความโศกศัลย์ ผ้าขาวถูกแขวนทั่วอานาจักรตะวันออก ไว้อาลัยให้แด่มารดาผู้วายชนม์ของพวกเขา

          ข้ายังคงจำภาพในวันนั้นได้มิมีเลือน บ้านของข้าที่เคยคึกครื้นกลับเงียบสงบ อานาจักรที่เคยมีสีสันแต่งแต้มกลับหม่นหมอง กวาดสายตาไปทางไหนคงจะเห็นแต่ผ้าขาว และวันนั้นก็เป็นวันที่ข้าระลึกได้ ว่าสตรีนามหลงอันเหวินผู้นี้ยิ่งใหญ่เพียงใด

          ข้ากับเฉิงหลิงแยกย้ายกันกลับห้องของตน ในเวลาแบบนี้ไม่ว่าจะสนิทกันแค่ไหนก็ต่างต้องการเวลาส่วนตัวกันทั้งนั้น ก่อนจากกันข้ายังเห็นหัวตาของนางแดงเรื่อ คาดว่ากลับห้องไปแล้วน้ำตาได้ไหลออกมาไม่หยุดเป็นแน่

          ระหว่างทางข้าเดินสวนกับท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย—หงลู่ซือ ซึ่งดูรีบร้อนจนเกือบชนข้าทีเดียว

          เห็นดังนั้นขาของข้าตัดสินใจวกก้าวตามลู่ซือไปห่างๆ ทิศทางการก้าวเท้าของนางคือห้องนอนของเฉิงหลิง

          โอ— นี่สินะที่เรียกว่าการเรียงลำดับความสำคัญ ข้าเข้าใจถ่องแท้แล้ว ข้ามีลำดับต่ำกว่าน้องสาวของตัวเองอยู่มากโข ไม่อาจเทียบกันได้เลย

          ประตูมิได้ถูกปิดสนิท ข้าก้าวขาเงียบเชียบ ระวังไม่ให้มังกรคู่รักทั้งสองในห้องรู้ตัว และมองลอดผ่านเข้าไปเพื่อพบเจอว่าลู่ซือกำลังปลอบขวัญน้องสาวฝาแฝดของข้าด้วยสายตาเข้าอกเข้าใจ…รวมถึงรักใคร่

          เสียใจหรือ เฉิงหลิง?

          ข้าเองก็เช่นกัน

          แต่เจ้ายังมีนาง

          แล้วข้าล่ะ…มีใคร?

          ไร้อ้อมกอดของท่านแม่ที่เคยปลอบประโลม

          ไร้เงาลู่ซือผู้นั้นที่บอกว่ารักข้าเช่นเดียวกับที่รักเจ้า

          ข้าไม่มีใครเลย

          ข้าไม่กล้าแม้แต่จะไปรบกวนท่านป้า ด้วยรู้ว่าสภาพจิตใจของนางเองก็คงไม่ได้ต่างจากพวกเราเท่าใดนัก ข้าและเฉิงหลิงรักท่านแม่อันเหวินเพียงไหน ท่านป้าคงรักท่านยิ่งกว่านั้นมาก แม้ในพักหลังนางจะไม่ใคร่สนทนากับท่านแม่ต่อหน้าใครอื่น หากแต่ข้ารู้ดี ท่านป้าอันเหยียนไม่เคยรักน้องสาวของตัวเองน้อยลงเลยสักเพียงนิดเดียว

          หรือจะเป็นท่านแม่ในตอนนี้ ท่านก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ ประคับประครองอาณาจักรทั้งสองไปพร้อมกัน หารือกับพวกผู้เฒ่า ไหนเลยข้าจะกล้ารบกวน

          ข้าแสนชิงชังสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานัก

          เท้าของข้าขยับเดินวนกลับห้องนอน น้ำตาถูกปล่อยให้ไหลอาบแก้มในขณะที่ข้าใกล้จะถึงห้องนอนเต็มที ผสมปนเปทั้งความเศร้าและน้อยใจ

          หลังผ่านช่วงเวลาไว้ทุกข์ให้ท่านแม่ ข้าก็ยอมรับเป็นคนรักของลู่ซืออยู่ดี แน่นอนว่าข้ารักนาง หากแต่ไม่ได้หวังว่านางจะมาดูแลข้าเหมือนที่ดูแลเฉิงหลิงอยู่แล้ว ข้าสามารถดูแลตัวเองได้แม้ไม่มีคนรักข้างกาย แค่นางมอบลูกสาวผู้เป็นดั่งดวงใจให้ข้า เท่านั้นก็มากเกินพอ

          ก่อนข้าจะมีลูกมังกรตัวน้อยไม่นาน ท่านแม่เวพาร์เกษียณตัวเองลงจากตำแหน่ง ประจวบเหมาะกับที่ท่านป้าอันเหยียนวางใจจะส่งมอบราชบัลลังค์ให้เฉิงหลิงแล้ว พวกเราจึงได้ขึ้นนั่งปกครองประจิมและบูรพาในช่วงเวลาเดียวกัน

          ข้าเพิ่งสังเกตว่าในพักหลังมานี้มิได้เห็นเงาของลู่ซือมาเยือนตะวันตกนานแล้ว ส่งสารไปถามเฉิงหลิง นางเองก็บอกว่าไม่เห็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่ตะวันออกเช่นกัน จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ ข้ากับน้องสาวจนปัญญาจะตามหาเหลือเกิน ถึงได้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปอีกหลายร้อยปี ภาพใบหน้าหงลู่ซือผู้นั้นจึงเริ่มเลือนลางในความทรงจำ

          และ ณ ลิเทอรอสนี่เอง ที่ข้าได้พบ แอรีส ไอราเวล

          หาใช่เพิ่งพบเมื่อขึ้นเป็นราชาไม่ ข้าพบเจอนางมาบ้างในตอนที่อาศัยอยู่กับท่านแม่เวพาร์เพื่อเรียนรู้ศาสตร์การปกครองตะวันตก เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตอนนี้นางทำหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาของข้า

          .

          .

          .

          .

          .

          ข้าสะดุ้งหลุดจากห้วงคนึงเพราะเสียงกระแอมไอ รู้สึกคับคล้ายคับคลาว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดกับข้ามาก่อน…ตอนที่ข้ายังเป็นแค่องค์หญิงใหญ่หลงอันเฟิ่ง อาการเหม่อลอยจากหน้าตำราเล่มหนา ล่องลอยไปหาใครอีกคน

          ข้ากำลังหลงรักแอรีสหรือ?

          ข้าเสสายตาไปมองยังแม่ทัพมังกรเจ้าของเรือนผมสีสว่างพลางถอนหายใจ

          น้องสาวของข้าเป็นที่รัก

          หากทว่าในครั้งนี้ ขอให้ผู้เป็นที่รักนั้น…

          ―คือข้าได้หรือไม่?

Drabble · Original Fiction

Wisteria [ RisaMitsuki ]

     —กลิ่นดอกฟูจิ

     ริสะทำจมูกฟุดฟิด ดวงตาสีลูกโอ๊คปรายตาหาต้นตอของกลิ่นในกลุ่มคนมากมายที่กำลังนั่งพับเพียบทับส้นบนเสื่อทาทามิในห้องรับแขกของบ้านโมริยะ เด็กสาวนั่งเยื้องมาทางด้านซ้ายข้างหลังของโมริยะ เรย์กะผู้เป็นแม่ 

     “ริสะ”

     ระหว่างที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ เสียงทุ้มอย่างคนมีอายุของเรย์กะก็ดังขึ้น ดึงเจ้าตัวขึ้นมาสู่โลกแห่งความจริง ริสะขานรับเสียงฉะฉานด้วยความฉงน ในห้องนี้มีแค่เธอกับแม่เท่านั้นที่เป็นคนของโมริยะ ส่วนอีกฝั่งนั้น— เป็นคนของกลุ่มย่อยชิโรงาเนะ

     ความจริงเธอก็ไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาคนของชิโรงาเนะเท่าไหร่นัก ด้วยส่วนใหญ่ก็มักจะรู้จักกับคนจากกลุ่มย่อยลำดับสูงๆด้วยกันเสียมากกว่า ที่เธอพอจะจำได้คงมีแต่พ่อใหญ่เท่านั้นเอง แต่ถึงกระนั้นริสะก็จำชื่อของเขาไม่ได้อยู่ดี

     “นี่หลานสาวของฮิโรกิซัง” หล่อนเอ่ยพลางพยักเพยิดไปทางคนที่ถูกพาดพิงถึง “รู้จักกันเอาไว้แม่คิดว่าคงดีกับโมริยะของเรา”

     ตอนนั้นเอง— กลิ่นดอกฟูจิก็ตีฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง 

     —ชัดเจนในห้วงความคิด

     ใบหน้าสละสลวยของโอเมก้าสาวตรงหน้า ดวงตาและเรือนผมสีดำขลับ ท่าทางเรียบร้อยพร้อมรอยยิ้มบางที่ถึงแม้จะส่งมาตามมารยาท หากกระนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างกลับถูกตราตรึงลงในใจของเด็กสาวตระกูลโมริยะ 

     ไม่สามารถละสายตาออกไปได้เลย

     ราวกับกำลังเดินผ่านอุโมงค์ซึ่งเต็มไปด้วยสีม่วงและกลิ่นหอมชวนผ่อนคลายของดอกฟูจิ

     “ชิโรงาเนะ มิซึกิ ค่ะ” เธอว่าแบบนั้นพร้อมโค้งลงน้อยๆ ริสะเองก็ทำตอบเช่นกัน พร้อมทั้งแนะนำตัวตาม

     หลังจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรอีก ทว่าตาของริสะไม่สามารถละไปจากเด็กสาวอีกคนได้เลย

   

     อา—

     นี่หรือเปล่านะ..ที่คนอื่นชอบบอกว่าเจอคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองแล้ว

 

     โมริยะ ริสะ กำลังรู้สึกตกหลุมรักเป็นครั้งแรก

Drabble · Fiction · Original Fiction

Ears [ColleteRety]

     ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ดวงตาสีเฮเซลของเลธิเซียมักจะไปหยุดอยู่ที่หูของรุ่นน้องสาวคลาสเหยี่ยวอย่างช่วยไม่ได้

     ไม่ว่ายามที่กำลังฟังเด็กคนนี้เล่นเปียโน หรือยามที่อีกฝ่ายกำลังเอ่ยบทสนทนาด้วยน้ำเสียงน่าฟังนั่น ทว่าใจของเธอกลับไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เด็กสาวกำลังกระทำเลยแม้แต่น้อย

     วันนี้ก็เป็นอีกวันที่อาการของเลธิเซียยังคงเหมือนเดิม

     “พี่เลธี่คะ?” คำเอ่ยเรียกชื่อเล่นของตัวเธอจากริมฝีปากซึ่งหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มคล้ายหนึ่งในพันธุ์ของเจ้าหูตูบจากแดนอาทิตย์อุทัย 

     คอลเล็ตกำลังทำสีหน้าฉงนให้กับญิงสาวรุ่นพี่ที่ช่วงนี้รู้สึกจะไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเท่าไหร่นัก

     “คะ คอลเล็ต?” 

     เลธิเซียตอบกลับไปแบบนั้น

     เธอเห็นความลังเลฉายอยู่ในแววตาคู่ตรงข้ามอยู่ชั่วครู่ แต่ดูเหมือนมันน่าจะไม่มีทางหายไปง่ายๆเสียด้วย แม้กระทั่งยามที่เด็กสาวเอ่ยปากถาม

     “ช่วงนี้ฉันเห็นพี่ดูเหม่อๆ..” หล่อนเว้นช่วงไป “..เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”

     คอลเล็ตอาจจะคิดว่าเธอไม่สบาย

     “เปล่าค่ะ” 

     เลธิเซียตอบไปแทบจะทันที 

     “พี่แค่..คิดอะไรนิดหน่อย” เกี่ยวกับคอลเล็ต

     ใบหูคู่นั้น ยามที่พวกมันแดงระเรื่อจากการที่เธอสัมผัสกับเด็กสาวโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำไมถึงได้ดูน่ารักขนาดนี้กันนะ

     —อยากกัด

     อ๊ะ

     นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ..

     กลับมาปั้นหน้ายกยิ้มน้อยๆอย่างเช่นทุกครั้งให้เด็กสาวข้างกาย 

     ตอนนี้พวกเธอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้แกรนด์เปียโนของโรงเรียน ตามปกติที่เลธิเซียมักเอาเวลาว่างช่วงตอนเย็นของบางวันมาสอนคอลเล็ต

     เสียงเปียโนถูกบรรเลงขึ้นอีกครั้ง นิ้วเรียวไล่ลิ่มตามโน็ตซึ่งถูกตั้งเอาไว้ คุณหนูตระกูลเดอ แวร์มองดัวมองการกระทำนั้น—

     —แต่สุดท้ายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ใบหูน่ารักของคอลเล็ตอยู่ดี

     ดวงตาสีเฮเซลล่อกแล่กมองสลับระหว่างมือซึ่งกำลังพริ้วไหวไปตามจังหวะดนตรีกับหูของเจ้าตัว

     หญิงสาวอาศัยจังหวะที่เด็กสาวจดจ่อสมาธิอยู่กับการเล่นเปียโน ยันมือยังเก้าอี้เล็กน้อยเพื่อส่งตัว ริมฝีปากนุ่มแตะปลายหูของรุ่นน้องคลาสเหยี่ยวแผ่วเบา

     ติ๊ง!

     เสียงกดลิ่มที่ผิดคีย์ดังออกมา แน่นอนว่ามาพร้อมกับสีแดงเจือขึ้นที่ปลายหู

     ไม่ต่างกับเลธิเซียเท่าไหร่นัก

     “พี่..พี่ว่าวันนี้เราน่าจะพอกันแค่นี้นะคะ” เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก เบนสายตาไปมองยังกระเป๋าของตัวเองและคอลเล็ตซึ่งวางพิงกันเอาไว้ตรงขาเปียโน

     “เพลงนี้คอลเล็ตเล่นได้ดีแล้ว..ไว้เจอกันครั้งหน้านะคะ”

     และลี้ภัยไปอย่างรวดเร็ว

     ทิ้งให้คอลเล็ตนั่งค้างอยู่ที่เปียโนคนเดียว

Fiction · One-Shot · Original Fiction

Black Rose [CherCecil]

     ㅡกุหลาบสีดำ

     เซซิเลียเคยเห็นพวกมันอยู่ในสวนด้านหลังของคฤหาสน์เดอ แวร์มองดัว มองจากห้องนอนของเธอแล้วจะสบลงไปเจอแปรงดอกกุหลาบหลากสีที่ปลูกโดยคุณแม่ของเธอเอง 

     คุณแม่บอกว่าดอกกุหลาบสีดำพวกนี้หายากกว่าดอกสีขาว กว่าจะปลูกและประคบประหงมให้มันไม่ตายไปเสียก่อนนั้นยากเสียยิ่งกว่าอะไร และเพราะเหตุนี้ทำให้แปรงดอกกุหลาบสีดำมีเพียงคุณแม่คนเดียวที่ดูแล พวกคนเมดกับคนใช้คงไม่อยากโดนเฉดหัวถ้าทำกุหลาบสีดำของนายหญิงเฉาและตายไป

     เด็กสาวไม่ค่อยให้ความสำคัญกับดอกไม้พวกนี้เท่าไหร่นัก อย่างมากก็แค่ชื่นชมความสวยของมัน ต่างจากผู้เป็นมารดา

     แม่ของเซซิเลีย ㅡคุณนายเดอ แวร์มองดัว รักในการปลูกดอกไม้นานาชนิด หรือกระทั่งต้นไม้ เจ้าหล่อนก็ชอบ นับเป็นงานอดิเรกนอกจากการจัดการสิ่งต่างๆภายในคฤหาสน์ และสิ่งที่ดูเหมือนหญิงสาวจะชอบที่สุดก็คือ ความหมายแฝงของดอกไม้ชนิดต่างๆ

     มีครั้งหนึ่ง ตอนคุณแม่กำลังลงมือปลูกดอกกุหลาบสีดำแรกๆ เธอจำได้ว่าตัวเองก็ไปนั่งดูด้วย ฟังคุณแม่พูดเรื่องต่างๆเกี่ยวกับดอกไม้ซึ่งเจ้าหล่อนกำลังปลูกอยู่

     “เซซิเลีย รู้หรือเปล่าว่าดอกกุหลาบสีดำมีความหมายว่ายังไง?”

     “ไม่รู้ค่ะ เซซิเลียไม่ค่อยได้ศึกษาอะไรพวกนี้แบบคุณแม่นี่นา”

     จบคำพูดของเซซิเลียตัวน้อย คุณนายเดอ แวร์มองดัวก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ฮื่ม”

     “ดอกกุหลาบสีดำหมายถึงความรักที่เป็นไปไม่ได้ㅡ”

     “แบบนั้นก็ไม่ค่อยดีเลยสิคะ แล้วเราจะปลูกมันทำไมกัน?”

     “ฟังให้จบ เซซิเลีย” หญิงสาวปราม 

     “อีกความหมายนึงของดอกกุหลาบสีดำก็คือㅡ”


     สัมผัสคล้ายกลีบดอกไม้ซักชนิดแตะยังริมฝีปาก เซซิเลียปรือดวงตาสีครามของตัวเองขึ้นพลางขยับมือขึ้นมาปัดเศษกลีบดอกกุหลาบออกจากใบหน้า

     เมื่อคืนหญิงสาวนอนหลับได้ไม่สนิทนัก ด้วยเพราะไอเกือบค่อนคืน เหมือนอาการเดียวกับที่เธอเป็นตอนฤดูหนาวเมื่อปีที่แล้ว หากแต่รอบนี้ ทุกครั้งที่ไอ ความเจ็บปวดกลับลามไปถึงภายใน ทำให้เจ้าตัวชาวาบจนแทบขยับไม่ได้ รู้สึกหนักอึ้งในอกตลอดเวลา เป็นแบบนี้มาราวจะครบเดือนได้แล้ว

     เซซิเลียยันตัวขึ้นนั่งนิ่งบนเตียงของตัวเองคล้ายกับกำลังปรับสายตา เมื่อกลับมามองเห็นได้ชัดดีแล้วจึงคว้าแก้วน้ำที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียงขึ้นมาดื่มดับอาการคอแห้งของตัวเอง หากแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่อยู่ดี หญิงสาวไม่รู้ว่าทำไมมันถึงไม่ช่วย แถมทุกครั้งที่ไอ..ก็จะมีกลีบดอกกุหลาบสีดำนี่ออกมาด้วยเสมอ

     ทว่าครั้งนี้ กลีบสีดำขลับซึ่งสัมผัสคล้ายกำมะหยี่พวกนั้นกลับเปื้อนของเหลวสีแดงเป็นปื้น

     ซึ่งเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์เข้มเองก็เดาได้ลางๆว่าตามริมฝีปากของเธอเองก็คงมีคราบเลือดแห้งกรังไม่ต่างกัน 

     อาการคันคอตามมาอีกระลอกเมื่อประตูห้องถูกเคาะ เซซิเลียรู้ดีว่ายามเช้าตรู่เช่นนี้คงไม่มีใครมาปลุกเธอ หากไม่ใช่รุ่นพี่ขี้เก๊กแถมน่ารำคาญอย่างเชอร์ริล แต่หญิงสาวเจ้าของห้องกลับไม่ได้ส่งเสียงตอบไปดังเช่นทุกที 

     เธอไม่มีแรงแม้แต่จะออกเสียงพูดด้วยซ้ำ

     เสียงไอดังค่อกแค่กออกมา มือเรียวถูกยกขึ้นปิดริมฝีปากกลั้นเอาเสียงรวมถึงกลีบดอกไม้สีดำนั่นเอาไว้ทั้งหมด น้ำตาเม็ดเล็กๆเอ่อคลอขึ้นตามขอบตาของคุณหนูเดอ แวร์มองดัว ของเหลวหนืดกลิ่นสนิมไหลผ่านตามร่องนิ้วลงมาให้เจ้าตัวนึกขยาด

     ไม่รู้ทำไม ㅡแต่ทุกครั้งที่เธอนึกถึงรุ่นพี่คนนี้ มันมักจะมาพร้อมกับกลีบดอกไม้สีดำเสมอ

     จะบอกว่าเซซิเลียเกลียดเชอร์ริลก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก เธอรู้อยู่เต็มอกว่าความจริงตัวเองรู้สึกยังไง หากแต่ว่า…

     ㅡมันคงไม่มีทางเป็นไปได้

     เมื่อนึกถึงตรงนี้ น้ำตาซึ่งถูกกลั้นเอาไว้ก็ไหลผ่านแก้มลงมา ผสมกับเลือดจนทำให้สีของมันจางลง หากแต่กลิ่นสนิมนั้นกลับไม่หายไปจนเป็นที่น่ารำคาญใจของเจ้าของห้องไม่น้อย เซซิเลียลดมือลง ทัศนวิสัยพร่าไปเสียหมด

     …แล้วเธอจะเก็บกวาดมันยังไงดีนะ คราบเลือดนี่ก็ใช่ว่าจะซักออกไปได้ง่ายๆเสียด้วย หากเปิดประตูออกไปตอนนี้ก็คงโดนจับได้แน่ๆ

     ตาสีครามเหม่อมองกลีบดอกไม้ซึ่งโรยตัวตามพื้นเตียงและผ้าห่ม หรือแม้กระทั่งชุดนอนของเธอ

     ฮานะฮากิ โรคที่เซซิเลียคิดว่าคงเป็นนิยายปรัมปราเล่าปากต่อปาก หญิงสาวที่ไม่สมหวังในรักจะสำรอกออกมาเป็นดอกไม้ และใช่ว่าความหมายของมันจะน่าอภิรมย์เสียทีเดียว บ้างก็ว่าดอกไม้พวกนั้นจะเป็นสีเดียวกับสีตาของคนที่พวกเธอหลงรัก บ้างก็ว่าจะดอกไม้พวกนั้นมีความหมายตรงกับผลลัพธ์หากตัดสินใจสารภาพออกไป หากรักษาไม่ทันท่วงที มีแต่ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเวทนา

     ดอกไม้ของเซซิเลียนั้นคือดอกกุหลาบสีดำ 

     และคนที่เธอรักไม่ได้มีดวงตาสีดำขลับเช่นนี้ เพราะฉะนั้นจึงไปตรงกับกรณีที่สอง ㅡความหมายของดอกไม้นั้นหมายถึงผลลัพธ์ที่เธอจะได้

     พลันสมองของเซซิเลียนั้นนึกไปถึงบทสนทนากับผู้เป็นมารดา

     ‘ดอกกุหลาบสีดำ หมายถึงความรักที่เป็นไปไม่ได้’

     หญิงสาวลอบหัวเราะในใจให้กับประโยคนั้น

     เป็นไปไม่ได้งั้นหรือ 

     คงจะเป็นเช่นนั้น

     หล่อนผละตัวออกจากเตียงพลางใช้ผ้าห่มเช็ดปากอย่างลวกๆเพื่อเช็ดคราบเลือดให้สะอาด ก้าวช้าๆไปจับลูกบิด ชั่งใจอยู่นานก็เปิดแง้มประตูให้พอมีช่องเล็กๆเพื่อใช้ในการสนทนากับรุ่นพี่ผมสีบลอนด์อ่อน

     “ว่าไง?” เสียงที่ถูกเอ่ยออกไปนั้นแหบพร่าจนน่าใจหาย ที่มือของเซซิเลียยังคงมีคราบและกลิ่นสนิมอยู่จางๆ

     “….”  เชอร์ริลไม่ได้ตอบอะไร หญิงสาวร่างสูงคงสังเกตเห็นคราบเลือดที่มือของเซซิเลียแล้ว และการเปิดประตูเพียงนิดเดียวนั้นไม่ใช่นิสัยของรุ่นน้องน่าแกล้งคนนี้แม้แต่นิดเดียว ไหนจะเสียงที่แหบเหมือนใช้พูดจ้อทั้งคืนนั่นอีก

     หล่อนยกมือขึ้นจับประตูเอาไว้ก่อนจะง้างออกอีกเล็กน้อย แต่ก็มากพอที่จะทำให้เชอร์ริลเห็นรอยเลือดซึ่งเปื้อนชุดนอนของอีกฝ่ายได้อย่างถนัดถนี่ นัยน์ตาสีน้ำทะเลหรี่ลง

     “เห็นวันนี้เธอตื่นสาย เลยมาลองเคาะห้องดู” เธอว่าพลางไหวไหล่ “ปกติเวลานี้ต้องออกไปเสนอหน้ากวนฉันแล้วนี่”

     เซซิเลียยิ้มน้อยๆ ทว่ากลับดูอ่อนแรงกว่าทุกที 

     “นั่นสินะ” ตอบกลับไปแบบนั้น หวังว่าเชอร์ริลจะผละตัวออกจากหน้าห้องเธอซักที
     “…เซซิเลีย…เป็นอะไรหรือเปล่า?”

     ดูเหมือนวันนี้พระเจ้าจะไม่เข้าข้างเธอเลย

     “ไม่…ไม่ได้เป็นอะไร แค่มึนหัวนิดหน่อย เธอก็รู้ว่านี่หน้าหนาว จะป่วยก็คงไม่แปลก”

     เซซิเลียรู้ดี ยามที่อีกคนเรียกเธอด้วยชื่อเต็มพร้อมกดเสียงต่ำแบบนั้น ยากเหลือเกินจะต่อต้านใจตัวเองให้ไม่ปริปากพูดอาการทั้งหมดไปให้เขาได้รับรู้ หญิงสาวเจ้าของห้องสูดหายใจเข้าลึก ปั้นหน้ายิ้มยียวนกวนประสาทตามปกติที่มักจะทำเป็นประจำ กลั้นอาการคันคอเหลือเกินของตัวเองไว้อย่างเต็มที่

     “หรอ แล้วรอยนี่อะไร” เชอร์ริลพูดพลางจิ้มนิ้วลงบนรอยเลือดแห้งกรังบนเสื้อของเจ้าของห้อง “เลือดกำเดา?”

     “เรื่องของฉันน่า” มือปัดป้องคล้ายไล่ให้คนตัวสูงกลับๆห้องตัวเองไปได้แล้ว วันนี้เธอไม่มีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงด้วยขนาดนั้น ยังมีรอยเลือดกับกลีบดอกไม้น่ารำคาญใจให้เก็บกวาดอีก หล่อนทำท่าจะปิดประตูเข้าห้องไปเช่นเดิม หากทว่าโดนห้ามไว้โดยผู้บุกรุกยามเช้า

     “เดี๋ยวก่อน”

     “อยู่นิ่งๆ” คล้ายจะเป็นเหมือนคำสั่งมากกว่าคำขอ หญิงสาวผมสีบลอนด์อ่อนยกมือขึ้นหยิบกลีบดอกกุหลาบสีดำออกจากเรือนผมสีเดียวกันแต่คนละเฉดของเซซิเลีย 

     เลือด กลีบดอกไม้ เสียงที่แหบพร่าของคนตัวเล็กกว่า

     นัยน์ตาสีอ่อนหรี่เล็กลงพร้อมเปลือกตาที่เบิกกว้าง เชอร์ริลถือวิสาสะแทรกตัวเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงโวยวายของคุณหนูเดอ แวร์มองดัว มือหนาปิดประตูพร้อมลงกลอนให้สนิทด้วยความรีบร้อน 

     “เซซิเลีย” เสียงนั่นดูเหมือนจะเบาหวิวมากกว่าทุกครั้ง สองมือจับแขนของรุ่นน้องเอาไว้แน่น หนึ่งฟ้าทะเลและหนึ่งฟ้าครามสบกันเนิ่นนานก่อนเชอร์ริลจะเอ่ยปาก “…ใคร?”

     ‘คิดไว้ไม่ผิด คนอย่างหล่อนมันต้องรู้จักโรคบ้าบอนี่แน่ๆ’ 

     “ไม่ใช่เรื่องของเธㅡ”

     ก่อนจะได้กล่าวปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยตามนิสัยของเซซิเลีย กลีบกุหลาบสีดำทำให้อาการคันคอยิ่งแย่ สุดท้ายหญิงสาวจึงยกมือขึ้นปิดปาก ไอจนแทบไม่เหลือเสียงให้ไอ ของเหลวกลิ่นสนิมเปรอะมือของหล่อนอีกครั้ง 

     ㅡต่อหน้าต่อตาเชอร์ริล

     กลีบสีดำซึ่งเปื้อนเลือดเกือบทั้งกลีบนั้นค่อยๆร่วงลงไปบนพื้นทีละกลีบสองกลีบ จนกระทั่งช่องว่างระหว่างหญิงสาวทั้งสองคนมีแต่สีดำและแดงที่เจิ่งนองไปทั่ว 

     คนอายุมากกว่ายังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง หากแต่ภายในใจกลับว้าวุ่น คนที่เซซิเลียรู้จักไม่มีใครตาสีดำแน่ๆ นั่นคือเรื่องที่เธอค่อนข้างมั่นใจ เพราะฉะนั้นมันคือความหมาย ต้องเป็นความหมายของดอกไม้ㅡ

     ไวเท่าความคิด สองแขนตรงเข้าไปประคองเจ้าของห้องไว้ก่อนหล่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้น สภาพของเซซิเลียในตอนนี้นั้นเรียกได้ว่าแทบดูไม่ได้ เลือดเปื้อนทั้งมือและปาก กลิ่นสนิมลอยตลบไปทั่วห้องแทนกลิ่นประจำตัวของหญิงสาว

     “..บอกไปก็คงไม่มีประโยชน์หรือเปล่า” เซซิเลียแค่นหัวเราะ “ความหมายของดอกกุหลาบสีดำ เธอไม่รู้รึไง”

     “แต่เอาเถอะ ไหนๆก็ใกล้ไปเฝ้าพระเจ้าขนาดนี้แล้ว ฉันจะบอกก็ได้”

     “เธอ เชอร์ริลㅡ” 

     กลีบกุหลาบร่วงหล่นลงสู่พื้นด้านล่างอีกครั้ง 

     “ㅡมันเป็นเธอมาตลอด

     ภาพของเซซิเลียดับวูบลงหลังพูดประโยคนั้นจบ


     สัมผัสเช็ดของผ้าชุบน้ำไล้ไปตามกรอบใบหน้าของหญิงสาวเผมบลอนด์เข้ม ตาสีฟ้าครามกระพริบถี่หลังถูกปรือขึ้นมาได้ไม่นานด้วยความฉงน อาการคันคอนั่น เธอไม่รู้สึกถึงมันแล้ว และความรู้สึกหนักอึ้งที่เคยมีㅡ

     ㅡก็หายไปหมดราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน

     “ตื่นได้ซักทีนะ” เสียงอันแสนคุ้นเคย เชอร์ริลนั่นเองที่เป็นคนคอยเช็ดหน้าให้เธอ “เธอทำให้ฉันไม่ได้เรียนคลาสเช้าจนได้” 

     ‘ขอโทษก็แล้วกัน’ คิ้วเรียวกดลงพร้อมพูดประชดไปในใจ แต่ดูเหมือนรุ่นพี่ผมบลอนด์อ่อนคนนี้น่าจะพอเดาได้ แหงสิ ก็สนิทกันมานานขนาดไหนแล้วล่ะ

     “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น นอนไป” ว่าจบแล้วก็วางผ้าเปียกนั่นแปะลงบนหน้าผากของเซซิเลีย 

     “…เรื่องความหมายของดอกกุหลาบสีดำ” 

     “มันมีสองความหมาย เธอรู้หรือเปล่า” คนอายุมากกว่าเกลี่ยปอยผมซึ่งลงมาปรกหน้าปรกตาเจ้าของห้องออกด้วยท่าทีที่แฝงความอ่อนโยนไว้อย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มบางถูกคลี่ออกมา ใบหน้าเคลื่อนเข้ามาใกล้เซซิเลียมากขึ้นทุกที

     อาㅡ

     เธอจำได้แล้ว คำพูดของคุณแม่เมื่อวันนั้น

 

     “รักที่เป็นไปไม่ได้กับ….” 

     ‘อีกความหมายของดอกกุหลาบสีดำก็คือㅡ’

 

     “รักอันเป็นนิรันดร์”

     ‘รักอันเป็นนิรันดร์’

 

     หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก 

 

     ทั้งจากเซซิเลียและจากเชอร์ริล

Fiction · One-Shot

Tsuki ga kirei (RisaPon)

– Your scent –

908b09ead5b3505aaec9e8c1a48038f8.jpg


          ‘Caflet’

          ยุยเกลียดยานั่น

          หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาขณะที่กำลังนั่งกอดเข่าพิงหัวเตียงอยู่ภายใต้ความเงียบสนิทซึ่งโรยตัวลงมาภายในห้องนอนสีครีมหม่น แสงสลัวๆลอดผ่านมาทางหน้าต่างบานไม่เล็กไม่ใหญ่มากตรงข้างๆโต๊ะเครื่องเขียนช่วยให้ยุยมองเห็นสิ่งต่างๆอย่างเลือนลาง สายตาเลื่อนผละจากวิวภายนอกหน้าต่างบานเดียวของห้องมายังมือที่กำกันแน่นของตัวเอง หล่อนค่อยๆคลายมันออก แคปซูลสีน้ำตาลเข้มเม็ดหนึ่งกำลังนอนแน่นิ่งรอให้เธอกลืนมันลงไป

          แต่เธอทำไม่ได้

          ยุยไม่สามารถกินมันลงไปได้ จะเรียกว่าดื้อยาดีมั้ยนะ? ถึงร่างกายจะต้องการ ‘คาเฟอีน’ มากเพียงไหน ทว่าหล่อนกลับต่อต้านการกินยาCarfletเพื่อทดแทนคาเฟอีนที่จางหายไป หัวคิ้วของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเปลือกไม้กดลงขมวดมุ่นก่อนโยนเม็ดยาแสนไร้ค่า(ในความคิดของเธอ)ทิ้งไว้บนโต๊ะเครื่องเขียน ซุกใบหน้าลงกับหัวเข่าด้วยความอ่อนแรง หลายวันแล้วที่เธอไม่ได้กินยา ไม่สิ หลายสัปดาห์แล้วต่างหาก

          ตั้งแต่วันที่พี่เขาตัดสินใจเดินออกไปจากชีวิตของเธอ…

          ปกติแล้ว ‘Cup’ อย่างโคบายาชิต้องได้รับคาเฟอีนในจำนวนพอดีกับความต้องการถี่ถ้วนสม่ำเสมอ ราวๆวันละสามครั้งได้ และการที่ไม่ได้รับคาเฟอีนให้พอดีก็ใช่ว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย เธอเริ่มนอนไม่เป็นเวลา อ่อนเพลียง่ายกว่าปกติทั้งๆที่แข็งแรงดี ดังเช่นตอนนี้ที่ตาของยุยยังสว่างอยู่ ไม่สามารถกล้ำกลืนฝืนทนให้ตัวเองนอนหลับสบายได้จริงๆ

          เสียงถอนหายใจแผ่วดังขึ้นอีกรอบพร้อมเสียง ตุบ เบาๆจากการทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนาที่ยังพอแบ่งเบาคลายความหนาวจากลมเครื่องปรับอากาศลงไปได้บ้าง ริมฝีปากล่างถูกขบกัดเบาๆ ‘ทรมาน’ เป็นคำที่อธิบายความรู้สึกตอนนี้ของโคบายาชิได้ดีที่สุด หล่อนพลิกตัวไม่มาอย่างคนครั่นเนื้อครั่นตัว บางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วที่เธอต้องกลั้นหายใจกินยานั่นไปให้จบๆ

          ถ้าวันนั้นเธอคิดรั้งพี่เขาเอาไว้ซักหน่อย

          คงไม่ต้องมานั่งกล้ำกลืนความเจ็บปวดอยู่แบบนี้หรอก

          วาตานาเบะ ริสะ หล่อนเป็น ‘Coffee’ พี่เขาอายุมากกว่าเธออยู่ปีนึง ครั้งแรกที่เจอกัน เธอจำได้ดีว่าเป็นเพราะกลิ่นคาราเมลเตะจมูกนั่น ‘Aroma’ของพวกคอฟฟี่เป็นสิ่งดึงดูดความสนใจคัพอย่างยุยไปเกือบหมด นัยน์ตาสีอ่อนจับจ้องอยู่แค่พี่เขาคนเดียวโดยไม่รู้ตัว แลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผาก หล่อนรู้จากสัญชาติญาณว่าริสะไม่ใช่คอฟฟี่ธรรมดาแน่ๆ

          ยุยกับริสะทำงานอยู่แผนกเดียวกัน และแน่นอนว่าต้องเจอกันทุกวัน ความสัมพันธ์ของพวกเธอพัฒนาไปด้วยความรวดเร็วในแง่ของความรัก จากเพียงเพื่อนร่วมงาน เลื่อนขึ้นมาเป็นคนสนิท และสุดท้ายก็จบลงที่สถานะคนรัก

          เคยมีคนถามยุยว่า สำหรับเธอแล้ว ริสะเปรียบได้กับกาแฟชนิดไหน

          ‘อเมริกาโน่’ หล่อนตอบไปเช่นนั้น

          อเมริกาโน่เป็นกาแฟดำที่ต้องเติมน้ำลงไปให้เจือจาง ปริมาณขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ดื่มว่าอยากได้ให้เข้มข้นประมาณไหน ในความคิดของเธอ ริสะคงเป็นอเมริกาโน่ที่รสค่อนข้างเข้มทีเดียว ไม่น่ามีอโรม่ากลิ่นคาราเมลได้เลย ทุกครั้งที่ริมฝีปากแตะสัมผัสกัน ความขมปร่ามักเป็นสิ่งแรกที่ยุยได้รับก่อนตามมาด้วยความหวานเล็กๆติดปลายลิ้น

          แต่เธอก็ชอบมันนะ

          ชีวิตคู่เป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งย่างเข้าปีที่ห้า ทั้งคู่มีปากเสียงกันอย่างหนัก หนักจนถึงขนาดที่ริสะยอมเป็นฝ่ายล่าถอยและยอมแพ้ให้กับความสัมพันธ์ครั้งนี้ด้วยตัวเอง ประโยคซึ่งหลุดออกมาจากริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรงของพี่เขา ยุยไม่มีวันลืม

          ‘เราให้พี่มากเกินไป..มากไปจริงๆ’

          ทำไมพี่เขาถึงพูดออกมาแบบนั้น

          ตอนนี้ยุยก็ยังคงไม่เข้าใจความหมายของมันเสียที

          และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของอาการCaffeine withdrawal*ซึ่งเธอกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้

          แม้เหตุการณ์ทั้งหมดจะผ่านมาปีกว่าๆแล้วก็ตาม หล่อนยังเจอกับริสะอยู่ทุกวันที่ออฟฟิศ โคบายาชิเข้าหน้ากับอีกฝ่ายไม่ค่อยติดเท่าไหร่ ความรู้สึกที่เธอมีให้เขายังคงเท่าเดิม อาจจะมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ ความคิดถึงคะนึงหาตกตะกอนเป็นความเศร้าและโทษตัวเองอยู่ร่ำไป สุดท้ายหล่อนก็ตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำอยู่ ขังตัวเองอยู่ในห้องคอนโดอันแสนหม่นหมอง นับเวลาตั้งแต่วันแรกที่เธออยู่แต่ในห้องจนถึงวันนี้ก็เกือบร่วมเดือนพอดี

          ทางด้านวาตานาเบะเอง การที่น้องลาออกไปไม่ได้ทำให้เธอแปลกใจเท่ากับการที่หล่อนขาดการติดต่อไปเป็นเดือนขนาดนี้ อาจจะเปลี่ยนเบอร์โทรด้วย ทีแรกเธอคิดว่าคงไม่ได้เป็นอะไร อาจติดต่อกลับมาทีหลัง แต่ไม่เลย แบบนี้มันแปลก แปลกเกินไปสำหรับค่อนที่ชอบเช็คSNSอย่างยุย

          เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอถึงได้มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องซึ่งตัวเธอคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี

          ถือวิสาสะเอาแต่ใจตัวเองกดรหัสเข้าไป สภาพของทุกอย่างภายในห้องยังเหมือนเดิม ตั้งอยู่ที่เดิม ป้าแม่บ้านน่าจะเข้ามาทำความสะอาดให้เช่นทุกครั้ง ค่อยๆเดินอย่างระมัดระวัง ไม่ลงส้นเท้าจนเกิดเสียงดัง เธอคิดว่ายุยน่าจะนอนอยู่ที่ห้องนอน เพราะตอนนี้ก็หัวค่ำแล้ว มือเรียวจับลูกบิดและมองมันด้วยความรู้สึกหลากหลาย ใจนึงคิดว่าหากเปิดเข้าไปและเจอเจ้าของห้องจะทำตัวยังไง ส่วนอีกใจก็คิดว่าหากเปิดไปแล้วไม่เจอหล่อนล่ะ?

          สุดท้ายก็กลั้นลมหายใจเปิดประตูเข้าไป

          “ยุย..” โชคดีที่ถ้วยกาแฟของเธอยังอยู่ในห้องไม่ไปไหน แต่สภาพร่างกายตอนนี้สิ เธอไม่โอเคเลยกับการเห็นน้องนอนตัวสั่นอย่างนั้น ความจริงเครื่องปรับอากาศก็ไม่ได้เป็นอุณภูมิต่ำด้วยซ้ำ ใช่ว่าเธอไม่เคยเห็นยุยเป็นแบบนี้ แต่นั่นมันก็นานมากแล้วตั้งแต่เจอกันแรกๆ ไม่คิดว่าหล่อนจะกลับมาเป็นแบบนี้ กลับมาเป็นเด็กดื้อไม่ยอมกินยา

          “….”

          เรียวคิ้วขมวดมุ่น รีบตรงดิ่งมาย่อตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง เลิกผ้าห่มออกเล็กน้อยให้พอเห็นหน้าหญิงสาวชัดเจนขึ้นผ่านแสงสลัวของดวงจันทร์ซึ่งลอดผ่านมาทางหน้าต่าง  ถ้าให้เดาล่ะก็คงขาดยามาหลายสัปดาห์แล้วแน่ๆ คัพที่ไม่มีคอฟฟี่ช่วยประคองและส่งผ่านคาเฟอีนนั้นไม่ต่างอะไรกับการนับวันรอเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทรา นอกเสียจากจะกินจะCafletเพื่อเพิ่มปริมาณคาเฟอีนในร่างกาย

          แต่เด็กดื้อของเธอดันไม่ยอมนี่สิ….

          “ทำไมถึงไม่กินยา ยุย?”

          “…ไม่ชอบ” หญิงสาวตรงหน้าเกลียดยาCafletเข้าไส้แค่ไหน เธอรู้ดีอยู่แก่ใจ เพราะยุยกินมันมาเกือบทั้งชีวิต พอเจอกับเธอถึงเลิกขาดกับเจ้ายานั่น จะให้กลับมากินอีกก็คงต้องใช้เวลา แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะเสพติดคาเฟอีนจากตัวของริสะไปแล้วเลยทำให้ไม่สามารถกินยานั่นได้อีก

          “ไม่ชอบก็ต้องกิน..อย่าดื้อสิ”

          “ก็อยากให้พี่ทำ…”

          โคบายาชิ ยุย ทำไมถึงได้พูดจาสองแง่สองงามแบบนี้กัน..

          “เธออยากให้พี่ทำอะไรล่ะ? จูบหรอ? หรือ….เอ่อ…” ปฏิเสธไม่ได้ว่าวาตานาเบะคิดถึงปากนุ่มๆและจูบกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ของหญิงสาวตรงหน้าขนาดไหน มือเรียวเกลี่ยปัดปอยผมซึ่งปรกหน้าอีกฝ่ายออก ส่วนอีกข้างยันพื้นเตียงนุ่มเอาไว้ก่อนค่อยๆทิ้งตัวลงนอนตรงที่ว่างข้างๆโคบายาชิ

          “ไม่..พี่แค่..กอดฉันก็พอ..” หล่อนส่ายหน้าไปมาเบาๆเป็นเชิงปฏิเสธ การถ่ายทอดคาเฟอีนไปสู่อีกฝ่ายไม่ได้กำหนดตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าคัพแต่ละคนสามารถทำด้วยวิธีไหนได้บ้าง ในกรณีของหญิงสาวตาหางตาตกคนนี้คงครอบคลุมทั้งหมด ไล่ตั้งแต่แตะตัว กอด จูบ หรือแม้กระทั่งเซ็กส์ แน่นอนว่าวิธีหลังนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด ยุยจะได้รับคาเฟอีนอย่างเต็มเปี่ยมหลังจากไม่ได้รับมันมาเป็นเวลานาน

          ทว่าเธอกลับเลือกที่จะให้พี่เขากอด

          ความอบอุ่นของอ้อมแขนค่อยๆคืบคลานโอบรอบตัวเจ้าของเตียงเอาไว้หลวมๆ สัมผัสนุ่มนวลจากริมฝีปากถูกทาบทับบนหน้าผากเนียนก่อนที่วาตานาเบะจะไล่กลีบปากลงมา กดแผ่วบนเปลือกตาซึ่งปิดลงราวกับกำลังรอการกระทำอันแสนคุ้นเคยของอดีตคนรัก มือลูบผ่านหลังอีกฝ่ายเพียงผิวเผิน ถึงแม้จะเลิกรากันไปแล้ว และในช่วงเวลาสั้นๆนั้นเธอไม่ได้เจอยุยเลย ทว่ากลับมาครั้งนี้หล่อนยังคงน่ารัก…เหมือนเดิม

          เป็นคนที่ทำให้หัวใจของริสะเต้นผิดจังหวะ..เช่นเดิม

          ลมหายใจของหญิงสาวในอ้อมกอดเริ่มสม่ำเสมอแล้ว ริสะคิดว่าหล่อนคงใกล้จมลงสู่ห้วงนิทราเต็มที ประทับริมฝีปากบางเบาอีกครั้งตรงข้างแก้มและมุมปากไร้ซึ่งลิปสติกแต่งแต้ม จะมีก็แต่ลิปกลอสเคลือบเอาไว้เท่านั้น เจ้าของอ้อมกอดผ่อนลมหายใจแผ่วออกมา คล้อยตามองใบหน้าของคนรักเก่าด้วยความชั่งใจเล็กๆ หล่อนพอจะรู้ว่าที่จริงยุยไม่ได้อยากให้กอดเพียงอย่างเดียว ริมฝีปากอิ่มที่เผยอออกเล็กน้อยตรงหน้าทำเธอคิดหนัก คิดแล้วคิดอีก คิดจนสมองแทบจะระเบิดว่าควรทำอย่างไรกับมันดี

          จูบ…ดีมั้ยนะ?

          “ยุย..” ขยับมากระซิบเรียกที่ข้างหูของหล่อน ทว่าโคบายาชิกลับไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาเลย แม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่

          “ยุยจัง…” แตะฝ่ามือลงบนแก้มนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายพลางขยับไล้ไปตามสันกราม ลำคอ กระดูกไหปลาร้าซึ่งพ้นออกมาจากเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งที่เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้นั้นลืมติดกระดุมเม็ดแรก ไล่นิ้วไปตามไหล่ลาดภายใต้ร่มผ้าก่อนจะหยุดชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ใช่เจ้าของเรือนร่างนี้อีกต่อไปแล้ว ไม่มีสิทธิ์ไปแตะต้อง…หากเจ้าของนั้นไม่ได้อนุญาต ริสะเม้มปากแน่นอย่างขัดใจ ทำไมพอมาอยู่ใกล้กันแบบนี้แล้วเธอถึงห้ามตัวเองไม่ได้เลยซักครั้ง ให้ตายเถอะ หล่อนเคยพยายามหาคัพคนอื่นมาแทนที่ยุยแล้วแท้ๆ แต่มันไม่ใช่

          ไม่ใช่เลยซักนิด

          สัมผัสอ่อนนุ่มบดเบียดลงบนอวัยวะส่วนเดียวกัน ไร้ความรู้สึกวาบหวามหรือร้อนแรง หากแต่เป็นความอบอุ่นซึ่งถูกส่งผ่านไปสู่หญิงสาวตรงหน้าวาตานาเบะเพียงเท่านั้น อ้อมกอดกระชับแน่นขึ้น คนอายุมากกว่ายังคงค้างริมฝีปากเอาไว้เช่นนั้นเนิ่นนาน นานพอที่จะทำให้ยุยรู้สึกตัว หล่อนกะพริบตาถี่เพื่อปรับโฟกัสเล็กน้อย มือเรียวค่อยๆเลื่อนไปเกาะกุมเข้าที่แผ่นหลังของพี่เขา กดจูบตอบกลับไปอย่างเนิบนาบ ฟันเขี้ยวถูกกดลงเพื่อขบกัดริมฝีปากล่างของอีกฝ่ายเบาๆ เราจูบกันอยู่แบบนั้นจนริสะต้องเป็นฝ่ายผละออกมา หล่อนหายใจแรง ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ ไม่แน่ใจว่าเพราะขาดอากาศหรือเพราะเขินกันแน่

          “พี่ลักหลับฉันหรอ?”

          “เปล่า..ก็พี่เรียกเธอแล้วเธอไม่ตื่น..” สางผมสีเปลือกไม้ของอีกคนไปมาโดยที่ดวงตาไม่ได้จับจ้องยังใบหน้าของฝ่ายนั้นเลย หล่อนกำลังประหม่า ยุยรู้ดี คบกันมาก็ตั้งนาน ทำไมกับอีแค่อาการแค่นี้เธอจะดูไม่ออก “อืม…แล้วก็ถ้าเธอตื่นอยู่พี่คงไม่ได้จูบ..เธอน่าจะไม่ยอม”

          “ทำไมชอบคิดเองเออเองอะ” กัดปากด้วยความหมั่นเขี้ยวหมาโกลเด้นตรงหน้าเหลือเกิน ยิ่งหลุบตาหลบพร้อมท่าทางเงอะๆงะๆลุกลี้ลุกลนเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบกินขนมแล้วยิ่งทำให้เธออยากจับพี่เขามาฟัดๆให้เข็ด กลิ่นคาราเมลอ่อนๆเฉพาะตัวที่โคบายาชิคุ้นเคยลอยมาแตะจมูก คนอายุน้อยกว่าค่อยๆขยับตัวซุกหน้าลงยังซอกคออุ่น ตรงนี้กลิ่นคาราเมลชัดเจนกว่าส่วนอื่นของร่างกาย ไม่แปลกถ้ามันจะเป็นจุดที่เธอเข้าไปซุกบ่อยๆ “ตั้งแต่เรื่องตอนนั้นที่ทะเลาะกันแล้ว..”

          “อ่า…เรื่องนั้น..”

          “ดูไม่ออกหรอว่าฉันไม่ได้อยากเลิกกับพี่?”

          “มันก็…”

          “บื้อ” กับเรื่องอื่นล่ะฉลาด พอเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆแล้ว วาตานาเบะริสะกลับกลายเป็นคนซื้อบื้อคนนึงไปเลย ขี้เก๊กก็หนึ่ง ปากแข็งก็สอง นิสัยแบบนี้แก้ยาก แต่หล่อนก็ยังทนกับมันมาได้นานเกือบห้าปี ทนต่อไปอีกซักหน่อยก็คงไม่เป็นไรหรอก ถ้าพี่เขาอยากจะกลับมาคบกับเธอต่อล่ะก็นะ

          มือซึ่งก่อนหน้าเคยพักมันเอาไว้ที่หลังของคนพี่เริ่มไต่ขึ้นมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงท้ายทอย เจ้าของห้องเงยเชิดใบหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อยพอให้ริสะโน้มตัวตามแรงกดของมือลงมาจูบเธอได้ สัมผัสนุ่มทาบทับลงมาแทบจะทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยขอ เขาไม่เคยปฏิเสธ ไม่สิ ปฏิเสธไม่ได้ต่างหาก เพราะพี่ริสะน่ะชอบลิปกลอสกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ของเธอจะตายไป แต่ว่า…

          หากเทียบกับที่ริสะชอบจูบกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ของเธอแล้ว

          ยุยก็คงหลงรักจูบรสกาแฟของพี่เขาไม่ต่างกัน

          เรือนผมตัดสั้นสีน้ำตาลเข้มตกลู่ลงตามแรงโน้มถ่วงเมื่อวาตานาเบะพลิกขึ้นมาอยู่ด้านบนร่างของอดีตคนรัก บดคลึงกลีบปากเชื่องช้า การจูบเป็นอีกวิธีหนึ่งสำหรับส่งผ่านคาเฟอีนจากร่างกายของคอฟฟี่สู่คัพ ยิ่งนานมากเท่าไหร่ ปริมาณคาเฟอีนที่ยุยได้รับก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ริสะค่อยๆแทะเล็มริมฝีปากเคลือบลิปกลอสด้วยความใจเย็น ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเอียงหน้าให้เราสองคนแลกเปลี่ยนลมหายใจแก่กันได้ถนัดขึ้น กลิ่นขมของกาแฟจางๆผสมเข้ากับกลิ่นคาราเมลหวานเฉพาะตัวทำให้คนน้องเคลิ้มไปกับมันได้ไม่ยากนัก หล่อนปิดเปลือกตาลง ดื่มด่ำกับรสจูบซึ่งไม่ได้สัมผัสมาเป็นเวลานาน มือเรียวประสานกันเอาไว้ที่ท้ายทอยของวาตานาเบะ

          โคบายาชิถอยผละออกอย่างอ้อยอิ่ง ลิ้นนุ่มของคุณกาแฟกำลังไล่เก็บคราบความรู้สึกที่ตัวเองทิ้งเอาไว้  ฝากร่องรอยสีแดงเรื่อเล็กๆจากการขบกัดเบาๆ นิ้วเรียวเกลี่ยปอยเส้นไหมสีเปลือกไม้ขึ้นไปทัดหูโดยมีดวงตาสีอ่อนจับจ้องการกระทำนั้นไม่ละสายตา ลมหายใจร้อนผ่าวระรินใบหน้าซึ่งห่างกันเพียงคืบก่อนที่หล่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว

          “พี่อาจจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ว่านะ..”

          “Aftertaste*ของพี่น่ะ ยังหวานเหมือนเดิมเลยนะคะ”

          พูดจบก็หัวเราะออกมาเสียงมาเบาๆอีกต่างหาก

          “แล้วที่มันหวานแบบนี้…ก็เพราะพี่ยังรักฉันอยู่..ใช่มั้ย?”

          ริสะกัดปากตัวเองอีกแล้ว

          เด็กคนนี้จะรู้ทันเธอไปหมดทุกเรื่องหรือไงนะ? ไม่เข้าใจเลยว่าอะไรทำให้ยุยเดาอารมณ์เธอออกง่ายขนาดนั้น แต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าเธออารมณ์ไม่ดีหล่อนจะรู้ได้ในทันที ไม่ต้องปริปากบอกยุยก็สามารถทำให้เธอหายเครียดได้ง่ายๆ นี่เป็นหนึ่งในนิสัยที่ริสะชอบในตัวคนอายุน้อยกว่า และนับวันคุณกาแฟของยุยก็ยิ่งตกหลุมรักเจ้าถ้วยกาแฟถ้วยนี้ลงไปลึกเสียจนแถบปีนขึ้นมาไม่ได้

          หากรักแล้ว ยากนักจะตัดใจให้ขาด

          ตัดสินใจทิ้งตัวลงนอนข้างๆแล้วซุกหมอนหนีประกายหยอกล้อภายในดวงตาคู่สวยนั่น ส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆอย่างคนจนตรอก หล่อนโดนต้อนให้จนมุมขนาดนี้ ไม่รู้จะเฉไฉไปทางไหนได้อีกแล้ว แขนวางพาดไว้ยังบั้นเอว  คล้องเอาไว้ราวกับกลัวว่าหญิงสาวตรงหน้าจะหายไปอีกเหมือนเดือนที่ผ่านมา

          “เธอก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว”

          “หรอ…”

          “อืมม…” ครางตอบในลำคอ “แล้วเธอล่ะ?”

          “?”

          “จะกลับมามั้ย…กลับมาหาพี่”

          โคบายาชิลอบยิ้ม

          “พี่ว่าพระจันทร์วันนี้สวยมั้ย?” ขยับไปกระซิบติดริมฝีปากอีกคน “ว่าไงคะ?”

          “…ไม่รู้สิ”

          “แต่ฉันว่านะ”

          “พระจันทร์วันนี้น่ะ สวยมากเลย”

 


*Caffeine withdrawal  ภาวะถอนคาเฟอีน หรือ อาการลงแดง เป็นอาการที่ทำให้ Cup มี Sleep-wake cycle ผิดปกติ รู้สึกอ่อนเพลีย ง่วงนอน ปวดศีรษะ หาวมากกว่าปกติ และอาจจะคลื่นไส้อาเจียนได้ แต่อาการเหล่านี้จะหายทันทีเมื่อ Cup ได้รับคาเฟอีนในปริมาณมาก ยิ่งมีอาการนานเท่าไหร่ยิ่งต้องการคาเฟอีนจาก Coffee มากเท่านั้น

*Aftertaste คือ รสชาติ และความรู้สึกจาก Coffee ที่หลงเหลืออยู่ หลังจากการ Cupping อาจจะให้ความรู้สึกดีหรือไม่ดี ค้างอยู่นานหรือครู่เดียว

อ้างอิง AU CoffeeVerse จากคุณ @jo_me4 บนทวิตเตอร์ค่ะ ข้อมูลต่างๆได้มาจากdocนี้ : https://docs.google.com/document/d/1g13KUVRAEZ5sRsYv-Ajy3m_LbZg_ceMA_l62FZAIAUY/edit

Don't Touch · Fiction

Don’t Touch : Prologue

C-_b1ihW0AEGBay


          “เจ้าก็รู้ว่าเราเสียบุคคลในสภาไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”

          น้ำเสียงของผู้พูดแฝงเร้นความเคร่งเครียดเอาไว้ ริมฝีปากถูกกัดเม้มจนห้อเลือด โต๊ะประชุมซึ่งถูกออกแบบมาเป็นรูปครึ่งวงกลมนั้นเต็มไปด้วยหญิงสาวมากหน้าหลายตา สีหน้าของพวกหล่อนดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก บ้างเริ่มชักสีหน้า บ้างเริ่มขยับมือมากุมไว้จนชื้นเหงื่อ สายตาทั้งหมดมองตรงไปยังหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเปลือกไม้ซึ่งยืนอยู่ตรงกลางของโถงประชุม

          “ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเฉกเช่นพวกท่าน” หล่อนตอบกลับ น้ำเสียงราบเรียบ

          “เราไม่มีทางเลือกอื่นเลยหรือ?” คราวนี้หาใช่หญิงสาวคนเดิมไม่ที่เอ่ยขึ้น กลับเป็นคนที่นั่งอยู่ทางขวาของหล่อน ดวงตาสีลาพิสหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความหนักใจไม่แพ้กัน สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นแสนยากนักในการตัดสินใจ สภาสูงขาดตัวหล่อนคนนี้ไปไม่ได้จริงๆ มิเช่นนั้นแล้วคงเป็นงานที่หนักหนาสาหัสเกินกว่าบุคคลทั้งหมดจะรับไหว ตัวเธอเองก็เช่นกัน แค่ภาระในมือตอนนี้ก็แทบล้นจนจัดการไม่หวาดไม่ไหว

          ไม่มีใครสามารถทำงานภายในสภาแทนกันได้

          “ไม่” หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่กลางโถงตอบโต้ “ข้าต้องไป เธออยู่ไม่ได้โดยไม่มีข้า”

          “เจ้าเพียงให้เธอเข้ามาอยู่ในความปกครองของสภา แค่นั้นเรื่องก็จบ เจอกันครึ่งทาง” เสียงนุ่มจากหญิงสาวทางฝั่งซ้ายเอ่ยเพื่อเสนอหนทางใหม่ขึ้นมา

          “ข้าทำไม่ได้”

          กล่าวคำขาดออกไป แววตาแข็งกร้าวขึ้นชั่วขณะให้บุคคลทั้งหมดซึ่งนั่งล้อมตัวหล่อนอยู่ผงะตามๆกันไป แม้ว่าคนทั้งหมดจะคุ้นเคยกันดี หากแต่ยังคงมีความเกรงอกเกรงใจกันอยู่บ้าง ยิ่งกับคนตรงหน้าแล้ว ยศของหล่อนสูงเกือบเทียบเท่ากับประธานสภา การที่หล่อนเดินเข้ามายื่นเรื่องลาออกจากสภานั้นเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทีเดียว หญิงสาวทั้งหมดเลื่อนสายตากลับไปมองยังผู้นั่งอยู่กลางโต๊ะครึ่งวงกลมนี้ หล่อนเป็นหญิงสาวที่ดูยังไม่อายุย่างเข้าสามสิบดีด้วยซ้ำ หากแต่กลับเป็นนายเหนือหัวผู้อยู่สูงสุดของสภานี้ จิตใจภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งของหล่อนนั้น ความจริงคงวุ่นวายดุจพายุลูกใหญ่เป็นแน่

          “ข้าไม่อนุญาต”

          คำพูดที่ผู้คนทั้งหมดในสภาคิดกำลังถูกถ่ายทอดออกมาผ่านริมฝีปากคู่งามนั้นแล้ว รอยยิ้มเริ่มแต่งแต้มบนใบหน้าของหญิงสาวหลายคน ในเมื่อผู้อยู่สูงสุดเอ่ยเช่นนี้ มีความเป็นไปได้น้อยมากที่หล่อนจะหลุดพ้นและออกจากสภา

          “หากท่านยังคงยืนยันที่จะปฏิเสธในเจตจำนงนี้ ข้าก็ขอปลดยศและต่ำแหน่งของข้า..ด้วยตัวของข้าเอง”

          ก่อนจะมีใครรู้สึกตัวจากคำเอื้อนเอ่ยซึ่งตรึงสติทั้งหมดขึ้นได้ หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้หาได้อยู่ในห้องโถงนี้อีกต่อไปแล้ว ความเงียบอันน่าอึดอัดโรยตัวลงภายใต้แสงเรืองรองจากโคมระย้า ไม่มีใครกล้าคุยกันถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ หญิงสาวสูงสุดของสภายังคงนั่งนิ่งเพียงแต่ใบหน้าของหล่อนกลับเต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่หล่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาทว่ากึกก้องไปทั่วโถง

          “ห้ามถอดรายชื่อของหล่อนออกจากสภาเด็ดขาด

          “แล้วที่เหลือ..ข้าจะจัดการเอง”

One-Shot

So? (YukkaNen) (10%)

– Love or not, it’s your choice –

C6enmDiVUAACPvj


          กลิ่นอายของกาแฟลอยตลบอบอวลไปทั่วพื้นที่ ต้นเหตุมาจากแก้วสีดำสนิทที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้องนั่งเล่น ไอสีขาวของมันลอยคลุ้งขึ้นมาก่อนที่จะค่อยๆจางหายไปในอากาศ หญิงสาวเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนผู้เป็นเจ้าของแก้วกาแฟนั้นกำลังนั่งสไลด์หน้าจอสมาร์ทโฟนอย่างไร้จุดหมาย ดวงตาคู่สวยดูปรือๆคล้ายกับว่าหล่อนจะหลับอยู่ตลอดเวลา ‘โมริยะ อากาเนะ’เพิ่งตื่นเมื่อไม่กี่นาทีที่นี้แล้ว ตอนนี้หล่อนก็ยังใส่ชุดนอนอยู่ แค่ลุกขึ้นมาหาอะไรดื่มให้ตาสว่าง อากาศเย็นๆหนาวๆภายนอกตัวบ้านทำให้โมริยะไม่ต้องเปลืองค่าไฟเปิดแอร์เลยด้วยซ้ำ และนั่นยิ่งทำให้เปลือกตาของหล่อนแทบปิดลงอีกครั้งทั้งที่มือยังถือสมาร์ทโฟนอยู่

          -แอ๊ดด-

          ตาคมของหญิงสาวเลื่อนไปมองยังต้นเสียง ปล่อยโทรศัพท์เครื่องหรูทิ้งเอาไว้บนโซฟาก่อนจะหาวออกมาหวอดใหญ่ ขยี้สางผมสีอ่อนยุ่งๆของตัวเอง อยากจะล้มตัวลงนอนบนโซฟานิ่มเสียตรงนี้เลย ติดแค่ว่าคนที่เพิ่งเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆหล่อนซะก่อน อากาเนะอ้าแขนเพื่อรับอ้อมกอดจากหญิงสาวผมตรงสีเข้มตรงหน้า โมริยะซุกหน้าลงกับบ่าของหล่อน พูดด้วยน้ำเสียงงัวเงียและเอาแต่ใจเล็กน้อย

          “ยูกะ วันนี้ไม่เข้าบริษัทไม่ได้หรอ?” คนที่ถูกเรียกว่า ‘ยูกะ’ หลุดหัวเราะเบาๆ หล่อนค่อยๆเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าอีกฝ่ายออกเล็กน้อย มอบจุมพิตเบาๆที่ริมฝีปากของเขา

          “ไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้มีประชุมใหญ่ประจำเดือนนี่คะ อากาเน็นก็รู้”

          ‘สุไก ยูกะ’ หญิงสาวเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นมรดกตกทอดมาจากบิดาของหล่อน ตระกูลสุไกเป็นตระกูลที่รวยติดอับดับประเทศ เด็กที่เกิดมาในตระกูลนี้ก็เหมือนเกิดบนกองเงินกองทอง ยูกะก็เช่นกัน แต่หล่อนไม่ได้เป็นพวกใช้เงินฟุ่มเฟื่อย จ่ายนู่นซื้อนี่ไม่หยุด กลับเป็นคนติดดินอย่างน่าประหลาด เข้ากับคนง่ายเสียจนไม่เหมือนกับตำแหน่งประธานบริษัทเอาเสียเลย

          “กาแฟแก้วนี้หมดแล้วต้องไปอาบน้ำนะคะ” หล่อนว่าแบบนั้น โมริยะพยักหน้ารับหงึกหงักแต่ยังคงซุกหน้าของตัวเองไว้ที่บ่าของอีกฝ่ายอยู่ ไม่อยากออกไปจากตรงนี้ เขาขี้เกียจเกินกว่าจะออกไปทำงานพร้อมกับยูกะ ถึงแม้ปกติคนทั้งคู่จะไม่ค่อยออกไปอยู่แล้วก็เถอะ แต่ครั้งนี้เป็นประชุมสำคัญที่เลี่ยงและเลื่อนออกไปไม่ได้ อากาเนะเลยต้องจำใจตื่นเช้าไปเข้าบริษัท

          ‘จะว่าไป…ยังไม่ได้บอกยูกะเลยว่าจะไปงานเลี้ยงรุ่น’ โมริยะคิดขณะที่กำลังจิบกาแฟที่เริ่มเย็นชืด เพื่อนสมัยมหาลัยของหล่อนนัดกันไปงานเลี้ยงรุ่นที่บาร์ของมานากะ อากาเนะดูแล้วคาดว่าตัวเองต้องกลับบ้านดึกแน่ๆเลยคิดที่จะบอกสุไกเอาไว้เนืองๆ หล่อนจะได้ไม่โกรธไม่งอนเขาที่กลับช้า

          “ยูกะ”

          “คะ?”

          “อาทิตย์หน้า เอ่อ..ไปงานเลี้ยงรุ่นนะคะ คงกลับบ้านดึกหน่อย” เขาวางแก้วกาแฟที่วางเปล่าลงบนโต๊ะดังกึก หันไปทำสายตาอ้อนๆใส่สุไก อีกฝ่ายก็ได้แต่ระบายยิ้มบนใบหน้าแล้วผงกหัวเป็นเชิงอนุญาต

          “อย่ากลับดึกเกินไปแล้วกันค่ะ”

          หญิงสาวผู้ที่มีอายุอ่อนกว่าดึงรั้งเอวของคนรักเข้ามาใกล้ จูบลงที่มุมปากอย่างแผ่วเบาก่อนย้ายเลื่อนริมฝีปากมาทาบทับลงยังที่เดียวกันคล้ายกับเป็นคำขอบคุณ โมริยะผละออกอย่างรวดเร็ว หล่อนลุกขึ้นจากโซฟานุ่มนิ่มและเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป สุไกคิดว่าคงไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้าบริษัท ดวงตาสีเข้มของยูกะทอดมองไปยังสมาร์ทโฟนที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้บนโซฟาแล้วเลื่อนไปยังแก้มกาแฟสีดำสนิทของอากาเนะ หล่อนหยิบมันไปล้างให้เรียบร้อยแทนคนผมสีอ่อน เพราะเขาต้องลืมแน่ๆว่าตัวเองยังไม่ได้ล้างแก้วกาแฟ เธอกับอากาเนะอยู่ด้วยกันมาได้ประมาณเกือบห้าปีแล้ว แหวนดีไซน์เรียบๆสีเงินวาวประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กเป็นหลักฐานชั้นดีทีเดียว สุไกมองมันด้วยสายตาเหม่อลอย ทว่าริมฝีปากกลับขยับเป็นรอยยิ้มบางๆ ไม่บ่อยนักที่เธอกับอากาเนะจะได้ไปทำงานด้วยกัน เขามักจะเป็นฝ่ายนอนอืดอยู่บ้านเสียมากกว่า แต่อากาเนะก็คอยจัดการเอกสารเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรให้เธอตลอดเลยพอจะโอเคอยู่บ้างนั่นแหละ

          ไม่นานนักโมริยะก็จัดการตัวเองเรียบร้อย ลงมาเรียกสุไกเพื่อไปเข้าบริษัทพร้อมกัน แต่พอมาถึงห้องนั่งเล่นก็เห็นสุไกเอนหลังลงนอนบนโซฟาเสียแล้ว ตาคมสีอ่อนของอากาเนะหลุบลงมองหญิงสาว ค่อยๆแตะมือลงบนแก้มของหล่อนอย่างแผ่วเบา สัมผัสเย็นของแหวนที่นิ้วนางทำให้สุไกค่อยๆลืมตาขึ้นมา กระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับสายตา เธอแค่คิดว่าจะงีบพักสายตาซักหน่อยแต่กลายเป็นว่าหลับยาวยันอากาเนะลงมาซะอย่างงั้น

          “ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะเข้าประชุมสายเอานะ”

          “ค่ะ”

          .

          .

          .

          .

          “ประชุมโคตรน่าเบื่อเลยให้ตายสิ” เสียงบ่นเป็นหมีกินผึ้งของชิโอริดังเข้าหูของโมริยะ หล่อนกำลังขีดฆ่าข้อความที่จดลงไปในกระดาษแผ่นเล็กของตัวเอง พ่นลมหายใจด้วยความเบื่อหน่าย อยากกลับบ้านไปนอนซุกฟุยุกะจะตายอยู่แล้ว

          “ทำใจหน่อยน่าซาโตชิ ยูกะกับฉันยังเบื่อเลยเถอะ” โมริยะไหวไหล่ ที่จริงแล้วอากาเนะมีตำแหน่งในบริษัทเป็นเลขาของยูกะเลยต้องคอยจัดการพวกเอกสารบ้าง ติดต่องานนอกบ้าง นี่เลยเป็นสาเหตุให้หล่อนนอนอืดอยู่บ้านทั้งวัน เพราะแค่อยู่เฉยๆก็มีคนในบริษัทต่อสายตรงส่งงานมาให้เช็คอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ได้เข้าบริษัทเลย อากาเนะเข้าบริษัทประมาณหนึ่งหรือสองครั้งต่ออาทิตย์เหมือนยูกะ บางครั้งก็เข้าพร้อมกันบางครั้งก็ไม่ ส่วนใหญ่จะเข้ามาบริษัทไม่พร้อมกันเสียมากกว่า

          “รู้งี้ฉันโดดประชุมดีกว่า”

          “ให้มันน้อยๆหน่อย นี่ประชุมใหญ่ ลองโดดสิฉันจะบอกให้ยูกะลดเงินเดือนแก”

          “โห่ อะไรว้า..เดี๋ยวนี้เป็นคนแบบนี้หรอเน็น!” ซาโต้ยิ่งบ่นมากกว่าเดิมไปอีก โมริยะก็ได้แค่ส่ายหน้าเอือมระอา

          “งั้นฉันไปแล้วนะ เจอกันอีกทีวันงานเลี้ยงรุ่น”

          “อ้าว ไปแล้วหรอ? บายยย”

          หลังแยกตัวกับซาโต้แล้วอากาเนะก็เดินออกจากห้องประชุม หล่อนบอกให้ยูกะออกไปรอที่รถก่อน จะตามไปทีหลัง ทว่าพอไปถึงหล่อนกลับได้เห็นภาพที่ไม่ควรจะเห็นเข้าให้แล้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนสั่นระริก ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น เธออยากหนีหายจากตรงๆนี้ไปซะเดี๋ยวนี้

          ยูกะกำลังจูบกับฮาบุซัง

——————–10%——————-

 

Drabble

00:00 AM. (YukkaNen)

DCcnHOYUAAAmU1A


          22 : 50 PM.

          อีก 1 ชั่วโมงกับ 10 นาที จะหมดวันที่ 22 พฤศจิกายน

          เผลอกัดริมฝีปากจนห้อเลือดอย่างลืมตัว ข้อความซึ่งถูกพิมพ์เอาไว้โดนลบหายไปอีกครั้ง หล่อนเขียนๆลบๆแบบนี้มาซักพักใหญ่ๆแล้ว หัวคิ้วเรียวกดลงด้วยความเคร่งเครียด หัวสมองมันตื้อไปหมด สุดท้ายเลยตัดสินใจทิ้งตัวลงกับที่นอนนุ่มและโยนสมาร์ทโฟนคู่ใจเอาไว้ข้างๆ

          ยากนะ
          อวยพรวันเกิดแฟนเก่าเนี่ย

          “เห้อ..”

          คิดถึง คิดถึงจะแย่แล้ว แต่ก็รู้ รู้ว่าตัวเองไม่ได้มีสิทธิ์ในตัวเขาดังเช่นแต่ก่อน อากาเนะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำไมเธอต้องมาคิดมากกับอะไรแบบนี้ด้วยนะ..
เหล่สายตาไปมองยังเครื่องมือสื่อสารที่นอนตายอยู่ข้างๆด้วยความลังเล ท้ายที่สุดมือเรียวก็หยิบฉวยมันขึ้นมา เปิดหน้าประวัติการสนทนาระหว่างเธอและ’แฟนเก่า’ในโปรแกรมแชทยอดฮิตสีเขียว พิมพ์ข้อความสั้นๆ และกดส่งไป

          ‘HBDนะ ยูกะ🐎”

          หลังส่งข้อความนั้นไปไม่นานนักก็ขึ้น read อย่างรวดเร็ว ราวกับหล่อนกำลังรอข้อความนี้อยู่ยังไงยังงั้น แต่..มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก อากาเนะไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองซักเท่าไหร่นัก

          ‘จำได้ด้วยหรอคะ ว่าวันนี้วันเกิดเรา?’

          ทำไมจะจำไม่ได้ละ..
          วันเกิดของคนที่รักนี่นา..

          ‘อืม’

          แล้วพวกเธอทั้งคู่ก็เงียบไป ไร้ซึ่งบทสนทนาต่อจากนั้น อย่างน้อยตอนนี้โมริยะก็พอจะใจชื้นขึ้นมาบ้างที่สามารถกลั้นใจส่งคำอวยพรไปให้ยูกะได้ แม้มันจะสั้นแสนสั้นก็ตามที ถอนหายใจพลางกดปิดหน้าจอ

          ‘คอลได้มั้ยคะ?’
          ‘เรา..อยากได้ยินเสียงอากาเน็นนะ’

          อากาเน็น

          ชื่อเล่นที่เธอเกือบลืมไปแล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้ยังจำได้ เวลามันก็ผ่านเลือนมาสามปีกว่าๆแล้วแท้ๆ ดวงตาสีเปลือกอัลมอนด์หรี่ลงเล็กน้อยอย่างชั่งใจ เธอจะตอบกลับไปยังไงดีนะ ความกระอักกระอวนภายในจิตใจนั้นเพิ่มขึ้นมายิ่งกว่าตอนกลั้นใจส่งคำอวยพรเสียอีก

          ‘…’
          ‘จะคอลกับเธอจนกว่าจะหมดวันนี้แล้วกัน’

          23 : 10 PM.

          เหลือเวลาอีก 50 นาที
          สุไก ยูกะ
          ฉันจะให้เวลาเธอแค่นี้เท่านั้น

          ‘กดคอลมาสิ’

          ฝ่ามือของอากาเนะเริ่มชื้นเหงื่อเมื่ออีกฝ่ายกดคอลมาตามที่หล่อนบอกจริงๆ สไลด์ปัดหน้าจอกดรับไป ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ความเงียบโรยตัวลงมา ปลายสายไม่ยอมเอ่ยเอื้อนคำพูดใดให้เธอได้ยิน เนิ่นนานจนเวลาผ่านไปเกือบสิบนาที หล่อนจึงยอมปริปากเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้น

          “ไม่ได้คุยกันนานเลยนะคะ”
          “อืม”
          “อากาเน็นเป็นยังไงบ้างคะ? สบายดีมั้ย?”
          “ก็ดี เธอล่ะ?”
          “ก็..ดีล่ะมั้งคะ..”
          “กับคนนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ ไปได้ด้วยดีมั้ย?”

          คู่สนทนาเงียบไปซักพักให้อากาเนะเริ่มเอะใจ
          เกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ?

          “..เลิกกันไปแล้วล่ะค่ะ”

          ได้ยินประโยคนี้แล้วหัวใจของหญิงสาวผมสีอ่อนก็กระตุกวูบ เป็นคำที่เธอเคยอยากให้ยูกะพูดกับคนๆนั้นเมื่อนานมาแล้ว แต่มาทบทวนดูมันคงไม่ทีทาง ยูกะรักเขาจะตาย

          รัก..ยิ่งกว่ารักเธอด้วยซ้ำ

          “หื้ม? ทำไมล่ะ ก็เห็นรักกันดีนี่นา”
          “คงผิดที่เราเองแหละค่ะ”
          “ผิดที่เธอ?”
          “เรายังตัดใจจากอากาเน็นไม่ได้นี่คะ”
          “เรายัง..รักอากาเน็นอยู่”

          พูดอะไรไม่ออก
          น้ำท่วมปาก

          โมริยะเหลือบตาไปยังนาฬิกาดิจิตอลที่วางอยู่ตรงหัวเตียง เผลอตัวแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากแห้งผากคล้ายขาดการดูแลมาเป็นระยะเวลานาน

          23 : 45 PM.

          อีก 15 นาที

          ตาย ตายแน่อากาเนะ

          มือถูกยกขึ้นมานวดขมับ ดวงตากลอกไปมาระดมสมองอย่างหนักหน่วงเมื่อปลายสายพูดจบ เธอจะเชื่อได้ยังไงว่ายูกะยังรักเธออยู่จริงๆ

          จะเชื่อได้ยังไง ว่ายูกะต้องการเธอ
          และจะเชื่อได้อย่างไร..ว่าเธอจะไม่ถูกทิ้งอีก

          “ฉันเชื่อเธอได้หรอ”

          น้ำเสียงสั่นเครือถูกเปล่งตอบออกไป

          “เธอจะให้ฉันไว้ใจเธออีกครั้งหลังจากเธอทิ้งฉันไปงั้นหรอ?”
          “อย่าเห็นแก่ตัวไปหน่อยเลยยูกะ”
          “อากาเน็น…”
          “ถ้าจะขอคอลเพราะเรื่องแบบนี้ งั้นฉันวาง—“
          “อากาเน็น! ห้ามวางนะคะ ห้าม! ห้ามเด็ดขาดเลยนะ!”
          “….”
          “อย่างน้อย..ก็ขอให้เราได้พูดความรู้สึกของเราก่อน..”

          โมริยะผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ พยายามใจเย็นเพื่อฟังคำอธิบายของคุณหนูใจร้ายที่ทิ้งเธอไปโดยไม่อธิบายอะไรเลย

          “เรารู้ว่าเราผิด เราขอโทษที่ทำเป็นเมินเฉยกับความรู้สึกของอากาเน็น..”
          “ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ว่าอากาเน็นเจ็บปวดแค่ไหน แต่ตอนนั้นเราจำเป็นจริงๆ..”
          “กว่าเราจะรู้ว่าเรากำลังจะเสียความรักที่อากาเน็นมีให้มันก็…”
          “…อะไร? พูดต่อสิ”
          “สายไป..รึเปล่านะ?”

          23 : 55 PM.

          “อากาเน็น เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้มั้ยคะ?”
          “ถือเป็นของขวัญวันเกิดเราก็ได้ นะคะ…”

          เสียงของหล่อนเริ่มสั่นเครือ ขาดช่วง นั่นทำให้โมริยะเริ่มใจหาย ความรู้สึกเก่าๆตีฟุ้งขึ้นมาราวกับกล่องกระดาษซึ่งเก็บความทรงจำต่างๆไว้ระเบิดออกมา

          เธอ..ควรเชื่อยูกะ ใช่มั้ย?

          “ยูกะ”
          “คะ?”
          “เจอกันพรุ่งนี้..ที่ร้านเดิม”
          “ฉันจะให้คำตอบเธอ”

          00 : 00 AM.

          สายถูกตัดไป

          มุมปากยกขึ้นน้อยๆ

          ขอให้วันเกิดปีนี้เป็นวันที่ดีนะ

          สุขสันต์วันเกิด สุไก ยูกะ
          หญิงสาวผู้เป็นที่รักของฉัน

The Broken Prophecy

The Broken Prophecy : 04

04 : You? Me?

various pairings

DJLkWdyVAAEO0ic


          และทุกอย่างก็เป็นอย่างที่ชิโฮะคาดเป๊ะๆ พอพวกหล่อนมาถึงร้านขายหนังสือก็มีคนต่อคิวยาวออกมายันนอกร้าน เพราะมัวแต่เดินคุยกันถึงได้ช้า เมนคูนกลอกตาไปมาอย่านึกเอือมระอาเพื่อนทั้งหลาย แต่ถ้าหากจะบอกว่าพวกเธอช้าแล้ว กลับมีคนมาช้ายิ่งกว่า หญิงสาวสองคนที่มีความสูงเหลื่อมล้ำกันเล็กน้อยวิ่งหอบมาหยุดหอบแฮ่กๆต่อด้านหลังกลุ่มของคาโต้อีกที มิเรย์ที่ยืนอยู่เกือบหลังสุดในยินบทสนทนาของสองสาวด้านหลังแว่วๆ

          “โหยยย เมย์! เนี่ยเป็นไง มาสายเลย”

          “อ้าว ก็ยูกะไม่ยอมปลุกเรานี่นา!”

          ฟังๆไปแล้วก็คงเป็นคนจากคลาสเดียวกับเจ้าแมวขนฟูอย่างชิโฮะล่ะมั้ง รู้สึกคนที่ชื่อเมย์คงเผลอหลับอย่างชิโฮะ หล่อนต้องหลับยาวยันจบคลาสแน่ๆเพื่อปลุกแล้วก็ไม่ตื่นเลยมาเอาหนังสือสายพอๆกับพวกชิโฮะที่เดินเม้าท์มอยกันมาตลอดทาง หญิงสาวผมสีช็อคโกแลตปรายตาไปมองเพียงชั่วครู เด็กที่ชื่อเมย์.. หน้าตาคุ้นๆคล้ายกับว่าพวกเธอเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน ที่ไหนซักที่…และมันเกี่ยวข้องกับรุ่นพี่ลาบลาดอร์ของเธอ คาโต้ลอบกัดริมฝีปากของตัวเองเมื่อเห็นหน้าของหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเองชัดๆ แม้จะตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง แต่คงทำอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่ สงสัยต้องรอกลับไปเค้นคอคุมิที่หอแทน

          ส่วนซาซากิคนน้องนั้นกำลังพลิกแผ่นกระดาษรายชื่อหนังสือที่ต้องใช้ไปมาอย่างคนไม่มีอะไรทำ ชิโฮะก็โดนอายากะกับเมมิเซ้าซี้ซักถามเรื่องของพี่สาวของตัวเองต่อ แน่นอนว่าคนเป็นน้องสาวก็ต้องคอยเงี่ยหูฟังเรื่องของพี่ตัวเองอยู่แล้ว ไม่มีพลาดเสียหรอก คุมิกับชิโฮะดูสนิทกันเกินกว่าคำว่า ‘รุ่นพี่รุ่นน้อง’ ไปมากทีเดียว มิเรย์รู้สึกพลาดที่ตอนอยู่มิตินู้นไม่ได้สังเกตให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นเธอคงได้รับรู้อะไรหลายๆอย่างมากกว่าตอนนี้

          “สรุปยังไงชิโฮะ เล่ามา!”

          “ไม่!”

          “เดี๋ยวนี้ใจคับใจแคบกับเพื่อนหรอห้ะ”

          “อยากเล่าก็เล่าเองแหละน่า”

          “แสดงว่ามีซัมติงกันจริงๆ”

          “ไม่ใช่โว้ยยย”

          เสียงเอะอะโวยวายของเมนคูนขู่ฟอดังไปถึงด้านนอกร้านทำให้ลาบลาดอร์สีทมิฬผู้ลงมาจากหอเพื่อซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ในร้านหนังสือ(เพราะเทอมที่แล้วหล่อนทำหาย)ได้ยินเข้า ดวงตาเรียวเหล่มองออกไปทางด้านนอกร้าน แมวน้อยของเธออยู่ตรงนั้นนั่นเอง คุมิเข้ามาทันแค่ตอนที่อายากะพูดว่ามีซัมติงหรืออะไรซักอย่าง จับใจความเป็นเนื้อไม่ได้ว่าคุยเรื่องอะไรกันอยู่ ถ้าให้เดาก็คงเป็นเรื่องส่วนตัวของชิโฮะ ซึ่งซาซากิคนพี่นั้นไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เดี๋ยวเขาอยากบอกก็บอกเอง ตอนนี้คงแค่เข้าไปทักทายเท่านั้น

          “!!!” คาโต้สะดุ้งตัวผวาเข้าไปเกาะซาซากิคนน้องซึ่งยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเมมิกับอายากะทันทีที่สัมผัสอุ่นจากมือของใครบางคนมาแตะเข้าที่หัวไหล่ หน้าตาตื่นๆเพราะเจ้าตัวก็กำลังระแวงว่าคนที่เป็นหัวข้อในบทสนทนาเมื่อครู่จะมาปรากฏตัวแถวนี้

          แล้วก็มาจริงๆเสียด้วย

          โคตรตายยากเลย

          “อะไรชิโฮะ พี่แค่เข้ามาทักถึงกับต้องหนีเลยหรอ?” แถมไม่พอไปเกาะมิเรย์อีก คุมิได้แต่มองน้องสาวด้วยสายตาติดนิ่งเล็กน้อย ไม่ได้แสดงออกมากถึงขนาดที่คนอื่นสามารถจับพิรุธได้ แม้มิเรย์จะรู้และอ่านสายตาของพี่สาวได้ก็ตามทีเพราะความคุ้นชิน คนผมสั้นเลิกคิ้ว มองตามสายตาซึ่งส่งมาเป็นนัยๆของพี่สาวตัวเองไปก็พบว่าตัวเองนั้นเผลอรวบตัวชิโฮะไปกอดเอาไว้อย่างลืมตัว แต่ทำยังไงได้ เจ้าหล่อนเล่นพุ่งเข้ามาตอนกำลังคิดอะไรเพลินๆ มือมันก็ไปเอง โทษกันไม่ได้หรอกนะคุณพี่สาว

          “ป..เปล่า ก็พี่เล่นเข้ามาข้างหลังไม่ให้รู้ตัวก็ต้องมีตกใจกันบ้างสิ..” ชิโฮะพูดเสียงแผ่วๆพลางดันตัวออกจากอ้อมแขนของซาซากิคนน้อง ก้มหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอโทษขอโพยที่ไปโถมตัวเข้าใส่ ลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากลำบาก ตอนนี้หล่อนกำลังโดนเพื่อนซี้สองคนซักนักซักหนา ประกอบกับบุคคลที่สามซึ่งโผล่มาในสถานการณ์แบบนี้แล้ว นี่มันวันซวยของคาโต้ชิโฮะชัดๆ!

          “แล้วนี่มารับหนังสือกันหรอ?” จงใจเมินคำพูดนั้นของเมนคูนสีเทาแล้วหันไปคุยกับเพื่อนของหล่อนแทน คิ้วเรียวลอบขมวดกดลงเล็กน้อยด้วยความขัดใจที่พี่เขาทำเป็นไม่สนใจกันแบบนั้น แววตาสั่นไหวเล็กน้อย หากแต่คาโต้ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ทำเพียงยืนนิ่งๆอยู่ข้างมิเรย์เท่านั้น

          “ค่ะ แล้วรุ่นพี่อิกุจิไม่มาด้วยหรอคะ?” คาคิซากิถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ ด้วยความที่คุมิเอ็นดูเธออยู่แล้วนั้นทำให้เจ้าตัวไม่ได้คิดอะไรมากกับคำถามนี้ คนตัวสูงหัวเราะเบาๆในลำคอให้กับท่าทางของรุ่นน้อง มือถูกวางไว้บนศีรษะก่อนออกแรงยีเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว ไม่แปลกที่คุมิซึ่งรับหน้าที่ดูแลชิโฮะจะสนิทกับเมมิ เพราะหล่อนอยู่กลุ่มเดียวกับชิโฮะ และแน่นอนว่าลาบราดอร์สีดำตัวนี้ก็สนิทกับอายากะเช่นเดียวกัน

          “ไม่มาหรอก แต่ตอนนี้อยู่ที่ห้องพี่นะ พี่ปลีกตัวลงมาซื้อของ”

          อะไรนะ?

          ที่ห้อง?

          ประโยคนั้นเรียกให้เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีช็อคโกแลตเงยหน้าขึ้นมามองรูมเมทของตนเอง ใบหน้าแสดงออกชัดเจนถึงความไม่พอใจ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอตกลงกับพี่เขาเอาไว้แล้วแท้ๆว่าจะให้ใครเข้าใครออกห้องต้องบอกกันก่อน ชิโฮะพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างยอมแพ้ เบือนเบนสายตาไปทางอื่นเมื่อซาซากิคนพี่ชายตามามองเธอราวกับจะบอกว่า

          ‘พี่ผิดสัญญา’

          ทุกกิริยาท่าทางซึ่งคนทั้งสองแสดงออกมานั้นอยู่ในสายตาของมิเรย์ทั้งหมด หล่อนชักเริ่มแน่ใจในความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวและเพื่อนร่วมคลาสมากขึ้นทุกทีๆ หากแต่มันไม่ได้ชัดเจนมากนักถึงขั้นบอกได้เลยว่าคมุิและชิโฮะกำลังคบกันอยู่ บางครั้งนิสัยของแคไนน์ก็เป็นตัวปัญหาสำหรับเรื่องแบบนี้ เด็กสาวผมสั้นพอจะรู้มาบ้างและนั่นทำให้เธอคิดหนัก สุนัขยังไงก็คือสุนัข ขี้อ้อนและชอบเอาอกเอาใจเป็นที่หนึ่ง ฟีไลน์และแคไนน์มาอยู่ด้วยกัน ไม่แปลกนักถ้าฟีไลน์โลกส่วนตัวสูงจะถูกทำลายกำแพงทั้งหมดลง คาโต้รู้สึกกับพี่สาวของมิเรย์มากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องแน่นอน

          แล้วพี่สาวของเธอเล่า คิดอย่างไรกับชิโฮะ?

          คุมิเป็นคนยังไง เธอรู้ดี ยิ่งท่าทีที่แสดงออกกับรุ่นพี่อิกุจิคล้ายกับที่แสดงกับชิโฮะส่งให้มิเรย์รู้สึกไขว้เขว สำหรับคนเป็นน้องสาวแล้วก็อยากให้พี่สาวเลือกคนที่ดีที่สุด ทว่าหล่อนไม่ได้รู้จักมาโอะหรือชิโฮะดีเท่าคุมิ ฮัสกี้กลอกตาไปมาด้วยความสับสน ทางที่ดีหล่อนไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของทั้งพี่สาวตัวเองและเพื่อนร่วมคลาสให้มากจะดีกว่า แต่ก็ยังอดใจไม่เตือนเพื่อนสาวไม่ได้ มิเรย์ตัดสินใจก้มลงเล็กน้อยด้วยระยะความสูงที่ต่างกันก่อนจะเปล่งเสียงกระซิบแผ่วที่ข้างหูของคาโต้

          “แคไนน์นิสัยเป็นยังไงเธอก็รู้ ชิโฮะ”

          “ถ้าเธอดูๆกับพี่อยู่..เผื่อใจไว้บ้างก็ดี”

          ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่นหลังจากคนผมสั้นผละตัวออกไปยืนนิ่งเช่นก่อนหน้า ทำไมเธอจะไม่เผื่อใจตัวเองเอาไว้ ในเมื่อเธอรู้ตั้งแต่แรกว่าเขามีรุ่นพี่อิกุจิอยู่แล้ว แม้ชิโฮะจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าความสัมพันธ์และสถานะของทั้งสองคืออะไร แต่ที่แน่ๆคือ มันน่าจะมากกว่าเพื่อน คิดไปพลางก้าวเท้าขยับแถวซึ่งค่อยๆเคลื่อนเข้าสู่ตัวร้าน ตอนนี้นี่เองที่หล่อนหลุดออกจากห้วงภวังค์ด้วยสัมผัสที่หัวไหล่คล้ายกับก่อนหน้านี้ ต่างกันแค่เจ้าของฝ่ามือเท่านั้นเอง คาโต้ค่อยๆเคลื่อนใบหน้าหันไปมอง พยักหน้าขึ้นลงเบาๆราวกับจะบอกให้รับรู้ว่าหล่อนรู้สึกตัวแล้ว กล่าวขอบคุณมิเรย์เสียงเบา เลื่อนมือไปแตะยังหลังมือของอีกฝ่ายพลางแกะออกจากไหล่ บีบกระชับมันเล็กน้อยก่อนค่อยๆปล่อยมือของคนตัวสูงกว่าด้วยคิดเสียดายอยู่ไม่น้อย สัมผัสของพี่น้องคู่นี้คล้ายกันจริงๆ..คล้ายจนเธอนึกหวั่นใจ

          ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมลอนเลื่อนลอบมองไปทางหญิงสาวผู้มีอายุมากกว่า ชิโฮะรู้สึกประหม่าอยู่พอสมควรที่สายตาของพวกเธอทั้งสองสบกันพอดี รีบลนลานเสมองไปทางอื่น หล่อนพ่นลมหายใจเสียงแผ่ว พี่เขาควรจะกลับขึ้นไปที่ห้องได้แล้วสิ มีคนรออยู่ไม่ใช่รึไงนะ? คิดพลางกวาดตามองสำรวจภายในตัวร้าน เธอเพิ่งได้สังเกตชัดๆว่าร้านนี้มีสองชั้น รอบด้านผนังถูกตกแต่งด้วยชั้นวางของแบบไล่ระดับขึ้นไปเป็นขั้นบันได บ้างมีขวดน้ำยาหลากหลายสีวางอยู่ บ้างมีหนังสือเล่มหนาปึก สูงขึ้นไปบนเพดานมีโคมระย้าห้อยลงมา รอบๆมีดวงไฟสีฟ้าสว่างลอยวนอยู่ หัวคิ้วของเด็กสาวกดลงเล็กน้อย เธอเคยเดินผ่านที่นี่ก็จริงแต่ไม่เคยเข้ามา(เพราะมันปิด) ไม่คิดว่าข้างในจะค่อนข้างหรูเกินร้านหนังสือปกติไปมากโข

          “พี่ไม่กลับห้องหรอคะ?” พลั้งปากถามออกไปหลังจากชั่งใจอยู่นาน คล้ายหล่อนจะลืมไปว่าสองสาวเพื่อนซี้นั้นยืนอยู่ข้างๆ เข้าทางเมมิกับอายากะนักแหละเรื่องชาวบ้านน่ะ แต่ดูเหมือนตอนนี้บรรยากาศจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยืนฟังเงียบๆน่าจะดีกว่า

          “กลับพร้อมกันสิ พี่รอเธอเนี่ย ยัยเหมียว” คุมิวางมือลงบนหัวของคนตัวเล็กกว่าก่อนจะออกแรงยีมันเบาๆดั่งที่ชอบทำเป็นประจำ แววตาอ่อนลงเล็กน้อย “พี่ไปรอข้างนอกนะ”

          ทั้งกลุ่มมองส่งรุ่นพี่ลาบราดอร์ออกไป หลังจากนั้นความสนใจทั้งหมดก็เทมาที่ชิโฮะ เมมิเกาะซ้าย อายากะเกาะขวา คำถามมากมายถูกยิงไม่ซ้ำกันจนเมนคูนชักจะเริ่มเวียนหัวเข้าเสียแล้ว รู้ทั้งรู้ว่านิสัยของสองคนนี้เวลาอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นจะเป็นยังไง แต่เธอก็เผลอทำเรื่องให้สะกิดใจพวกหล่อนไปเสียแล้ว

          ไม่น่าพลาดเลย ให้ตายสิ..

          .

          .

          .

          .

          “ไหนๆพี่ก็มาแล้ว ช่วยฉันถือหน่อยสิคะ”

          คาโต้ว่าแบบนั้นพร้อมทั้งแบ่งหนังสือปึกใหญ่ไปให้คู่สนทนา ความจริงแล้วทางร้านมีบริการส่งให้ถึงห้อง แต่เธอขี้เกียจออกมาออกมารับของเลยว่าจะถือกลับไปเอง โชคดีที่หล่อนนึกได้ว่าเจ้าหูตูบตัวนึงยืนรออยู่ข้างนอกร้าน เลยถือโอกาสนี้ใช้งานพี่เขาซะเลย

          “แล้ว..จะให้ฉันกลับห้องหรอคะ?” เด็กสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พี่พาคนอื่นเข้ามาในห้องนี่นา”

 

          แถมเธอยังไม่ได้อนุญาตให้พาเข้ามาเลยด้วย

          เหอะ

 

          “ไม่เอาน่า เธอกลับห้องพี่ก็ให้มาโอะกลับไปไง”

          “พี่คือว่ารุ่นพี่อิกุจิจะกลับง่ายขนาดนั้นเชียว?”

          อิกุจิ มาโอะ หล่อนไม่ได้เป็นทั้งแคไนน์หรือฟีไลน์ หากแต่หล่อนนั้นเป็น ‘วุลเปส’ จิ้งจอกขนหางเป็นพวงฟูฟ่องน่าเอ็นดู การผ่านเหล่าที่นานๆครั้งจะเกิดขึ้นทำให้หล่อนกลายเป็นแกะดำอยู่กลางหมู่ดงก้อนขนสีขาวสะอาด ชิโฮะเลยค่อนข้างไม่แปลกใจถ้ารุ่นพี่อิกุจิจะติดคนที่เข้าใจในตัวตนของหล่อน ทว่าสุนัขนั้นซื่อเกินกว่าจะตามเล่ห์เหลี่ยมของจิ้งจอกทัน โดยเฉพาะคุมิ แม้แคไนน์จะมอบความภักดีทั้งหมดไว้ที่เจ้านาย แต่ใช่ว่าพวกมันจะถูกล่อลวงไปด้วยสิ่งล่อตาล่อใจไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าสิ่งๆนั้นเป็นอะไรที่สามารถทำให้เจ้าแคไนน์ขี้หงอยคลายความเหงาลงไปได้บ้าง

          และนั่นคือสิ่งที่ชิโฮะกำลังกังวล

 

          “ขึ้นห้องไปเดี๋ยวก็รู้เองแหละ”

          “อื้ม”

          “ชิโฮะ”

          “คะ?”

          “วันนี้มานอนเตียงเดียวกับพี่นะ”

Drabble · Fiction

Lips (CanPun)

– Need some help? –

ZUgrmvQu


          “พี่แคน”

          ถ้อยเสียงแผ่วเบาดังขึ้นอยู่ใกล้ๆหูพร้อมกับสัมผัสอุ่นซึ่งแตะลงบนไหล่ก่อนไล้ลากเลื่อนลงไปสอดประสานคล้องคอหญิงสาวเจ้าของชื่อจากทางด้านหลัง คางวางเกยลงบนกลุ่มเส้นผมสีน้ำตาลเข้มพลางก้มลงมองสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำโดยแทบไม่สนใจเธอเลย

          เอาอีกแล้ว

          นิสัยของคุณนายิกาที่พอเข้าสู่โลกส่วนตัวแล้วก็มักจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างใดๆอีกกำลังทำให้ปัญสิกรณ์หัวเสีย หล่อนค่อยๆคลายมือที่ประสานกันออกมาแนบที่แก้มของคนเป็นพี่ ออกแรงบีบมันเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ยอมละสายตาภายใต้แว่นกรอบกลมจากหน้าจออิเล็กทรอนิกส์มามองเธอซักที หัวคิ้วขมวดกดลงเล็กน้อย ปากเบะออกน้อยๆอย่างเอาแต่ใจตนเอง หล่อนค่อยๆเอื้อมมือไปถอดแว่นของคนอายุมากกว่าออก

          ฮึ แค่นี้ก็ทำงานต่อไม่ได้แล้ว

          หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีอ่อนนึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจเมื่อตัวเองเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าในการทำสงครามประสาทอันแสนเงียบเชียบกับเขา ตัดสินใจวางแว่นกรอบกลมนั้นเอาไว้ตรงเบาะโซฟาหนังใกล้ๆโต๊ะคอมของแคน ก่อนจะกลับมาวอแวกับพี่สาวที่หลังจากโดนถอดแว่นไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัวแล้วก็เอาแต่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยระอาในความเอาแต่ใจของปัญสิกรณ์

          ลูกหมาของเธอชักดื้อขึ้นทุกวันแล้วสิ

          ในที่สุดแคนก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้จนได้ เลื่อนดวงตาสีน้ำตาลเข้มช้อนขึ้นไปมองคนน้องด้วยความขุ่นเคืองที่หล่อนเข้ามาขัดขวางงานที่เธอกำลังจะทำเสร็จอยู่แล้วเชียว ถอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆก่อนเอ่ยน้ำเสียงปนหงุดหงิดเล็กๆกับอีกฝ่าย

          “ปัญ เอาแว่นพี่คืนมา พี่ทำงานไม่ได้”

          “ไม่อะ พี่ไปเที่ยวกับปัญก่อน” น้ำเสียงของปัญสิกรณ์ออกจะติดหยอกเย้าอยู่หน่อยๆ สาวหมวยเลี่ยงประเด็นที่จะคืนแว่นให้แก่เจ้าของด้วยการทิ้งตัวลงนั่งคร่อมบนตักของนายิกาแทน บดบังหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขาให้จดจ่ออยู่ที่หล่อนเพียงคนเดียว ฝ่ามือแนบลงบนแก้มนุ่มนิ่มของหญิงสาวตรงหน้า พยายามบังคับให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบสายตา ทว่ากลับไม่สำเร็จเมื่อแคนฝืนแรงรั้งเบือนใบหน้าไปทางอื่น

          “…ทำไมพี่หนีหน้าปัญจังเลยช่วงนี้ เป็นอะไร?”

          ตอนนี้ปัญชักเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว หล่อนเอื้อมไปแตะไหล่เจ้าของตัก ออกแรงผลักเบาๆให้เขาเอนหลังไปติดชิดพนักเก้าอี้บุหนัง วางทาบฝ่ามือลงบนที่พักแขนกักกั้นไม่ให้หล่อนหนีไปโดยง่าย นายิกาจิ๊ปากอย่างขัดใจ โดนปัญนั่งทับตักก็แทบจะหนีไม่ได้อยู่แล้วเนี่ย

          “ก็พี่กำลังทำงาน แล้วปัญชอบมากวนพี่”

          “เมื่อก่อนพี่ไม่เห็นบ่นแบบนี้เลย..”

          ตาคมอันไร้ซึ่งแว่นกรอบกลมมาดบดบังช้อนขึ้นสบผ่านแววตาสั่นระริกของหญิงสาวอีกคนก่อนที่หล่อนจะหลบตาด้วยการเสไปมองทางอื่น เห็นปัญสิกรณ์เป็นคนเอาแต่ใจแบบนี้แต่หล่อนกลับเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวได้ง่ายเสียยิ่งกว่าอะไร และแน่นอนว่านายิการู้เรื่องนี้ดี พอเห็นปัญหลบตาอย่างนั้นแล้วเธออยากจะตบปากตัวเองแรงๆซักร้อยทีที่หลุดปากพูดอะไรพล่อยๆแบบนั้นออกไป หล่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สัมผัสอุ่นแตะลงบนบั้นเอวของคนบนตักก่อนค่อยๆเลื่อนไปด้านหลัง ออกแรงดึงให้ร่างกายของหญิงสาวผมสีอ่อนเข้ามาประชิด กลิ่นหอมอ่อนๆลอยมาแตะจมูก เธอชอบกลิ่นของปัญ มันช่วยทำให้เธอทุเลาความเครียดทั้งหลายแหล่ที่สะสมจากงานทั้งหมดนั้นลง ราวกับมลายหายไปเพียงเพราะได้กลิ่นๆนี้

          หรือความจริงอาจจะเป็นเพราะตัวปัญเองต่างหาก

          หลังได้รับสัมผัสซึ่งโอบล้อมรอบกายแล้วปัญสิกรณ์ถึงได้เงียบลง หล่อนเอื้อมแขนไปคล้องรอบคออีกฝ่าย ทิ้งน้ำหนักร่างกายลงด้วยความผ่อนคลาย ลมหายใจสม่ำเสมอระรดอยู่แถวๆข้างใบหู ไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆให้มากความ นายิกาไม่ใช่คนพูดน้อย แต่ก็ไม่ใช่คนพูดมากเสียทีเดียว หล่อนจะพูดเยอะในเรื่องที่อยากพูดและสนใจเท่านั้น กระนั้นแล้วปัญกลับเป็นดั่งข้อยกเว้นสำหรับแคน

          “พี่ขอโทษ..”

          “ไม่เป็นไร ปัญรู้ว่าพี่เครียด”

          “อืม.. ว่าแต่วันนี้หนาวเนอะ..”

          “อื้อ พอหนาวๆแบบนี้แล้วปากแตกง่ายด้วย..” พูดถึงตรงนี้แล้วคนเป็นน้องก็ผละตัวออกมาพินิจยังกลีบปากอิ่มตรงหน้า กะไว้แล้วเชียวว่าคนอย่างคุณนายิกาไม่มีทางยอมทาลิปแน่ๆ มือประคองใบหน้าของเขาให้เงยเชิดขึ้นมาเล็กน้อย รอยยิ้มบางๆคลี่ออกมาประดับใบหน้าของอาหมวยให้หญิงสาวเจ้าของตักใจเต้นไม่เป็นส่ำ

          แพ้

          แพ้ราบคาบเลย นายิกา

          “พี่น่าจะทาลิปบ้างนะคะ” จงใจพูดลงหางเสียงพร้อมหัวเราะในลำคออย่างถูกอกถูกใจเมื่อคนหน้านิ่งเริ่มมีปฏิกิริยาตอบกลับมาบ้างแล้ว หล่อนค่อยๆลดระยะทางระหว่างริมฝีปากลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดระยะทางพวกนั้นก็จางหายไป บดคลึงกลีบปากอย่างแช่มช้า อ้อยอิ่ง ละเลียดชิมลิ้มรสกลิ่นคาวเลือดแห้งกรังตามริมฝีปากของนายิกา ไม่มีการรุกล้ำไปมากกว่านั้น ปัญสิกรณ์กดแช่ริมฝีปากเอาไว้เนิ่นนานจนพอใจแล้วหล่อนจึงถอนมันออก ดวงตาฉายแววพอใจอยู่ไม่น้อยกับสัมผัสซึ่งตัวเองเป็นผู้มอบให้แก่อีกฝ่าย

          “ปัญแบ่งลิปให้พี่แล้วนะคะ”

          “ครั้งหน้า..พี่ต้องคืนลิปให้ปัญ”