03 : Necklace?
various pairings
![CufJz-AXYAELQkC](https://panchie001.wordpress.com/wp-content/uploads/2017/04/cufjz-axyaelqkc.jpg?w=453&h=302)
ภายในห้องๆหนึ่งในคฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางป่าร่มรื่นภายใต้รั้วเซลโควา ในห้องนั้นมีโต๊ะประชุมยาวแบ่งเป็นฝ่ายๆ หัวโต๊ะประชุมมีหญิงสาวเรือนผมสีดำขลับยาวตรงเกือบถึงกลางหลังนั่งประสานมือกันเอาไว้อยู่ สายตาของหล่อนกวาดไปทั่วทั้งห้อง บรรยากาศตอนนี้ราวกับทุกคนถูกแช่แข็งเอาไว้ ไม่มีใครกล้าขยับ นั่งหลังตรงติดพนักเก้าอี้ ที่นั่งทางด้านขวาของหญิงสาวคนนั้นเป็นหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ดวงตาของหล่อนคมกริบ เรือนผมออกสีน้ำตาลอ่อนๆเป็นลอนยาวเคลียไหล่ เอนหลังพิงพนัก กอดอกและนั่งไขว่ห้าง ท่าทางของหล่อนดูไม่สำรวมเท่าใดนักสำหรับที่ประชุมนี้แต่กลับไม่มีใครค้านอะไรขึ้นมา ส่วนด้านซ้ายเป็นหญิงสาวร่างสูง สวย และสง่า ความน่าเกรงขามของหล่อนก็ไม่แพ้อีกสองคนทีเดียว เขี้ยวเล็กๆที่โผล่พ้นมุมปากเวลายิ้มขับให้หล่อนดูเป็นหญิงสาวที่สวยสง่าขึ้นไปอีก
ผู้คนที่อยู่ในห้องประชุมนี้ทั้งหมดเป็นคนของ ‘สภาเซลโควา’ มีหน้าที่สอดส่องสายตาดูแลคนในเซลโควาและรวมถึงความเป็นอยู่ของคนในมิติแคไลน์ทั้งหมด ถึงพวกเธอทุกคนจะอายุยังน้อยถ้าเทียบกับคนนอกรั้วเซลโควา หากแต่ก็เป็นคนที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี ผ่านการทดสอบมานับไม่ถ้วน ผู้คนถึงได้ไว้วางใจให้ทำหน้าที่นี้ โดยเฉพาะรุ่นล่าสุดที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ
“มีใครบอกได้เปล่าคะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” เสียงเรียบๆถูกเอ่ยขึ้นมา ‘สุไก ยูกะ’ฟีไลน์ปีหก ประธานสภาแห่งเซลโควา หล่อนเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีร่างฟีไลน์ถึงสามร่าง แน่นอนว่าเพราะเหตุนี้หล่อนถึงถูกเลือกขึ้นมาเป็นประธานสภาอย่างไม่มีข้อกังขา หากรวมความสามารถเข้ากับทัศนคติและตรรกะที่ดีเลิศของหล่อนก็คงจะบอกได้ว่าเป็นชาวแคไลน์ที่พันปีจะมีซักคน อีกทั้งเธอยังเป็นถึงทายาทสายตรงเพียงคนเดียวของตระกูลสุไก ตระกูลเก่าแก่ที่คอยปกครองมิติแคไลน์มายาวนาน ศักดิ์ของเธอถ้าหากจะบอกว่าเป็นเจ้าหญิงก็คงไม่เกินความจริงเท่าใดนัก
“เรื่องนอกรั้วเซลโควา คงไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ” สาวตาคมพูด เสียงถอนหายใจอย่างดูแคลนของหล่อนทำให้ใครหลายๆคนอดที่จะเสียวสันหลังไม่ได้ ‘โมริยะ อากาเนะ’ แคไนน์ปีห้า รองประธาน หล่อนเป็นคนเจ้าอารมณ์ ใช้กำลังเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งยังเป็นชาวแคไลน์ที่แปลก ทั้งๆที่หล่อนเกิดมาเป็นแคไนน์ แต่กลับมีร่างฟีไลน์อยู่ด้วย อาจเพราะสายเลือดของโมริยะไม่เคยมีเด็กคนไหนเกิดมาเป็นชาวแคไลน์ปกติเลย บางคนเป็นฟีไลน์ที่มีร่างแคไนน์ เป็นแบบนี้มาทุกชั่วอายุคน
อากาเนะเป็นเพื่อนสมัยเด็กของยูกะ เรียกว่าเป็นกฏที่ตระกูลสุไกและโมริยะตกลงกันเอาไว้ก็ได้ว่าถ้าหากมีเด็กจากตระกูลโมริยะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเด็กจากตระกูลสุไก ทางโมริยะต้องส่งเด็กคนนั้นมาให้ทางสุไกเลี้ยงดูต่อแทน คล้ายกับเป็นองครักษ์ประจำตัว และแน่นอนว่าเด็กทั้งสองจะถูกเลี้ยงคู่กันเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา
“ยังไม่ทันมีใครยกมืออากาเน็นก็ด่วนพูดแบบนั้นแล้วหรอ?” หญิงสาวทางด้านซ้ายของสุไกพูดขึ้น ‘ฮาบุ มิซุโฮะ’แคไลน์ปีห้า หล่อนนั่งเก้าอี้รองประธานคู่กับโมริยะ ด้วยความที่หล่อนเป็นคนตัวสูงอีกทั้งยังมีร่างแคไนน์เป็นเยอรมันแชฟเฟิร์ด สุนัขที่มีความสง่าผ่าเผยพอๆกับโมริยะที่มีร่างแคไนน์เป็นโดเบอร์แมน อีกหนึ่งเพื่อนสมัยเด็กของสุไก หากนับเรื่องความสนิทแล้วดูฮาบุจะสนิทกับสุไกเสียมากกว่าโมริยะ เพราะนิสัยที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงทำให้เธอกับอากาเนะมักจะมีปากเสียงกันบ่อยๆ และไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาห้ามนอกจากยูกะ เรียกว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากันก็ได้ ทุกวันนี้คนในเซลโความักจะเห็นโดเบอร์แมนและเยอรมันแชฟเฟิร์ดไล่กวดกันเป็นระยะ แต่ก็ไม่ได้ไล่กวดกันธรรมดาเพราะทั้งสองต่างก็มีพลังเวทย์อันเปี่ยมล้น กวดกันทีก็เผาป่าราบไปเกือบครึ่งจนยูกะต้องคอยเดินคุมตลอด
“เงียบเถอะค่ะทั้งสองคน”
แค่เพียงประโยคเดียวของสุไกก็ทำให้รองประธานทั้งคู่รูดซิปปากของตัวเองทันที บรรยากาศทั้งห้องเริ่มไม่ดีขึ้นไปทุกเมื่อ ไม่มีใครกล้ายกมือขึ้นเพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอกเซลโควาได้เลย หญิงสาวถอนหายใจ กวาดสายตามองทั่วทั้งห้องประชุมอีกรอบ ยังคงไม่มีใครพูดอะไรออกมา
เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมีผลกระทบต่อตระกูลสุไกโดยตรงและยังมีผลต่อตระกูลใหญ่ภายใต้การปกครองอย่างโมริยะและฮาบุอีกด้วย คนจากตระกูลฮาบุเริ่มที่จะมีปากเสียงกับโมริยะแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่นั้นแต่ยังมีคนจากทั้งสองตระกูลได้รับบาดเจ็บกลับมาด้วย จากที่ยูกะถามแล้วพวกเขาต่างบอกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนลงมือก่อนจนตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใคร ฝ่ายไหนกันแน่ที่เป็นคนลงมือทำร้ายกันก่อน เป็นแบบนี้ต่อไปคงจะไม่ดีแน่ แต่ยูกะก็รู้ว่าโลกนี้กำลังเป็นไปตามคำทำนายที่อากาเนะเคยพูดเอาไว้ และแน่นอนว่าไม่มีอะไรมาหยุดมันได้นอกเสียจากเบื้องบนจะส่งข้อความมาอีกครั้ง
ก็ได้แค่หวังว่าพวกเขาจะส่งข้อความมาเร็วๆนี้
“จะไม่มีใครพูดอะไรจริงๆหรือคะ?” สุไกพูด “ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็ค่อนข้างผิดหวังในตัวพวกคุณ..”
หากแต่ก่อนที่สุไกจะได้พูดต่อก็มีหญิงสาวหนึ่งในสมาชิกสภายกขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันรู้ค่ะ เรื่องทั้งหมด…”
วันนี้เป็นวันที่สองตั้งแต่เปิดภาพเรียนมาภายในรั้วเซลโควาของมิเรย์ วันที่สองจะเริ่มมีการเรียนการสอนแล้ว เจ้าหูตูบถึงได้รีบตื่นมาแต่งตัวเตรียมเข้าเรียนคลาสแรกของวัน ‘ประวัติศาสตร์ของมิติแคไลน์’ วิชาทฤษฎีที่ดูแล้วคงน่าเบื่ออยู่ไม่หยอก แต่ทำยังไงได้ ปีหนึ่งต้องเก็บวิชาให้ครบ ไม่งั้นปีสองปีสามขึ้นไปจะลำบาก(คุมิบอกมา) ส่วนรูมเมทของเธอ ซารินะมีเรียนตอนบ่าย ตอนนี้ยังนอนซุกผ้าห่มอยู่บนเตียงอยู่เลย อาจเพราะเมื่อคืนอยู่คุยเล่นกันจนดึก เจ้าแคไนน์ตัวเล็กถึงได้ตื่นสายแบบนี้
เมื่อวานระหว่างที่ออกไปเดินเล่นกับซารินะ หล่อนเหมือนได้ยินเสียงโวยวายมาจากคฤหาสน์ที่อยู่ตรงข้ามถึงได้ชวนซารินะขึ้นไปดูก็พบว่ามันมาจากห้องของคุมิ ประตูก็ไม่ได้ล็อก มิเรย์เลยถือวิสาสะเปิดเข้าไป ภาพที่เห็นก็คือพี่สาวตัวเองกำลังคร่อมชิโฮะเอาไว้อยู่ ซาซากิคนน้องกับอุชิโอะตัวแข็งถื่อ
ช็อค..
“พี่..ทำอะไร?” มิเรย์
“รุ่นพี่..เอ่อ..” ซารินะ
คุมิรีบเด้งตัวออกมาพร้อมๆกับชิโฮะที่ไถลตัวลงมายืนข้างเตียง หน้าของคาโต้แดงแปร๊ด หล่อนมองค้อนไปทางซาซากิคนพี่อยู่หลายรอบก่อนเอ่ยปากอธิบายว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ เล่นกันแรงไปหน่อยจนเผลอล้มลงบนเตียง มีคุมิพยักหน้าเสริมเป็นพักๆ แต่มิเรย์กับซารินะก็เหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
“พรุ่งนี้เธอมีคลาสเช้าไม่ใช่หรอ?” คุมิพูดขึ้นหลังชิโฮะอธิบายจบ ตอนนี้เมนคูนนั่งแปะอยู่บนเตียงข้างๆตัวเธอ ส่วนมิเรย์กับซารินะไปลากเก้าอี้มานั่งคุยด้วย ยืนนานเกรงว่าจะเมื่อย
“อือ แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าเรียนที่ห้องไหน..”
“ชิโฮะไปส่งมิเรย์หน่อยสิ เรียนห้องเดียวกันไม่ใช่หรอ?”
“อือ..” เจ้าเหมียวหยักหน้าพร้อมเสียงตอบรับเบาๆ ตอนนี้หล่อนเริ่มเอนตัวไปซบไหล่คุมิแล้ว อาจจะเพราะตื่นเช้าแล้วยังต้องย้ายของ จัดของใส่ห้องใหม่อีก ไม่แปลกที่คาโต้จะเหนื่อย และพอเหนื่อยก็ออกอาการอ้อน กระเถิบตัวไปแนบแคไนน์ข้างๆ ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันพอสมควรทำให้หล่อนซบหน้าได้พอดิบพอดี
“ดูคาโต้ซังง่วงแล้วนะคะ..” ซารินะพูด อีกอย่างที่จริงพวกเธอสองคนจะออกมาเดินเล่นสูดอากาศ ไม่ได้จะมานั่งคุยกับพวกคุมิแต่แรกแล้วด้วย ปล่อยให้สองคนนี้มีเวลาส่วนตัวน่าจะดีกว่า “ออกไปเดินเล่นต่อมั้ยมิเรย์?”
“อื้อ” เจ้าฮัสกี้ตอบกลับ
กลับมาที่ปัจจุบัน ตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววของชิโฮะ คงเพราะมันเช้าเกินไปด้วย(หล่อนกะเวลาตื่นผิด แต่ไหนๆก็ตื่นแล้วเลยลุกไปอาบน้ำซะเลย) ตอนนี้ก็มานอนกลิ้งไปกลิ้งมารออยู่บนเตียง อากาศที่นี่ตอนกลางคืนเย็นสบายมาก หล่อนเลยไม่แปลกใจว่าทำไมถึงไม่มีเครื่องปรับอากาศ
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นให้เจ้าตูบรีบลุกพรวดพราดจากเตียงลงไปเปิดประตูให้ กลัวว่าถ้าปล่อยให้เคาะนานกว่านี้ซารินะอาจจะตื่นเอาได้ แต่พอเปิดประตูมาแล้วกลับไม่ใช่ชิโฮะ เป็นเด็กสาวอีกคนที่มิเรย์ไม่คุ้นหน้าแทน เธอตัวเล็กกว่ามิเรย์พอๆกับซารินะ ผมยาวที่มัดแกละแล้วปล่อยให้พาดบ่าทั้งสองข้างขับให้เด็กสาวคนนี้ดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก หล่อนเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่า เอียงคอเล็กน้อย
“มิเรย์ใช่มั้ย?” หล่อนว่า เสียงเล็กๆนั่นดูเข้ากับรูปลักษณ์ภายนอดเป็นอย่างดี
“อื้อ แล้วเธอ..?”
“คาคิซากิ เมมิ” เด็กสาวยิ้ม “ชิโฮะให้มารับแทนน่ะ ไปด้วยกันนะ?” หล่อนยื่นมือออกมา หวังจะให้เจ้าตูบตรงหน้าจับ ฮัสกี้เอ๋อๆก็ยืนงงอยู่ครู่นึงก่อนจะยื่นมือไปจับมือนุ่มของอีกฝ่ายเอาไว้
‘เพื่อนชิโฮะสินะ..’ มิเรย์คิด
ฟีไลน์และแคไนน์ทั้สองเดินลงจากห้องพัก ที่จริงเมมิก็พักอยู่ที่หอนี้เหมือนกัน หล่อนอยู่ห้อง C207 คู่กับ ‘ทาคาเสะ มานะ’ ฟีไลน์เนบีลังปีสอง ชิโฮะถึงได้ฝากให้มารับมิเรย์แทน หล่อนขี้เกียจเดินข้ามหอมารับ อีกอย่างตอนเช้าเป็นเวลาพักผ่อนก่อนเข้าเรียน หล่อนคงนอนอุตุอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาข้างๆลาบราดอร์ขี้แกล้งพี่สาวของมิเรย์แน่ๆ
“มิเรย์จะทานข้าวเลยมั้ย? แม่บ้านที่นี่เตรียมไว้ให้หมดแล้วนะ” คาคิซากิพูดขณะที่เดินผ่านห้องอาหาร ภายในห้องมีคนอยู่ค่อนข้างบางตาเพราะว่ายังเช้าอยู่ มิเรย์ก็ไม่รอช้าตกลงทันทีเพราะถ้าหากรอให้สายกว่านี้แล้วค่อยมากินอาจจะไม่มีที่นั่งก็ได้
หลังจากมื้อเช้าผ่านไปก็เหลือเวลาอยู่อีกนานกว่าจะเข้าเรียน เมมิถึงชวนมิเรย์ออกไปเดินเล่นแถวๆลานน้ำพุสูดอากาศเย็นๆตอนเช้า เจ้าเหมียวค่อยๆก้าวไปทีละก้าวช้าๆอย่างไม่เร่งรีบ หล่อนหันไปคุยกับมิเรย์เป็นระยะ ส่วนใหญ่ก็ถามนู่นถามนี่เกี่ยวกับเรื่องนอกมิติแคไลน์ คาคิซากิไม่เคยออกไปอยู่นอกมิติแคไลน์นานเท่าชิโฮะเลยไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่
“ไม่มีเวทย์แต่มีพวกอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแทน?”
“อื้อ ประมาณนั้นแหละ ฉันยังไม่ค่อยชินกับที่นี่เลย..” มิเรย์หัวเราะเบาๆ “ว่าแต่เมมิเป็นฟีไลน์พันธุ์ไหนหรอ?”
“บริติชช็อตแฮร์น่ะ” คนตัวเล็กยิ้ม หากว่ามีหางกับหูตอนนี้มันคงส่ายไปส่ายมาไม่หยุดแน่ๆ เห็นแบบนี้แล้วฮัสกี้ก็เลยเอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายปุๆ คุมิบอกว่าพวกฟีไลน์ส่วนใหญ่ชอบให้ลูบหัว แต่บางคนก็ชอบให้เกาคางมากกว่า ซึ่งมิเรย์ดูแล้วเมมิน่าจะเป็นพวกแรก หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่าง บริติชชอตแฮร์เป็นแมวที่มีนิสัยเรียบร้อย ไม่ค่อยโวยวาย ดูเหมาะกับคนตรงหน้ามากๆ
“เหมาะกับเมมิดีนะ”
“ไม่หรอก…ว่าแต่จะขึ้นห้องเลยมั้ย? ตอนนี้คงมีคนทยอยขึ้นไปกันแล้ว”
“ไปสิ”
.
.
.
.
.
“ฉันบอกพี่แล้วไงว่าเมื่อคืนอย่าชวนเล่นจนดึกอะ!”
เสียงโวยวายดังเอะอะมาจากทางห้องน้ำ คาโต้เพิ่งจะโผล่ออกมาพ้นประตู ตอนนี้ตัวหล่อนใส่ชุดยูนิฟอร์มเรียบร้อยแล้ว แต่เหลือผมที่ยังเปียกๆอยู่เพราะเพิ่งสระ คิ้วหล่อนขมวดจนแทบจะเป็นโบว์ วันนี้เธอตื่นสาย ทั้งๆที่เป็นวันแรกของการเรียนการสอนด้วย ดีที่ฝากเมมิไปส่งมิเรย์แทน ไม่งั้นคงได้พาเพื่อนซวยไปอีกคน
ทางด้านคุมิตอนนี้ก็คิ้วขมวดไม่แพ้กัน ลาบราดอร์ยันตัวขึ้นมานั่งสางผม ปีสามยังไม่เริ่มเรียนวันนี้หล่อนถึงตื่นสายได้ แต่กลับลืมไปว่าชิโฮะมีเรียนแต่เช้า.. เมื่อคืนเลยชวนเล่นซะดึก กว่าจะได้นอนก็ปาไปตีหนึ่งกว่าๆแล้ว ตอนนี้เลยไถ่โทษเจ้าเหมียวขนฟูด้วยการนั่งใช้เวทย์ลมที่มีไอร้อนช่วยเป่าผมลอนสีช็อคโกแลตหอมๆกลิ่นแชมพูสระผมของเจ้าตัวแทน
“ก็พี่ลืม..ขอโทษได้มั้ยล่ะ?”
“ไม่ได้!!”
“ไม่เห็นต้องเสียงดังเลย..เดี๋ยวห้องข้างๆก็มาเคาะประตูด่าหรอก” ซาซากิมุ่ยหน้า มือข้างนึงถือหวี อีกข้างคอยใช้ลมเป่าผมให้รูมเมทของตน ไม่นานเรือนผมลอนยาวของอีกฝ่ายก็แห้งสนิทแล้ว
“แล้วเมื่อวานยังให้มิเรย์เห็นอะไรแบบนั้นอีก..” เจ้าก้อนขนว่า เสียงขู่แง่งๆดังมาเป็นระยะขณะที่คุมิกำลังรวบผมของคาโต้ให้เป็นทรงโพนี่เทลเผยให้เห็นต้นคอขาว เห็นแล้วก็ลอบกลืนน้ำลาย
‘นี่ยังเช้าอยู่คุมิ ท่องไว้..’
หลังมัดผมให้เสร็จ สายตาของคุมิยังไม่ละจากต้นคอขาวนั่นจนชิโฮะหันมามองด้วยสายตาสงสัย เด็กสาวสะกิดรุ่นพี่ของตัวเองเบาๆให้หันมาคุยกันหน่อย แต่ก่อนจะได้เอ่ยปากอะไรก็มีสัมผัสเย็นวาบของโลหะที่รอบคอของตัวเองเสียก่อน
“หือ? พี่ใส่อะไรให้ฉันน่ะ?”
“สร้อยคอไง พี่ก็บอกไปแล้วว่าพี่เป็นเจ้าของเธอ” ซาซากิว่า ใบหน้าเผยยิ้มกรุ้มกริ่ม หยิบกระจกขึ้นมาสะท้อนภาพของอีกฝ่ายที่สวมใส่สร้อยสีเงินวาวห้อยจี้สีฟ้าใสเอาไว้ ถึงดีไซน์มันจะดูเรียบๆแต่ก็ดูสวยพอไปอยู่บนตัวคาโต้
“สวยมั้ย?”
“อื้อ สวย..” หล่อนตอบรับแทบจะทันที “แต่ตอนนี้ฉันจะสายแล้ว ไปนะคะ” มือของชิโฮะดึงคอเสื้ออีกฝ่ายลงมามอบรอยจูบที่แก้มของซาซากิก่อนกระโดดลงจากเตียงวิ่งลงไปที่ห้องอาหาร เหลือเวลาอีกไม่มากเท่าไหร่แล้วถ้าตัดเวลากินข้าวออกไป อย่างน้อยหาพวกแซนด์วิชรองท้องไปก็ยังดี
คุมิก็ได้แต่มองตามจนเด็กสาวพ้นประตูห้องไปแล้วถึงล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม ชิโฮะอาจจะยังไม่รู้ว่าการที่มีคนใส่สร้อยหรือโชกเกอร์ให้มันไม่เหมือนการซื้อของให้แบบปกติ แต่เธอก็คงไม่บอกเจ้าก้อนขนหรอก ปล่อยให้ไปรู้เอาเองดีกว่า เพราะกว่าตัวคุมิจะรู้ว่ามันหมายถึงอะไรก็ตอนจะจบปีสองแล้ว ถ้าชิโฮะสงสัยหรือสะกิดใจซักหน่อยคงจะรู้เร็วๆนี้นั่นแหละ..
“ยัยลูกแมวเอ๊ย..” เขาพูดเบาๆก่อนหลับตา ทิ้งให้ห้องทั้งห้องตกสู่ความเงียบสงบยามเช้าอีกครั้ง
.
.
.
.
.
ระหว่างที่ชิโฮะกำลังเร่งฝีเท้าลงมาจากชั้นสองของคฤหาสน์ เมมิกับมิเรย์ก็ถึงห้องเรียนเป็นที่เรียบร้อย ภายในห้องมีลักษณะเหมือนอัฒจันทร์ครึ่งวงกลม เว้นที่ตรงกลางอาไว้สำหรับอาจารย์ผู้สอน พวกหล่อนเลือกนั่งที่เกือบริมๆ เมมิบอกว่าที่ข้างหน้าอีกสองที่เว้นไว้ให้ชี้โฮะกับอายะป้งซึ่งมิเรย์ก็ไม่รู้ว่าอายะป้งที่ว่านี่คือใคร แต่ดูแล้วน่าจะเป็นเพื่อนของเมมิ
“เมมิดูคุ้นพื้นที่จังน้า?”
“อื้อ ตอนเข้ามาเรียนปรับพื้นฐานบางคลาสก็โดดไปเดินดูพวกห้องอะไรแบบนี้น่ะ”
“เด็กไม่ดี” ซาซากิหัวเราะเบาๆพลางยีหัวอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว ฝ่ายคนตัวเล็กก็ดันๆมือเจ้าหูตูบออก หล่อนละสายตาออกมาจากมิเรย์ที่กำลังยีผมตัวเองอยู่ เห็นอายากะกำลังเดินมาทางนี้ “มิเรย์หยุดก่อน”
เด็กสาวผมสั้นยอมหยุดแต่โดยดี มองตามสายตาของคาคิซากิไปก็พบเด็กสาวอีกคน หล่อนมัดผมโพนี่เทลหากแต่ไม่ได้ยกสูง เหมือนทางนั้นก็มองมาหามิเรย์ด้วยสายตางงๆ เมมิกวักมือเรียกเพื่อนสาวให้มานั่งที่นั่งตรงหน้าที่ยังว่างอยู่ ทาคาโมโตะพยักหน้าตอบแล้วรีบเดินมานั่งแปะ หมุนเอี้ยวตัวขึ้นไปมองคาคิซากิสลับกับซาซากิคนน้องด้วยสายตาสงสัย เธอเคยเห็นมิเรย์ก็จริงแต่ก็แค่สองสามครั้ง ไม่ได้เห็นหน้าชัดๆด้วยเลยจำไม่ค่อยได้
“ใครน่ะเมมิ?” หล่อนถามไปแบบนั้น
“มิเรย์ไง น้องสาวรุ่นพี่ซาซากิ”
“อ้อ..” เด็กสาวคู่สนทนาของคาคิซากิพยักหน้า “ทาคาโมโตะ อายากะ เพื่อนเมมิ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน” มิเรย์ยิ้มตาหยี ตอนนี้ก็เหลือแค่ชิโฮะคนเดียวแล้วที่ยังไม่มา นักศึกษาปีหนึ่งเริ่มทยอยมากันจนจะเต็มห้องแล้ว
เวลาผ่านไปซักพักก็มีเสียงวิ่งตึกๆขึ้นมาบนอัฒจันทร์ ชิโฮะนั่นเอง หล่อนเลี้ยวเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆทาคาโมโตะ หายใจหอบถี่เพราะหล่อนกลัวมาไม่ทันเลยวิ่งจากหอพักมาถึงห้องเรียนแทบไม่ได้หยุด จนกระทั่งปรับลมหายใจได้แล้วถึงค่อยพูดขึ้น
“ฉ-ฉันมาทันเนอะ?”
“เกือบไม่ทัน นั่น อาจารย์มาแล้ว หันกลับไปเร็ว” เมมิชี้ให้เห็นหญิงสาวที่ดูอายุยี่สิบต้นๆ ผมยาวเป็นลอนของหล่อนบวกกับใบหน้าสวยดูเข้ากันอย่างหาที่ติไม่ได้ รอบคอมีโชกเกอร์สีดำสนิทที่ห้อยจี้สีม่วงเข้มเอาไว้ ตาคมกวาดมองนักศึกษาทั้งห้องหลังหล่อนเดินเอาเอกสารมาวางที่โต๊ะอาจารย์เรียบร้อยแล้ว รอยยิ้มถูกระบายขึ้นบนใบหน้า ‘ชิราอิชิ ไม’ อาจารย์ประจำวิชาประวัติศาสตร์ของเซลโควา ถึงรูปร่างภายนอกจะเหมือนยี่สิบต้นๆ แต่ก็มีเสียงลือหนาหูว่าที่จริงหล่อนอายุปาเข้าไปจะร้อยกว่าแล้ว ซึ่งก็ไม่แปลกเท่าใดนัก บุคคลสำคัญของเซลโความักมีอายุยืนกันอยู่แล้ว
“เอาล่ะเจ้าลูกแมวลูกหมาปีหนึ่ง บางคนอาจจะเคยได้ยินหรือพบกับครูมาแล้วในช่วงปรับพื้นฐาน แต่สำหรับบางคนที่ไม่รู้ ครูชื่อ ชิราอิชิ ไม” หล่อนพูด เดินกอดอกวนรอบพื้นที่ด้านหน้าอัฒจันทร์ช้าๆอย่างไม่เร่งรีบนัก
“อันที่จริงคลาสแรกมันควรจะเป็นคลาสโฮมรูม ถูกมั้ย?” ชิราอิชิยักคิ้ว “แต่เพราะว่าครูเป็นครูที่ปรึกษาของห้องพวกเธอ เขาเลยจับมารวมกันกับคาบประวัติศาสตร์ทีเดียวเลย”
พูดจบหล่อนก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ ไฟสีเขียวสว่างลุกพรึ่บขึ้นตรงหน้าเหล่านักศึกษาก่อนที่มันจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นแผ่นกระดาษขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเพียงเล็กน้อย
“นี่เป็นรายการหนังสือที่พวกเธอต้องใช้ในการเรียนการสอนภาคทฤษฏีทุกวิชาของเทอมหนึ่ง เอามันไปยื่นให้ร้านหนังสือที่อยู่ในต้นไม้หลังคฤหาสน์หลัก”
คำว่าร้านหนังสือที่อยู่ในต้นไม้เรียกความสนใจของมิเรย์ให้ละสายตาจากแผ่นรายชื่อหนังสือตรงหน้าได้ทันที ตอนที่คุมิพาเดินดูก็ไม่เห็นพูดถึง สงสัยคงจะลืม แต่เธอน่าจะไปกับพวกเมมิได้ ซาซากิมองลงไปยังที่นั่งข้างล่างก็เห็นคาโต้ฟุบหน้าลงกับโต๊ะเสียแล้ว สงสัยว่าเมื่อคืนคุมิคงแกล้งยัยเหมียวจนนอนดึกแน่ๆถึงมาหลับเอาตอนนี้ และคงเป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนมาสายด้วย
“อันนี่จริงคลาสแรกก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่หรอก เพราะพวกเธอยังไม่มีหนังสือ แต่ครูจะขอเกริ่นเอาไว้ก่อนคร่าวๆแล้วเราค่อยมาต่อกันคลาสหน้าเนอะ?” เสียงของอาจารย์สาว?ยังคงดังเจื้อยแจ้วไปเรื่อยๆ ฟังได้เพลินๆ วิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่มิเรย์ไม่ได้เกลียดไม่ได้ชอบ ฟังได้อยู่แล้วแต่เหมือนเด็กสาวข้างๆจะสนใจเป็นพิเศษ
“มิติแคไลน์แรกเริ่มเดิมทีแล้วพวกเราถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย แคไนน์และฟีไลน์ อยู่แยกกันอย่างชัดเจน มักมีการกระทบกระทั่งกันตามชายแดนเขตของทั้งสองฝ่าย และเหมือนจะมีสงครามประทุอยู่เนืองๆ” ชิราอิชิว่าพลางผายมือไปยังด้านหลังของหล่อน มีภาพหลายสิบภาพลอยวนอยู่กลางอากาศ ทั้งหมดล้วนเป็นรูปภาพการต่อสู้ของเหล่าฟีไลน์และแคไนน์ในอดีต
“ระหว่างที่สงครามกำลังประทุขึ้นต่างฝ่ายก็ต่างสงสายเข้าไปในฝ่ายตรงข้าม สงสัยใช่มั้ยว่าส่งไปได้ยังไง? ครูจะขอเก็บเอาไว้เล่าคลาสหน้า” เธอหัวเราะเบาๆ หลังจากนั้ก็เล่าต่อ “แต่กว่าจะมาเป็นแคไลน์แบบทุกวันนี้สงครามก็เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน สูญเสียกันไปก็เยอะจนมีสามตระกูลใหญ่ลุกขึ้นมาจัดระบบมิตินี้เสียใหม่ แน่นอนว่าครูขออุบไว้เจาะลึกในคลาสหน้าอีกเหมือนกัน”
แต่ก่อนที่หล่อนจะได้พูดอะไรต่อก็มีคนเปิดประตูเข้ามา เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย ภายใต้กรอบแว่นกลมเป็นดวงตาใสที่มีหางตาตกดูเศร้าๆ เธอตัวเล็กกว่าอาจารย์ชิราอิชิอยู่เล็กน้อย เดินถือหนังสือเล่มหนามาแนบอก รอบคอของหล่อนมีโชกเกอร์แบบเดียวกับของชิราอิชิอยู่ด้วย
“อ้อ นอกจากจะมีครูเป็นที่ปรึกษาแล้วก็ยังมีครูอีกท่านนึงด้วยนะ” หล่อนหันไปยังผู้มาใหม่ รอยยิ้มมุมปากถูกส่งให้อาจารย์อีกคนที่เพิ่งเข้ามาในห้อง
“นิชิโนะ นานาเสะ ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” เธอยิ้มก่อนจะเดินอ้อมหลังชิราอิชิไปวางหนังสือเล่มหนานั่น และเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่ง ซึ่งไมก็ไม่ได้ว่าอะไร
“ครูกับนานาเสะจะผลัดกันสอนคนละครึ่งคลาส เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ทนเบื่อกับครูไปก่อนนะ”
อันที่จริงการเรียนการสอนของชิราอิชิก็ไม่ได้น่าเบื่อ มีการกระตุ้นให้นักศึกษาตื่นตลอดคลาส แม้กระทั่งคาโต้ที่หลับไปตั้งแต่เริ่มคลาสก็ตื่นมานั่งเรียนกับเขาด้วย เป็นอาจารย์ที่ค่อนข้างเอนเตอร์เทนเด็กอยู่พอสมควรทีเดียว มีนิชิโนะแทรกเนื้อหาบางช่วงที่ตกหล่นเป็นบางครั้งด้วย สุดท้ายมิเรย์ก็ไม่หลับจนกระทั่งหมดคลาส
“จะว่าไปอาจารย์เขาใส่โชกเกอร์เหมือนกันเลยเนอะ?” ซาซากิคนน้องพูดขึ้นขณะที่กำลังเดินลงจากอัฒจันทร์เพื่อไปเอาหนังสือเรียนามที่อาจารย์ที่ปรึกษาบอกเอาไว้ หล่อนสงสัยมาตั้งแต่อาจารย์นานาเสะเดินเข้ามาแล้ว
“บังเอิญรึเปล่า?” คาโต้พูด
“ฉันได้ยินมาว่าแคไลน์ที่มีโชกเกอร์หรือสร้อยมันหมายถึงเขาหมั้นไม่ก็แต่งงานแล้วน่ะ ไม่รู้ว่าจริงมั้ย?” อายากะพูดขึ้นมาบ้าง “แล้วนั่นชิโฮะ เธอก็ใส่สร้อยนี่?”
เด็กสาวผมลอนแอบสะดุ้งตัว เธอุตส่าห์เก็บมันเอาไว้ใต้เสื้อเชิ้ตอีกทีจะได้ไม่มีใครสังเกต แต่คนตาดีอย่างอายากะกลับเห็น ยิ่งพอรู้ว่ามันมีความหมายไปในทางนั้นก็ยิ่งน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะพูดยังไง จะบอกว่าคุมิให้น้องเขาก็ยืนตาปริบๆอยู่ตรงนี้แล้วด้วย หล่อนอึกอักอยู่นานก่อนยอมตอบออกไปเสียงเบา
“เอ่อ..พี่คุมิให้มา..”
“หวายยย พี่เขาชอบแกหรอ!” อายากะวี้ดว้ายเสริมมาด้วยเมมิ ปล่อยให้มิเรย์เดินตามมาต้อยๆ ยังสงสัยว่าคุมิให้สร้อยชิโฮะทำไมในเมื่อหล่อนก็มีมาโอะอยู่แล้ว เพราะตลอดเวลาที่มิเรย์พักอยู่ห้องเดียวกับคุมิ มาโอะทำตัวเป็นเจ้าเข้าวเจ้าของคุมิสุดๆ..
“ไม่ใช่ว่าคุมิเป็นเฟนกับรุ่นพี่อิกุจิหรอ?” มิเรย์พูด เรียกให้อีกสามคนหันมามอง อายากะและเมมิมองหน้ากัน ก่อนจะหันไปมองเมนคูนที่ทำท่าอึกอักเข้าไปใหญ่
“เธอคงไม่ได้ไปแย่งแฟนเขามานะ?”
“บ้าหรอ! ใครจะไปแย่ง พี่เขาไม่ได้คิดอะไรกับรุ่นพี่อิกุจิซักหน่อย”
“เหหหหห…”
“ฉันว่าเรารีบเดินกันดีกว่า เดี๋ยวคนเยอะต้องต่อคิวยาวอีก”
คาโต้ว่าแบบนั้นก่อนเดินตัวปลิวนำไปก่อนใครเพื่อน อีกสามคนที่เหลือมองหน้ากันอย่างงงๆก่อนจะเร่งฝีเท้าตามไป เขินอะไรของนาง..
ช่วงเช้าของวันนี้วาตานาเบะออกมาเดินเล่นแถวๆป่าหลังคฤหาสน์ หล่อนไม่อยากเอาแต่อุดอู้อยู่บนห้อง ไม่มีอะไรทำแล้วมันน่าเบื่อ อีกอย่างมานากะชอบมาวอแวด้วยการเปลี่ยนเป็นร่างฟีไลน์ขนพองแล้วนั่งทับอยู่ที่ตักของริสะไม่ให้ลุกอีก ช่างเป็นฟีไลน์ที่ร้ายกาจ ถ้าไม่ได้อยู่กับเทะจิหรือเนรุก็มักเข้ามานัวเนียแบบนี้ สมกับที่เป็นแมวจริงๆ
หล่อนเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ดวงตากวาดมองรอบด้าน บรรยากาศร่มรื่นและสงบช่วยให้เธอผ่อนคลายลงมากทีเดียว เพราะเป็นปีนี้หล่อนขึ้นปีสี่แล้ว คงจะไม่ได้อยู่ในเซลโควาตลอด ต้องออกไปเรียนนอกสถานที่บ้างเป็นบางครั้ง หรือออกไปทำงานเก็บคะแนนที่พวกอาจารย์มอบหมายเอาไว้ คงคิดถึงที่นี่น่าดู
“∼🎶” เสียงฮัมเพลงดังแผ่วเบาเข้ามากระทบโสตประสาทของวาตานาเบะ หล่อนละสายตาจากต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังมองอยู่ไปตามเสียงนั้น เจ้าของเสียงเป็นเด็กสาวคนนึง..ถ้าให้เดาเธอคงอยู่ประมาณปีสองปีสาม หางตาตกๆของหล่อนทำให้ใบหน้าดูเศร้าอยู่ตลอด วาตานาเบะคุ้นๆหน้าเหมือนเคยเห็นเธอมาก่อน แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน
“มาทำอะไรตรงนี้ หือ?” ริสะเดินเข้าไปใกล้ๆเด็กสาว ตอนแรกที่เห็นไกลๆนั้นไม่เ็นว่าหล่อนถือแผ่นกระดาษเอาไว้ด้วย พอเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆถึงเห็นว่ามันเป็นเนื้อเพลง
เด็กสาวคนนั้นพอเห็นริสะเดินเข้ามาก็รีบพับเนื้อเพลงเก็บลงในกระเป่ากระโปรง แย้มยิ้มบางให้อีกฝ่าย ก่อนตอบกลับไป
“หาที่เงียบๆซ้อมร้องเพลงน่ะค่ะรุ่นพี่วาตานาเบะ” หญิงสาวผมสั้นค่อนข้างแปลกใจทีเดียวที่อีกฝ่ายรู้ชื่อของเธอ แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ หล่อนอาจเป็นเพื่อนของยูรินะก็ได้ถึงได้รู้จักเธอ
“อ้อ ว่าแต่เธอ..?”
“ยุยค่ะ โคบายาชิ ยุย” เธอพูด “ฟีไลน์ปีสองค่ะ”
‘ฟีไลน์อีกแล้วหรอ..’ วาตานาเบะคิด รอบตัวหล่อนมีคนเป็นฟีไลน์เยอะกว่าแคไนน์เสียอีก อย่างมานากะ เนรุ ฟุยุกะ มาเจอโคบายาชิเข้าไปอีก แต่หวังว่าหล่อนคงจะไม่ได้เป็นพวกชอบนัวเนียแบบบมานากะหรือดุอารมณ์แปรปรวนเหมือนฟุยุกะหรอกนะ..
“ที่ร้องเมื่อกี้เพราะนะ” ริสะค่อยๆยิ้มตอบไปเล็กน้อย ปกติแล้วเธอเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะยิ้มยากไปซักหน่อย เนรุเคยพุดว่าถ้าเธอไม่ได้เป็นแคไนน์คงได้ฉายาเสือยิ้มยากไปแล้ว
“ข..ขอบคุณค่ะ” โคบายาชิพูดเสียงกระตุกกระตัก ที่จริงหล่อนรู้จักวาตานาเบะผ่านฮิราเตะจริงๆนั่นแหละ เธอมักเห็นเพื่อนร่วมห้องตัวติดกับรุ่นพี่คนนี้เสมอเลยไปตะล่อมถามมา ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสคุยจริงๆจังๆกับเขา เพราะหล่อนเองก็เป็นคนค่อนข้างขี้อายพอสมควร
“จะว่าไปโคบายาชิซังเป็นเพื่อนกับเทะจิ…เอ่อ ยูรินะหรอ?”
“ค่ะ แต่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่เพราะอยู่กันคนละกลุ่ม” เด็กสาวตาเศร้าก้มหน้างุดๆ “เอ่อ..เรียกฉันว่ายุยเฉยๆก็ได้นะคะถ้ารุ่นพี่ไม่ได้รังเกียจอะไร”
“งั้นพี่เรียกเธอว่ายุย ส่วนยุยก็เรียกพี่ว่าริสะก็ได้นะ”
วาตานาเบะก้มลงมองโคบายาชิที่นั่งก้มหน้าอยู่ ดวงตาฉายแววเอ็นดู เด็กผู้หญิงคนนี้คงเป็นคนขี้อาย ไม่เหมือนเทะจิที่กล้าเข้าไปคุยกับคนนู้นคนนี้โดยไม่รู้สึกเขินอายอะไรเลย ทว่าก่อนที่โคบายาชิจะได้พูดตอบว่าตานาเบะไปก็มีเสียงมาเรียกเอาไว้ก่อน
“ยุยป้ง! มาอยู่ที่นี่เอง” เพื่อนสาวของโคบายาชิวิ่งดุ๊กๆมาหา หล่อนตัวเล็กกว่าทั้งยุยและริสะอยู่พอสมควร “ไปกับฉันเร็ว!” หล่อนไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรให้มากความ คว้าข้อมือของโคบายาชิที่ตอนนี้ย่นคิ้วทำหน้าไม่เข้าใจว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นให้วิ่งตามออกไป ทิ้งวาตานาเบะนั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่คนเดียว
“เกิดอะไรขึ้นล่ะนั่น..?”