One-Shot

GOODNIGHT (KumiShiho)

-Have a sweet dream-

c5425788660e338c4ac390451684b


          ปิ๊ป

          เสียงกดปิดโทรทัศน์ดังขึ้นจากหญิงสาวที่นั่งชันเข่าอยู่บนเตียง รายการเคยาคิตเตะคาเคไนตอนเช็ครีแอคชั่นของฮิรากานะเคยากิที่ฟูจิคิวเพิ่งจบไปเมื่อครู่นี้เอง หล่อนอดที่จะขำกับท่าทางของทุกคนแม้กระทั่งตัวเองไม่ได้ ใครจะรู้ว่าพอถ่ายออกมาแล้วมันจะตลกแบบนี้ ยังดีที่ตอนเข้าบ้านผีสิงแล้วเธอไม่ค่อยกลัว แต่อีกสองคนที่เข้าไปด้วยกันเกาะติดแจโดยเฉพาะเมมิ

          “ชิโฮะดูอะไรอยู่น่ะ?”

          เสียงดังมาจากทางด้านห้องน้ำ คุมิเดินใส่ชุดนอน…เสื้อยืดกางเกงขาสั้นเข้ามาใกล้ๆก่อนปีนขึ้นเตียงมานั่งข้างๆ มือของหล่อนกำลังเช็ดผมเปียกๆของตัวเอง เจ้าของชื่อชิโฮะหันมามองก่อนลงจากเตียงไปหยิบไดร์มาเป่าผมให้เจ้าของห้องแทน หล่อนบอกให้คุมินั่งดีๆโดยที่ยังไม่ได้ตอบว่าดูอะไรไปเมื่อกี้ เป่าผมไปซักผักจนแห้งหมาดๆแล้วถึงได้ตอบกลับไป

          “ดูเคยาคิตเตะอะ คุมิตลก” หล่อนพูดกลั้วหัวเราะ มือวุ่นๆอยู่กับการเป่าผมให้คนอายุมากกว่า เขี้ยวเล็กๆโผล่พ้นมุมปากยามหล่อนยิ้ม คุมิอยากจะหันหลังกลับไปมองแต่ก็ไม่ได้เพราะติดอยู่ที่อีกคนกำลังเป่าผมให้นี่แหละ

          “เธอก็ตลกเถอะ” พูดด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ “แต่ตอนเข้าบ้านผีสิงนี่โดนเด็กๆเกาะแจเลยนี่นา”

          “อื้อ เมมิร้องไห้หนักมากเลยอะ” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนปิดสวิตซ์ไดร์เป่าผม ขยับไปดึงปลั๊กออกแล้วถือไปเก็บคืนที่เดิมจากนั้นถึงค่อยปีนกลับขึ้นมาบนเตียง แต่ยังไม่ทันได้นั่งดีก็โดนเจ้าของเตียงดึงไปกอดซะแล้ว หล่อนนั่งอยู่บนตักของเขา ด้วยส่วนสูงที่ต่างกัน พอนั่งบนตักของคุมิแล้วตาก็สบตาพอดี ก่อนที่คาโต้จะได้ทำอะไรก็โดนคนตัวสูงขโมยหอมแก้มไปอย่างหมั่นเขี้ยว

          “จะว่าไปวันนั้นที่ถ่ายรายการเกาะแกะมาโอะจังจังเลยนะ หื้ม?” มือของคนอายุน้อยกว่าบีบแก้มของซาซากิด้วยความหมั่นไส้พอๆกับน้ำเสียงที่ใช้พูด

          “โอ๊ยย อ๋อโอ๊ดดด” เขาพูดเสียงอู้อี้ พยายามขยับหน้าให้หลุดจากการโดนบีบด้วยมือของชิโฮะ แต่พอหลุดมาแล้วกลับขยับเข้าไปใกล้สาวเจ้า ขโมยจูบที่ริมฝีปากสวยนั่นไปอีกที

          “คุมิ!” เจ้าเหมียวขู่ฟ่อ โวยวายใหญ่

          “อะไรหือออ”

          ตัวการยังคงลอยหน้าลอยตา พอผมแห้งแล้วก็เลยล้มตัวลงนอนโดยไม่ลืมดึง’เพื่อน’ร่วมวงที่วันนี้มาค้างที่บ้านของเธอลงมานอนด้วย หลังฟัดนัวเนียกันไปมาชิโฮะก็เป็นฝ่ายออกแรงดันหญิงสาวเจ้าของห้องออก จากที่ออกแรงเล่นกันเมื่อกี้ทำให้มีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นมาตามไรผมถึงแม้ในห้องจะเปิดแอร์ก็เถอะ

          “เจ้าตัวดี ฉันยังคิดบัญชีไม่หมดนะ วันนี้ก็ลงรูปกับโมริยะซังไม่ใช่หรอ? เขาลงรูปเธอในบล็อกเขาด้วยนี่? น่าหมั่นไส้..”

          “อิจฉาล่ะสิ?”

          “ใครจะอิจฉา ไม่มี๊”

          “ทีเธออวยนากาซาว่าซังฉันยังไม่เห็นบ่นเลย”

          “ก็บ่นแล้วนี่ไง!” คาโต้หัวเราะคิกคัก เอื้อมมือไปโอบรอบคอคนรักพลางดึงเขาลงมาหอมแก้มเป็นการง้อ

          “แหม ทำมาเป็นง้อ”

          “ไม่ชอบหรอ? งั้นวันหลังไม่ง้อแบบนี้แล้วกัน”

          “ไม่ แบบนี้แหละดีแล้ว” เขาว่าก่อนก้มหน้าไปจูบที่แก้มของอีกฝ่ายเบาๆ ชิโฮะเป็นผู้หญิงน่ารัก ตั้งแต่ที่เจอกันตอนออดิชั่นรอบสุดท้ายแล้ว คุมิยังแอบเขินที่หล่อนเขียนลงบล็อกว่าเธอสวยกว่าในรูปตั้งสองร้อยเท่า แถมยังขี้ประจบเหมือนลูกแมวตัวน้อยๆ

          “อื้ออ ขี้อ้อนจัง” หล่อนพูด

          “ที่ลงรูปคู่โมริยะซังก็เพราะในงานจับมืออยู่เลนคู่กันหรอก”

          “รู้น่า แค่ล้อเล่นเอง”

          “นึกว่าคิดจริงจัง” ซาซากิเกลี่ยผมหน้าม้าของอีกฝ่ายเล่น ไล้นิ้วไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย ผ่านแก้ม สันกราม ริมฝีปากอิ่ม คางจนกระทั่งถึงคอระหง คาโต้จับมือเขาไว้ให้หยุดอยู่แค่นั้น

          “ใครจะไปคิดจริงจังกับคุมิ เธอดันไปเล่นไปเซลฟี่กับเขาซะทั่ว”

          “หึง?” ขยับเคลื่อนใบหน้าเข้ามาชิดกัน คำตอบของคาโต้ถูกกลืนหายไปในลำคอพร้อมกับจูบรสหวานที่อีกฝ่ายบรรจงมอบให้ เวลาผ่านไปเนิ่นนานราวกับถูกหยุดเอาไว้ยามที่ริมฝีปากสัมผัสกัน ซาซากิเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกด้วยความเสียดายและแลดูอาลัยอาวรณ์กับรสจูบเมื่อครู่อยู่ไม่น้อยทีเดียว

          “ไม่หึงหรอก..” ชิโฮะหลบตาเขา มุดตัวเข้าผ้าห่มผืนหนาไปแล้ว คุมิเห็นแบบนั้นก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ ขยับแขนไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้

          “นอนกันเถอะ ดึกแล้ว”

          “อื้อ”

          “ราตรีสวัสดิ์”

The Broken Prophecy

The Broken Prophecy : 03

03 : Necklace?

various pairings

CufJz-AXYAELQkC


          ภายในห้องๆหนึ่งในคฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางป่าร่มรื่นภายใต้รั้วเซลโควา ในห้องนั้นมีโต๊ะประชุมยาวแบ่งเป็นฝ่ายๆ หัวโต๊ะประชุมมีหญิงสาวเรือนผมสีดำขลับยาวตรงเกือบถึงกลางหลังนั่งประสานมือกันเอาไว้อยู่ สายตาของหล่อนกวาดไปทั่วทั้งห้อง บรรยากาศตอนนี้ราวกับทุกคนถูกแช่แข็งเอาไว้ ไม่มีใครกล้าขยับ นั่งหลังตรงติดพนักเก้าอี้ ที่นั่งทางด้านขวาของหญิงสาวคนนั้นเป็นหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ดวงตาของหล่อนคมกริบ เรือนผมออกสีน้ำตาลอ่อนๆเป็นลอนยาวเคลียไหล่ เอนหลังพิงพนัก กอดอกและนั่งไขว่ห้าง  ท่าทางของหล่อนดูไม่สำรวมเท่าใดนักสำหรับที่ประชุมนี้แต่กลับไม่มีใครค้านอะไรขึ้นมา ส่วนด้านซ้ายเป็นหญิงสาวร่างสูง สวย และสง่า ความน่าเกรงขามของหล่อนก็ไม่แพ้อีกสองคนทีเดียว เขี้ยวเล็กๆที่โผล่พ้นมุมปากเวลายิ้มขับให้หล่อนดูเป็นหญิงสาวที่สวยสง่าขึ้นไปอีก

ผู้คนที่อยู่ในห้องประชุมนี้ทั้งหมดเป็นคนของ ‘สภาเซลโควา’ มีหน้าที่สอดส่องสายตาดูแลคนในเซลโควาและรวมถึงความเป็นอยู่ของคนในมิติแคไลน์ทั้งหมด ถึงพวกเธอทุกคนจะอายุยังน้อยถ้าเทียบกับคนนอกรั้วเซลโควา หากแต่ก็เป็นคนที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี ผ่านการทดสอบมานับไม่ถ้วน ผู้คนถึงได้ไว้วางใจให้ทำหน้าที่นี้ โดยเฉพาะรุ่นล่าสุดที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ

          “มีใครบอกได้เปล่าคะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” เสียงเรียบๆถูกเอ่ยขึ้นมา ‘สุไก ยูกะ’ฟีไลน์ปีหก ประธานสภาแห่งเซลโควา หล่อนเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีร่างฟีไลน์ถึงสามร่าง แน่นอนว่าเพราะเหตุนี้หล่อนถึงถูกเลือกขึ้นมาเป็นประธานสภาอย่างไม่มีข้อกังขา หากรวมความสามารถเข้ากับทัศนคติและตรรกะที่ดีเลิศของหล่อนก็คงจะบอกได้ว่าเป็นชาวแคไลน์ที่พันปีจะมีซักคน อีกทั้งเธอยังเป็นถึงทายาทสายตรงเพียงคนเดียวของตระกูลสุไก ตระกูลเก่าแก่ที่คอยปกครองมิติแคไลน์มายาวนาน ศักดิ์ของเธอถ้าหากจะบอกว่าเป็นเจ้าหญิงก็คงไม่เกินความจริงเท่าใดนัก

          “เรื่องนอกรั้วเซลโควา คงไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ” สาวตาคมพูด เสียงถอนหายใจอย่างดูแคลนของหล่อนทำให้ใครหลายๆคนอดที่จะเสียวสันหลังไม่ได้ ‘โมริยะ อากาเนะ’ แคไนน์ปีห้า รองประธาน หล่อนเป็นคนเจ้าอารมณ์ ใช้กำลังเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งยังเป็นชาวแคไลน์ที่แปลก ทั้งๆที่หล่อนเกิดมาเป็นแคไนน์ แต่กลับมีร่างฟีไลน์อยู่ด้วย อาจเพราะสายเลือดของโมริยะไม่เคยมีเด็กคนไหนเกิดมาเป็นชาวแคไลน์ปกติเลย บางคนเป็นฟีไลน์ที่มีร่างแคไนน์ เป็นแบบนี้มาทุกชั่วอายุคน

อากาเนะเป็นเพื่อนสมัยเด็กของยูกะ เรียกว่าเป็นกฏที่ตระกูลสุไกและโมริยะตกลงกันเอาไว้ก็ได้ว่าถ้าหากมีเด็กจากตระกูลโมริยะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเด็กจากตระกูลสุไก ทางโมริยะต้องส่งเด็กคนนั้นมาให้ทางสุไกเลี้ยงดูต่อแทน คล้ายกับเป็นองครักษ์ประจำตัว และแน่นอนว่าเด็กทั้งสองจะถูกเลี้ยงคู่กันเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา

          “ยังไม่ทันมีใครยกมืออากาเน็นก็ด่วนพูดแบบนั้นแล้วหรอ?” หญิงสาวทางด้านซ้ายของสุไกพูดขึ้น ‘ฮาบุ มิซุโฮะ’แคไลน์ปีห้า หล่อนนั่งเก้าอี้รองประธานคู่กับโมริยะ ด้วยความที่หล่อนเป็นคนตัวสูงอีกทั้งยังมีร่างแคไนน์เป็นเยอรมันแชฟเฟิร์ด สุนัขที่มีความสง่าผ่าเผยพอๆกับโมริยะที่มีร่างแคไนน์เป็นโดเบอร์แมน อีกหนึ่งเพื่อนสมัยเด็กของสุไก หากนับเรื่องความสนิทแล้วดูฮาบุจะสนิทกับสุไกเสียมากกว่าโมริยะ เพราะนิสัยที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงทำให้เธอกับอากาเนะมักจะมีปากเสียงกันบ่อยๆ และไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาห้ามนอกจากยูกะ เรียกว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากันก็ได้ ทุกวันนี้คนในเซลโความักจะเห็นโดเบอร์แมนและเยอรมันแชฟเฟิร์ดไล่กวดกันเป็นระยะ แต่ก็ไม่ได้ไล่กวดกันธรรมดาเพราะทั้งสองต่างก็มีพลังเวทย์อันเปี่ยมล้น กวดกันทีก็เผาป่าราบไปเกือบครึ่งจนยูกะต้องคอยเดินคุมตลอด

          “เงียบเถอะค่ะทั้งสองคน”

          แค่เพียงประโยคเดียวของสุไกก็ทำให้รองประธานทั้งคู่รูดซิปปากของตัวเองทันที บรรยากาศทั้งห้องเริ่มไม่ดีขึ้นไปทุกเมื่อ ไม่มีใครกล้ายกมือขึ้นเพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอกเซลโควาได้เลย หญิงสาวถอนหายใจ กวาดสายตามองทั่วทั้งห้องประชุมอีกรอบ ยังคงไม่มีใครพูดอะไรออกมา

เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมีผลกระทบต่อตระกูลสุไกโดยตรงและยังมีผลต่อตระกูลใหญ่ภายใต้การปกครองอย่างโมริยะและฮาบุอีกด้วย คนจากตระกูลฮาบุเริ่มที่จะมีปากเสียงกับโมริยะแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่นั้นแต่ยังมีคนจากทั้งสองตระกูลได้รับบาดเจ็บกลับมาด้วย จากที่ยูกะถามแล้วพวกเขาต่างบอกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนลงมือก่อนจนตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใคร ฝ่ายไหนกันแน่ที่เป็นคนลงมือทำร้ายกันก่อน เป็นแบบนี้ต่อไปคงจะไม่ดีแน่ แต่ยูกะก็รู้ว่าโลกนี้กำลังเป็นไปตามคำทำนายที่อากาเนะเคยพูดเอาไว้ และแน่นอนว่าไม่มีอะไรมาหยุดมันได้นอกเสียจากเบื้องบนจะส่งข้อความมาอีกครั้ง

          ก็ได้แค่หวังว่าพวกเขาจะส่งข้อความมาเร็วๆนี้

          “จะไม่มีใครพูดอะไรจริงๆหรือคะ?” สุไกพูด “ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็ค่อนข้างผิดหวังในตัวพวกคุณ..”

          หากแต่ก่อนที่สุไกจะได้พูดต่อก็มีหญิงสาวหนึ่งในสมาชิกสภายกขึ้นมาเสียก่อน

          “ฉันรู้ค่ะ เรื่องทั้งหมด…”


          วันนี้เป็นวันที่สองตั้งแต่เปิดภาพเรียนมาภายในรั้วเซลโควาของมิเรย์ วันที่สองจะเริ่มมีการเรียนการสอนแล้ว เจ้าหูตูบถึงได้รีบตื่นมาแต่งตัวเตรียมเข้าเรียนคลาสแรกของวัน ‘ประวัติศาสตร์ของมิติแคไลน์’ วิชาทฤษฎีที่ดูแล้วคงน่าเบื่ออยู่ไม่หยอก แต่ทำยังไงได้ ปีหนึ่งต้องเก็บวิชาให้ครบ ไม่งั้นปีสองปีสามขึ้นไปจะลำบาก(คุมิบอกมา) ส่วนรูมเมทของเธอ ซารินะมีเรียนตอนบ่าย ตอนนี้ยังนอนซุกผ้าห่มอยู่บนเตียงอยู่เลย อาจเพราะเมื่อคืนอยู่คุยเล่นกันจนดึก เจ้าแคไนน์ตัวเล็กถึงได้ตื่นสายแบบนี้

เมื่อวานระหว่างที่ออกไปเดินเล่นกับซารินะ หล่อนเหมือนได้ยินเสียงโวยวายมาจากคฤหาสน์ที่อยู่ตรงข้ามถึงได้ชวนซารินะขึ้นไปดูก็พบว่ามันมาจากห้องของคุมิ ประตูก็ไม่ได้ล็อก มิเรย์เลยถือวิสาสะเปิดเข้าไป ภาพที่เห็นก็คือพี่สาวตัวเองกำลังคร่อมชิโฮะเอาไว้อยู่ ซาซากิคนน้องกับอุชิโอะตัวแข็งถื่อ

          ช็อค..

          “พี่..ทำอะไร?” มิเรย์

          “รุ่นพี่..เอ่อ..” ซารินะ

          คุมิรีบเด้งตัวออกมาพร้อมๆกับชิโฮะที่ไถลตัวลงมายืนข้างเตียง หน้าของคาโต้แดงแปร๊ด หล่อนมองค้อนไปทางซาซากิคนพี่อยู่หลายรอบก่อนเอ่ยปากอธิบายว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ เล่นกันแรงไปหน่อยจนเผลอล้มลงบนเตียง มีคุมิพยักหน้าเสริมเป็นพักๆ แต่มิเรย์กับซารินะก็เหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่

          “พรุ่งนี้เธอมีคลาสเช้าไม่ใช่หรอ?” คุมิพูดขึ้นหลังชิโฮะอธิบายจบ ตอนนี้เมนคูนนั่งแปะอยู่บนเตียงข้างๆตัวเธอ ส่วนมิเรย์กับซารินะไปลากเก้าอี้มานั่งคุยด้วย ยืนนานเกรงว่าจะเมื่อย

          “อือ แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าเรียนที่ห้องไหน..”

          “ชิโฮะไปส่งมิเรย์หน่อยสิ เรียนห้องเดียวกันไม่ใช่หรอ?”

          “อือ..” เจ้าเหมียวหยักหน้าพร้อมเสียงตอบรับเบาๆ ตอนนี้หล่อนเริ่มเอนตัวไปซบไหล่คุมิแล้ว อาจจะเพราะตื่นเช้าแล้วยังต้องย้ายของ จัดของใส่ห้องใหม่อีก ไม่แปลกที่คาโต้จะเหนื่อย และพอเหนื่อยก็ออกอาการอ้อน กระเถิบตัวไปแนบแคไนน์ข้างๆ ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันพอสมควรทำให้หล่อนซบหน้าได้พอดิบพอดี

          “ดูคาโต้ซังง่วงแล้วนะคะ..” ซารินะพูด อีกอย่างที่จริงพวกเธอสองคนจะออกมาเดินเล่นสูดอากาศ ไม่ได้จะมานั่งคุยกับพวกคุมิแต่แรกแล้วด้วย ปล่อยให้สองคนนี้มีเวลาส่วนตัวน่าจะดีกว่า “ออกไปเดินเล่นต่อมั้ยมิเรย์?”

          “อื้อ” เจ้าฮัสกี้ตอบกลับ

 

          กลับมาที่ปัจจุบัน ตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววของชิโฮะ คงเพราะมันเช้าเกินไปด้วย(หล่อนกะเวลาตื่นผิด แต่ไหนๆก็ตื่นแล้วเลยลุกไปอาบน้ำซะเลย) ตอนนี้ก็มานอนกลิ้งไปกลิ้งมารออยู่บนเตียง อากาศที่นี่ตอนกลางคืนเย็นสบายมาก หล่อนเลยไม่แปลกใจว่าทำไมถึงไม่มีเครื่องปรับอากาศ

          ก๊อกๆ

          เสียงเคาะประตูดังขึ้นให้เจ้าตูบรีบลุกพรวดพราดจากเตียงลงไปเปิดประตูให้ กลัวว่าถ้าปล่อยให้เคาะนานกว่านี้ซารินะอาจจะตื่นเอาได้ แต่พอเปิดประตูมาแล้วกลับไม่ใช่ชิโฮะ เป็นเด็กสาวอีกคนที่มิเรย์ไม่คุ้นหน้าแทน เธอตัวเล็กกว่ามิเรย์พอๆกับซารินะ ผมยาวที่มัดแกละแล้วปล่อยให้พาดบ่าทั้งสองข้างขับให้เด็กสาวคนนี้ดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก หล่อนเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่า เอียงคอเล็กน้อย

          “มิเรย์ใช่มั้ย?” หล่อนว่า เสียงเล็กๆนั่นดูเข้ากับรูปลักษณ์ภายนอดเป็นอย่างดี

          “อื้อ แล้วเธอ..?”

          “คาคิซากิ เมมิ” เด็กสาวยิ้ม “ชิโฮะให้มารับแทนน่ะ ไปด้วยกันนะ?” หล่อนยื่นมือออกมา หวังจะให้เจ้าตูบตรงหน้าจับ ฮัสกี้เอ๋อๆก็ยืนงงอยู่ครู่นึงก่อนจะยื่นมือไปจับมือนุ่มของอีกฝ่ายเอาไว้

          ‘เพื่อนชิโฮะสินะ..’ มิเรย์คิด

          ฟีไลน์และแคไนน์ทั้สองเดินลงจากห้องพัก ที่จริงเมมิก็พักอยู่ที่หอนี้เหมือนกัน หล่อนอยู่ห้อง C207 คู่กับ ‘ทาคาเสะ มานะ’ ฟีไลน์เนบีลังปีสอง ชิโฮะถึงได้ฝากให้มารับมิเรย์แทน หล่อนขี้เกียจเดินข้ามหอมารับ อีกอย่างตอนเช้าเป็นเวลาพักผ่อนก่อนเข้าเรียน หล่อนคงนอนอุตุอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาข้างๆลาบราดอร์ขี้แกล้งพี่สาวของมิเรย์แน่ๆ

          “มิเรย์จะทานข้าวเลยมั้ย? แม่บ้านที่นี่เตรียมไว้ให้หมดแล้วนะ” คาคิซากิพูดขณะที่เดินผ่านห้องอาหาร ภายในห้องมีคนอยู่ค่อนข้างบางตาเพราะว่ายังเช้าอยู่ มิเรย์ก็ไม่รอช้าตกลงทันทีเพราะถ้าหากรอให้สายกว่านี้แล้วค่อยมากินอาจจะไม่มีที่นั่งก็ได้

          หลังจากมื้อเช้าผ่านไปก็เหลือเวลาอยู่อีกนานกว่าจะเข้าเรียน เมมิถึงชวนมิเรย์ออกไปเดินเล่นแถวๆลานน้ำพุสูดอากาศเย็นๆตอนเช้า เจ้าเหมียวค่อยๆก้าวไปทีละก้าวช้าๆอย่างไม่เร่งรีบ หล่อนหันไปคุยกับมิเรย์เป็นระยะ ส่วนใหญ่ก็ถามนู่นถามนี่เกี่ยวกับเรื่องนอกมิติแคไลน์ คาคิซากิไม่เคยออกไปอยู่นอกมิติแคไลน์นานเท่าชิโฮะเลยไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่

          “ไม่มีเวทย์แต่มีพวกอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแทน?”

          “อื้อ ประมาณนั้นแหละ ฉันยังไม่ค่อยชินกับที่นี่เลย..” มิเรย์หัวเราะเบาๆ “ว่าแต่เมมิเป็นฟีไลน์พันธุ์ไหนหรอ?”

          “บริติชช็อตแฮร์น่ะ” คนตัวเล็กยิ้ม หากว่ามีหางกับหูตอนนี้มันคงส่ายไปส่ายมาไม่หยุดแน่ๆ เห็นแบบนี้แล้วฮัสกี้ก็เลยเอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายปุๆ คุมิบอกว่าพวกฟีไลน์ส่วนใหญ่ชอบให้ลูบหัว แต่บางคนก็ชอบให้เกาคางมากกว่า ซึ่งมิเรย์ดูแล้วเมมิน่าจะเป็นพวกแรก หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่าง บริติชชอตแฮร์เป็นแมวที่มีนิสัยเรียบร้อย ไม่ค่อยโวยวาย ดูเหมาะกับคนตรงหน้ามากๆ

          “เหมาะกับเมมิดีนะ”

          “ไม่หรอก…ว่าแต่จะขึ้นห้องเลยมั้ย? ตอนนี้คงมีคนทยอยขึ้นไปกันแล้ว”

          “ไปสิ”

          .

          .

          .

          .

          .

          “ฉันบอกพี่แล้วไงว่าเมื่อคืนอย่าชวนเล่นจนดึกอะ!”

          เสียงโวยวายดังเอะอะมาจากทางห้องน้ำ คาโต้เพิ่งจะโผล่ออกมาพ้นประตู ตอนนี้ตัวหล่อนใส่ชุดยูนิฟอร์มเรียบร้อยแล้ว แต่เหลือผมที่ยังเปียกๆอยู่เพราะเพิ่งสระ คิ้วหล่อนขมวดจนแทบจะเป็นโบว์ วันนี้เธอตื่นสาย ทั้งๆที่เป็นวันแรกของการเรียนการสอนด้วย ดีที่ฝากเมมิไปส่งมิเรย์แทน ไม่งั้นคงได้พาเพื่อนซวยไปอีกคน

ทางด้านคุมิตอนนี้ก็คิ้วขมวดไม่แพ้กัน ลาบราดอร์ยันตัวขึ้นมานั่งสางผม ปีสามยังไม่เริ่มเรียนวันนี้หล่อนถึงตื่นสายได้ แต่กลับลืมไปว่าชิโฮะมีเรียนแต่เช้า.. เมื่อคืนเลยชวนเล่นซะดึก กว่าจะได้นอนก็ปาไปตีหนึ่งกว่าๆแล้ว ตอนนี้เลยไถ่โทษเจ้าเหมียวขนฟูด้วยการนั่งใช้เวทย์ลมที่มีไอร้อนช่วยเป่าผมลอนสีช็อคโกแลตหอมๆกลิ่นแชมพูสระผมของเจ้าตัวแทน

          “ก็พี่ลืม..ขอโทษได้มั้ยล่ะ?”

          “ไม่ได้!!”

          “ไม่เห็นต้องเสียงดังเลย..เดี๋ยวห้องข้างๆก็มาเคาะประตูด่าหรอก” ซาซากิมุ่ยหน้า มือข้างนึงถือหวี อีกข้างคอยใช้ลมเป่าผมให้รูมเมทของตน ไม่นานเรือนผมลอนยาวของอีกฝ่ายก็แห้งสนิทแล้ว

          “แล้วเมื่อวานยังให้มิเรย์เห็นอะไรแบบนั้นอีก..” เจ้าก้อนขนว่า เสียงขู่แง่งๆดังมาเป็นระยะขณะที่คุมิกำลังรวบผมของคาโต้ให้เป็นทรงโพนี่เทลเผยให้เห็นต้นคอขาว เห็นแล้วก็ลอบกลืนน้ำลาย

          ‘นี่ยังเช้าอยู่คุมิ ท่องไว้..’

          หลังมัดผมให้เสร็จ สายตาของคุมิยังไม่ละจากต้นคอขาวนั่นจนชิโฮะหันมามองด้วยสายตาสงสัย เด็กสาวสะกิดรุ่นพี่ของตัวเองเบาๆให้หันมาคุยกันหน่อย แต่ก่อนจะได้เอ่ยปากอะไรก็มีสัมผัสเย็นวาบของโลหะที่รอบคอของตัวเองเสียก่อน

          “หือ? พี่ใส่อะไรให้ฉันน่ะ?”

          “สร้อยคอไง พี่ก็บอกไปแล้วว่าพี่เป็นเจ้าของเธอ” ซาซากิว่า ใบหน้าเผยยิ้มกรุ้มกริ่ม  หยิบกระจกขึ้นมาสะท้อนภาพของอีกฝ่ายที่สวมใส่สร้อยสีเงินวาวห้อยจี้สีฟ้าใสเอาไว้ ถึงดีไซน์มันจะดูเรียบๆแต่ก็ดูสวยพอไปอยู่บนตัวคาโต้

          “สวยมั้ย?”

          “อื้อ สวย..” หล่อนตอบรับแทบจะทันที “แต่ตอนนี้ฉันจะสายแล้ว ไปนะคะ” มือของชิโฮะดึงคอเสื้ออีกฝ่ายลงมามอบรอยจูบที่แก้มของซาซากิก่อนกระโดดลงจากเตียงวิ่งลงไปที่ห้องอาหาร เหลือเวลาอีกไม่มากเท่าไหร่แล้วถ้าตัดเวลากินข้าวออกไป อย่างน้อยหาพวกแซนด์วิชรองท้องไปก็ยังดี

          คุมิก็ได้แต่มองตามจนเด็กสาวพ้นประตูห้องไปแล้วถึงล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม ชิโฮะอาจจะยังไม่รู้ว่าการที่มีคนใส่สร้อยหรือโชกเกอร์ให้มันไม่เหมือนการซื้อของให้แบบปกติ แต่เธอก็คงไม่บอกเจ้าก้อนขนหรอก ปล่อยให้ไปรู้เอาเองดีกว่า เพราะกว่าตัวคุมิจะรู้ว่ามันหมายถึงอะไรก็ตอนจะจบปีสองแล้ว ถ้าชิโฮะสงสัยหรือสะกิดใจซักหน่อยคงจะรู้เร็วๆนี้นั่นแหละ..

          “ยัยลูกแมวเอ๊ย..” เขาพูดเบาๆก่อนหลับตา ทิ้งให้ห้องทั้งห้องตกสู่ความเงียบสงบยามเช้าอีกครั้ง

          .

          .

          .

          .

          .

          ระหว่างที่ชิโฮะกำลังเร่งฝีเท้าลงมาจากชั้นสองของคฤหาสน์ เมมิกับมิเรย์ก็ถึงห้องเรียนเป็นที่เรียบร้อย ภายในห้องมีลักษณะเหมือนอัฒจันทร์ครึ่งวงกลม เว้นที่ตรงกลางอาไว้สำหรับอาจารย์ผู้สอน พวกหล่อนเลือกนั่งที่เกือบริมๆ เมมิบอกว่าที่ข้างหน้าอีกสองที่เว้นไว้ให้ชี้โฮะกับอายะป้งซึ่งมิเรย์ก็ไม่รู้ว่าอายะป้งที่ว่านี่คือใคร แต่ดูแล้วน่าจะเป็นเพื่อนของเมมิ

          “เมมิดูคุ้นพื้นที่จังน้า?”

          “อื้อ ตอนเข้ามาเรียนปรับพื้นฐานบางคลาสก็โดดไปเดินดูพวกห้องอะไรแบบนี้น่ะ”

          “เด็กไม่ดี” ซาซากิหัวเราะเบาๆพลางยีหัวอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว ฝ่ายคนตัวเล็กก็ดันๆมือเจ้าหูตูบออก หล่อนละสายตาออกมาจากมิเรย์ที่กำลังยีผมตัวเองอยู่ เห็นอายากะกำลังเดินมาทางนี้ “มิเรย์หยุดก่อน”

          เด็กสาวผมสั้นยอมหยุดแต่โดยดี มองตามสายตาของคาคิซากิไปก็พบเด็กสาวอีกคน หล่อนมัดผมโพนี่เทลหากแต่ไม่ได้ยกสูง เหมือนทางนั้นก็มองมาหามิเรย์ด้วยสายตางงๆ เมมิกวักมือเรียกเพื่อนสาวให้มานั่งที่นั่งตรงหน้าที่ยังว่างอยู่ ทาคาโมโตะพยักหน้าตอบแล้วรีบเดินมานั่งแปะ หมุนเอี้ยวตัวขึ้นไปมองคาคิซากิสลับกับซาซากิคนน้องด้วยสายตาสงสัย เธอเคยเห็นมิเรย์ก็จริงแต่ก็แค่สองสามครั้ง ไม่ได้เห็นหน้าชัดๆด้วยเลยจำไม่ค่อยได้

          “ใครน่ะเมมิ?” หล่อนถามไปแบบนั้น

          “มิเรย์ไง น้องสาวรุ่นพี่ซาซากิ”

          “อ้อ..” เด็กสาวคู่สนทนาของคาคิซากิพยักหน้า “ทาคาโมโตะ อายากะ เพื่อนเมมิ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

          “ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน” มิเรย์ยิ้มตาหยี ตอนนี้ก็เหลือแค่ชิโฮะคนเดียวแล้วที่ยังไม่มา นักศึกษาปีหนึ่งเริ่มทยอยมากันจนจะเต็มห้องแล้ว

          เวลาผ่านไปซักพักก็มีเสียงวิ่งตึกๆขึ้นมาบนอัฒจันทร์ ชิโฮะนั่นเอง หล่อนเลี้ยวเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆทาคาโมโตะ หายใจหอบถี่เพราะหล่อนกลัวมาไม่ทันเลยวิ่งจากหอพักมาถึงห้องเรียนแทบไม่ได้หยุด จนกระทั่งปรับลมหายใจได้แล้วถึงค่อยพูดขึ้น

          “ฉ-ฉันมาทันเนอะ?”

          “เกือบไม่ทัน นั่น อาจารย์มาแล้ว หันกลับไปเร็ว” เมมิชี้ให้เห็นหญิงสาวที่ดูอายุยี่สิบต้นๆ ผมยาวเป็นลอนของหล่อนบวกกับใบหน้าสวยดูเข้ากันอย่างหาที่ติไม่ได้ รอบคอมีโชกเกอร์สีดำสนิทที่ห้อยจี้สีม่วงเข้มเอาไว้ ตาคมกวาดมองนักศึกษาทั้งห้องหลังหล่อนเดินเอาเอกสารมาวางที่โต๊ะอาจารย์เรียบร้อยแล้ว รอยยิ้มถูกระบายขึ้นบนใบหน้า ‘ชิราอิชิ ไม’ อาจารย์ประจำวิชาประวัติศาสตร์ของเซลโควา ถึงรูปร่างภายนอกจะเหมือนยี่สิบต้นๆ แต่ก็มีเสียงลือหนาหูว่าที่จริงหล่อนอายุปาเข้าไปจะร้อยกว่าแล้ว ซึ่งก็ไม่แปลกเท่าใดนัก บุคคลสำคัญของเซลโความักมีอายุยืนกันอยู่แล้ว

          “เอาล่ะเจ้าลูกแมวลูกหมาปีหนึ่ง บางคนอาจจะเคยได้ยินหรือพบกับครูมาแล้วในช่วงปรับพื้นฐาน แต่สำหรับบางคนที่ไม่รู้ ครูชื่อ ชิราอิชิ ไม” หล่อนพูด เดินกอดอกวนรอบพื้นที่ด้านหน้าอัฒจันทร์ช้าๆอย่างไม่เร่งรีบนัก

          “อันที่จริงคลาสแรกมันควรจะเป็นคลาสโฮมรูม ถูกมั้ย?” ชิราอิชิยักคิ้ว “แต่เพราะว่าครูเป็นครูที่ปรึกษาของห้องพวกเธอ เขาเลยจับมารวมกันกับคาบประวัติศาสตร์ทีเดียวเลย”

          พูดจบหล่อนก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ ไฟสีเขียวสว่างลุกพรึ่บขึ้นตรงหน้าเหล่านักศึกษาก่อนที่มันจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นแผ่นกระดาษขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเพียงเล็กน้อย

          “นี่เป็นรายการหนังสือที่พวกเธอต้องใช้ในการเรียนการสอนภาคทฤษฏีทุกวิชาของเทอมหนึ่ง เอามันไปยื่นให้ร้านหนังสือที่อยู่ในต้นไม้หลังคฤหาสน์หลัก”

          คำว่าร้านหนังสือที่อยู่ในต้นไม้เรียกความสนใจของมิเรย์ให้ละสายตาจากแผ่นรายชื่อหนังสือตรงหน้าได้ทันที ตอนที่คุมิพาเดินดูก็ไม่เห็นพูดถึง สงสัยคงจะลืม แต่เธอน่าจะไปกับพวกเมมิได้ ซาซากิมองลงไปยังที่นั่งข้างล่างก็เห็นคาโต้ฟุบหน้าลงกับโต๊ะเสียแล้ว สงสัยว่าเมื่อคืนคุมิคงแกล้งยัยเหมียวจนนอนดึกแน่ๆถึงมาหลับเอาตอนนี้ และคงเป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนมาสายด้วย

          “อันนี่จริงคลาสแรกก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่หรอก เพราะพวกเธอยังไม่มีหนังสือ แต่ครูจะขอเกริ่นเอาไว้ก่อนคร่าวๆแล้วเราค่อยมาต่อกันคลาสหน้าเนอะ?” เสียงของอาจารย์สาว?ยังคงดังเจื้อยแจ้วไปเรื่อยๆ ฟังได้เพลินๆ วิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่มิเรย์ไม่ได้เกลียดไม่ได้ชอบ ฟังได้อยู่แล้วแต่เหมือนเด็กสาวข้างๆจะสนใจเป็นพิเศษ

          “มิติแคไลน์แรกเริ่มเดิมทีแล้วพวกเราถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย แคไนน์และฟีไลน์ อยู่แยกกันอย่างชัดเจน มักมีการกระทบกระทั่งกันตามชายแดนเขตของทั้งสองฝ่าย และเหมือนจะมีสงครามประทุอยู่เนืองๆ” ชิราอิชิว่าพลางผายมือไปยังด้านหลังของหล่อน มีภาพหลายสิบภาพลอยวนอยู่กลางอากาศ ทั้งหมดล้วนเป็นรูปภาพการต่อสู้ของเหล่าฟีไลน์และแคไนน์ในอดีต

          “ระหว่างที่สงครามกำลังประทุขึ้นต่างฝ่ายก็ต่างสงสายเข้าไปในฝ่ายตรงข้าม สงสัยใช่มั้ยว่าส่งไปได้ยังไง? ครูจะขอเก็บเอาไว้เล่าคลาสหน้า” เธอหัวเราะเบาๆ หลังจากนั้ก็เล่าต่อ “แต่กว่าจะมาเป็นแคไลน์แบบทุกวันนี้สงครามก็เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน สูญเสียกันไปก็เยอะจนมีสามตระกูลใหญ่ลุกขึ้นมาจัดระบบมิตินี้เสียใหม่ แน่นอนว่าครูขออุบไว้เจาะลึกในคลาสหน้าอีกเหมือนกัน”

          แต่ก่อนที่หล่อนจะได้พูดอะไรต่อก็มีคนเปิดประตูเข้ามา เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย ภายใต้กรอบแว่นกลมเป็นดวงตาใสที่มีหางตาตกดูเศร้าๆ เธอตัวเล็กกว่าอาจารย์ชิราอิชิอยู่เล็กน้อย เดินถือหนังสือเล่มหนามาแนบอก รอบคอของหล่อนมีโชกเกอร์แบบเดียวกับของชิราอิชิอยู่ด้วย

          “อ้อ นอกจากจะมีครูเป็นที่ปรึกษาแล้วก็ยังมีครูอีกท่านนึงด้วยนะ” หล่อนหันไปยังผู้มาใหม่ รอยยิ้มมุมปากถูกส่งให้อาจารย์อีกคนที่เพิ่งเข้ามาในห้อง

          “นิชิโนะ นานาเสะ ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” เธอยิ้มก่อนจะเดินอ้อมหลังชิราอิชิไปวางหนังสือเล่มหนานั่น และเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่ง ซึ่งไมก็ไม่ได้ว่าอะไร

          “ครูกับนานาเสะจะผลัดกันสอนคนละครึ่งคลาส เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ทนเบื่อกับครูไปก่อนนะ”

          อันที่จริงการเรียนการสอนของชิราอิชิก็ไม่ได้น่าเบื่อ มีการกระตุ้นให้นักศึกษาตื่นตลอดคลาส แม้กระทั่งคาโต้ที่หลับไปตั้งแต่เริ่มคลาสก็ตื่นมานั่งเรียนกับเขาด้วย เป็นอาจารย์ที่ค่อนข้างเอนเตอร์เทนเด็กอยู่พอสมควรทีเดียว มีนิชิโนะแทรกเนื้อหาบางช่วงที่ตกหล่นเป็นบางครั้งด้วย สุดท้ายมิเรย์ก็ไม่หลับจนกระทั่งหมดคลาส

          “จะว่าไปอาจารย์เขาใส่โชกเกอร์เหมือนกันเลยเนอะ?” ซาซากิคนน้องพูดขึ้นขณะที่กำลังเดินลงจากอัฒจันทร์เพื่อไปเอาหนังสือเรียนามที่อาจารย์ที่ปรึกษาบอกเอาไว้ หล่อนสงสัยมาตั้งแต่อาจารย์นานาเสะเดินเข้ามาแล้ว

          “บังเอิญรึเปล่า?” คาโต้พูด

          “ฉันได้ยินมาว่าแคไลน์ที่มีโชกเกอร์หรือสร้อยมันหมายถึงเขาหมั้นไม่ก็แต่งงานแล้วน่ะ ไม่รู้ว่าจริงมั้ย?” อายากะพูดขึ้นมาบ้าง “แล้วนั่นชิโฮะ เธอก็ใส่สร้อยนี่?”

          เด็กสาวผมลอนแอบสะดุ้งตัว เธอุตส่าห์เก็บมันเอาไว้ใต้เสื้อเชิ้ตอีกทีจะได้ไม่มีใครสังเกต แต่คนตาดีอย่างอายากะกลับเห็น ยิ่งพอรู้ว่ามันมีความหมายไปในทางนั้นก็ยิ่งน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะพูดยังไง จะบอกว่าคุมิให้น้องเขาก็ยืนตาปริบๆอยู่ตรงนี้แล้วด้วย หล่อนอึกอักอยู่นานก่อนยอมตอบออกไปเสียงเบา

          “เอ่อ..พี่คุมิให้มา..”

          “หวายยย พี่เขาชอบแกหรอ!” อายากะวี้ดว้ายเสริมมาด้วยเมมิ ปล่อยให้มิเรย์เดินตามมาต้อยๆ ยังสงสัยว่าคุมิให้สร้อยชิโฮะทำไมในเมื่อหล่อนก็มีมาโอะอยู่แล้ว เพราะตลอดเวลาที่มิเรย์พักอยู่ห้องเดียวกับคุมิ มาโอะทำตัวเป็นเจ้าเข้าวเจ้าของคุมิสุดๆ..

          “ไม่ใช่ว่าคุมิเป็นเฟนกับรุ่นพี่อิกุจิหรอ?” มิเรย์พูด เรียกให้อีกสามคนหันมามอง อายากะและเมมิมองหน้ากัน ก่อนจะหันไปมองเมนคูนที่ทำท่าอึกอักเข้าไปใหญ่

          “เธอคงไม่ได้ไปแย่งแฟนเขามานะ?”

          “บ้าหรอ! ใครจะไปแย่ง พี่เขาไม่ได้คิดอะไรกับรุ่นพี่อิกุจิซักหน่อย”

          “เหหหหห…”

          “ฉันว่าเรารีบเดินกันดีกว่า เดี๋ยวคนเยอะต้องต่อคิวยาวอีก”

          คาโต้ว่าแบบนั้นก่อนเดินตัวปลิวนำไปก่อนใครเพื่อน อีกสามคนที่เหลือมองหน้ากันอย่างงงๆก่อนจะเร่งฝีเท้าตามไป เขินอะไรของนาง..


          ช่วงเช้าของวันนี้วาตานาเบะออกมาเดินเล่นแถวๆป่าหลังคฤหาสน์ หล่อนไม่อยากเอาแต่อุดอู้อยู่บนห้อง ไม่มีอะไรทำแล้วมันน่าเบื่อ อีกอย่างมานากะชอบมาวอแวด้วยการเปลี่ยนเป็นร่างฟีไลน์ขนพองแล้วนั่งทับอยู่ที่ตักของริสะไม่ให้ลุกอีก ช่างเป็นฟีไลน์ที่ร้ายกาจ ถ้าไม่ได้อยู่กับเทะจิหรือเนรุก็มักเข้ามานัวเนียแบบนี้ สมกับที่เป็นแมวจริงๆ

หล่อนเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ดวงตากวาดมองรอบด้าน บรรยากาศร่มรื่นและสงบช่วยให้เธอผ่อนคลายลงมากทีเดียว เพราะเป็นปีนี้หล่อนขึ้นปีสี่แล้ว คงจะไม่ได้อยู่ในเซลโควาตลอด ต้องออกไปเรียนนอกสถานที่บ้างเป็นบางครั้ง หรือออกไปทำงานเก็บคะแนนที่พวกอาจารย์มอบหมายเอาไว้ คงคิดถึงที่นี่น่าดู

          “∼🎶” เสียงฮัมเพลงดังแผ่วเบาเข้ามากระทบโสตประสาทของวาตานาเบะ หล่อนละสายตาจากต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังมองอยู่ไปตามเสียงนั้น เจ้าของเสียงเป็นเด็กสาวคนนึง..ถ้าให้เดาเธอคงอยู่ประมาณปีสองปีสาม หางตาตกๆของหล่อนทำให้ใบหน้าดูเศร้าอยู่ตลอด วาตานาเบะคุ้นๆหน้าเหมือนเคยเห็นเธอมาก่อน แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน

          “มาทำอะไรตรงนี้ หือ?” ริสะเดินเข้าไปใกล้ๆเด็กสาว ตอนแรกที่เห็นไกลๆนั้นไม่เ็นว่าหล่อนถือแผ่นกระดาษเอาไว้ด้วย พอเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆถึงเห็นว่ามันเป็นเนื้อเพลง

          เด็กสาวคนนั้นพอเห็นริสะเดินเข้ามาก็รีบพับเนื้อเพลงเก็บลงในกระเป่ากระโปรง แย้มยิ้มบางให้อีกฝ่าย ก่อนตอบกลับไป

          “หาที่เงียบๆซ้อมร้องเพลงน่ะค่ะรุ่นพี่วาตานาเบะ” หญิงสาวผมสั้นค่อนข้างแปลกใจทีเดียวที่อีกฝ่ายรู้ชื่อของเธอ แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ หล่อนอาจเป็นเพื่อนของยูรินะก็ได้ถึงได้รู้จักเธอ

          “อ้อ ว่าแต่เธอ..?”

          “ยุยค่ะ โคบายาชิ ยุย” เธอพูด “ฟีไลน์ปีสองค่ะ”

          ‘ฟีไลน์อีกแล้วหรอ..’ วาตานาเบะคิด รอบตัวหล่อนมีคนเป็นฟีไลน์เยอะกว่าแคไนน์เสียอีก อย่างมานากะ เนรุ ฟุยุกะ มาเจอโคบายาชิเข้าไปอีก แต่หวังว่าหล่อนคงจะไม่ได้เป็นพวกชอบนัวเนียแบบบมานากะหรือดุอารมณ์แปรปรวนเหมือนฟุยุกะหรอกนะ..

          “ที่ร้องเมื่อกี้เพราะนะ” ริสะค่อยๆยิ้มตอบไปเล็กน้อย ปกติแล้วเธอเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะยิ้มยากไปซักหน่อย เนรุเคยพุดว่าถ้าเธอไม่ได้เป็นแคไนน์คงได้ฉายาเสือยิ้มยากไปแล้ว

          “ข..ขอบคุณค่ะ” โคบายาชิพูดเสียงกระตุกกระตัก ที่จริงหล่อนรู้จักวาตานาเบะผ่านฮิราเตะจริงๆนั่นแหละ เธอมักเห็นเพื่อนร่วมห้องตัวติดกับรุ่นพี่คนนี้เสมอเลยไปตะล่อมถามมา ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสคุยจริงๆจังๆกับเขา เพราะหล่อนเองก็เป็นคนค่อนข้างขี้อายพอสมควร

          “จะว่าไปโคบายาชิซังเป็นเพื่อนกับเทะจิ…เอ่อ ยูรินะหรอ?”

          “ค่ะ แต่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่เพราะอยู่กันคนละกลุ่ม” เด็กสาวตาเศร้าก้มหน้างุดๆ “เอ่อ..เรียกฉันว่ายุยเฉยๆก็ได้นะคะถ้ารุ่นพี่ไม่ได้รังเกียจอะไร”

          “งั้นพี่เรียกเธอว่ายุย ส่วนยุยก็เรียกพี่ว่าริสะก็ได้นะ”

          วาตานาเบะก้มลงมองโคบายาชิที่นั่งก้มหน้าอยู่ ดวงตาฉายแววเอ็นดู เด็กผู้หญิงคนนี้คงเป็นคนขี้อาย ไม่เหมือนเทะจิที่กล้าเข้าไปคุยกับคนนู้นคนนี้โดยไม่รู้สึกเขินอายอะไรเลย ทว่าก่อนที่โคบายาชิจะได้พูดตอบว่าตานาเบะไปก็มีเสียงมาเรียกเอาไว้ก่อน

          “ยุยป้ง! มาอยู่ที่นี่เอง” เพื่อนสาวของโคบายาชิวิ่งดุ๊กๆมาหา หล่อนตัวเล็กกว่าทั้งยุยและริสะอยู่พอสมควร “ไปกับฉันเร็ว!” หล่อนไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรให้มากความ คว้าข้อมือของโคบายาชิที่ตอนนี้ย่นคิ้วทำหน้าไม่เข้าใจว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นให้วิ่งตามออกไป ทิ้งวาตานาเบะนั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่คนเดียว

          “เกิดอะไรขึ้นล่ะนั่น..?”

One-Shot

Divorce (KumiShiho)

– การหย่าร้าง –

C65msnbVoAAvxMB


          ความรักเป็นสิ่งสวยงาม หลายๆคนบอกเช่นนั้น

          หากแต่บางครั้งมันกลับแลกมาด้วยความเจ็บปวด

          .

          .

          .

          .

          .

          ถนนยามราตรีที่หากเป็นวันปกติธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษมันคงเงียบเหงามากทีเดียว แต่ตอนนี้มันเป็นวันสิ้นเดือน วันเงินเดือนออก มนุษย์เงินเดือนบางคนก็ออกมาเที่ยวเตร็ดเตร่เสพสุขผ่อนคลายหลังจากทำงานมาเครียดๆเหนื่อยๆบ้าง แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมี ‘ซาซากิ คุมิ’ หญิงสาวร่างสูงโปร่ง ผมของหล่อนมัดรวบเอาไว้ที่ท้ายทอยหลวมๆ

          และหล่อนไม่ได้มาคนเดียว

          ซาซากิมากับหญิงสาวอีกคน ความสูงไล่ๆกัน แขนของอีกฝ่ายสอดเข้ามาควงแขนของคุมิราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เหมือนหล่อนจะไม่ได้สังเกตแหวนที่นิ้วนางซ้ายของคนที่หล่อนกำลังซุกตัวอ้อนเสียเท่าไหร่นัก พวกเธอพากันเดินออกมาจากผับที่คุมิชอบมาบ่อยๆ แล้วไม่ลืมหิ้วสาวๆสวยๆกลับไปทุกครั้งที่ได้มาที่นี่ และแน่นอนว่าหญิงสาวที่เกาะแขนหล่อนกระหนุงกระหนิงอยู่คนนี้ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน

พอเดินมาถึงรถของซาซากิ หล่อนแกะมือที่กอดแขนตัวเองออก ออกแรงดันหญิงสาวคนนั้นลงไปนอนราบกับกระโปรงรถ เจ้าขอรถเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ริมฝีปากเกือบจะได้สัมผัสกันแล้วหากไม่มีเสียงๆหนึ่งดังแทรกขึ้นมาก่อน

          “หยุด!! หยุดแค่นั้นแหละซาซากิ คุมิ!!”

          เจ้าของชื่อหยุดทันที หล่อนผละออกจากการจัดการหญิงสาวที่ตัวเองควงมาแล้วหันไปมองเจ้าของเสียงโดยไว ลอบกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ คุมิรู้จักคนๆนี้ดี ก็แหงสิ หล่อนเป็นเมียเขานี่นา!

‘คาโต้ ชิโฮะ’ ที่ตอนนี้ควรจะเปลี่ยนนามสกุลมาเป็นซาซากิได้แล้วแต่เจ้าตัวไม่ยอม เห็นบอกว่าขี้เกียจไปทำเรื่องเปลี่ยนนามสกุล เอาไว้หายขี้เกียจแล้วค่อยไป อีกอย่างคือไม่ค่อยอยากให้เพื่อนๆรู้เท่าไหร่ ชีอยากอยู่อย่างสงบสุขไม่ต้องตกเป็นขี้ปากพวกเพื่อนขาเม้าท์ที่ทำงาน

          “ฉันบอกพี่กี่ครั้งแล้วห้ะว่าเลิกไปดีลอิหนูพวกนี้ได้แล้ว บ้านช่องมีไม่กลับ!”

          หญิงสาวปราดเข้ามาดึงแขนคนตัวสูงออกห่างและดันร่างที่นอนราบอยู่บนกระโปรงรถออกไป มองตาเขียวปั๊ด คิ้วขมวดมุ่น ก่อนที่จะหันไปมองหน้าสามีตัวเองและออกแรงดึงแขนหล่อนให้เปิดประตูรถ หล่อนมีทีท่าไม่พอใจ

          ใช่ ไม่พอใจมากๆ

          เธอกับคุมิแต่งงานกันมาจนจะเข้าปีที่สี่แล้ว แต่คุมิกลับเลิกนิสัยนี้ไม่ได้ซักที นิสัยที่ชอบแอบไปคั่วหญิงทุกๆสิ้นเดือนที่เงินออก ไม่ก็วันหยุด ไหนจะวันที่เธอมีคิวบินไปทำงานที่ต่างประเทศ ถ้าคึกๆหน่อยก็พาเข้ามานอนในบ้าน จับได้คาหนังคาเขาก็มี หรือเจอพวกเสื้อผ้าของผู้หญิงอื่นก็มี ไม่รู้ก็มีอีกเยอะแยะ ตอนแรกก็ทำใจให้นิ่งคิดว่าเขาคงเลิกได้ แต่ไม่ มันยังคงเหมือนเดิม

คุมิปล็ดล็อกประตูรถ เปิดให้ชิโฮะเข้าไปก่อน แล้วตัวเองถึงหันไปมองผู้หญิงที่ตัวเองควงมา ยิ้มแห้งๆให้ ไม่รู้จะขอโทษหล่อนยังไงดีที่โดนชิโฮะผลักไป แต่เขาก็ไม่กล้าโทษคนรักของตัวเองเหมือนกัน

          “ขอโทษนะ..พอดีแฟนมาตามแล้ว”

          ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกผิดกับชิโฮะ ทุกครั้งที่ถูกมาตาม ถูกจับได้ รู้สึกไม่ดีตลอด พยายามเลิกก็หลายครั้ง หากแต่สุดท้ายทุกอย่างก็จบเหมือนเดิม ซาซากิรู้ว่าตัวเองทำผิด รู้ว่าอีกฝ่ายเสียใจแต่ก็ไม่เคยโกรธจริงจัง อย่างมากก็แค่บ่นแปปๆแล้วก็เลิก ไม่สนใจมันอีก หล่อนทำเหมือนเรื่องที่คุมิทำเป็นแค่ธาตุอากาศ ทั้งๆที่ถ้าหากเป็นบ้านอื่นคงบ้านแตกกันไปหลายรอบแล้วแน่ๆ

          “….”

          “….”

          ระหว่างทางกลับบ้าน ปกติแล้วถ้าโดนตามมาถึงที่แบบนี้คงโดนบ่นยาวๆและเสียงบ่นนั้นจะเงียบไปเมื่อถึงบ้าน แต่รอบนี้กลับไม่ใช่ คาโต้ปิดปากเงียบ หล่อนกอดอกพิงพนักนิ่งๆ มองออกไปนอกรถ ดวงตาดูเหม่อเลยแปลกๆถ้าคุมิมองไม่ผิด แบบนี้มันผิดปกติเกินไป ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาไม่เคยมีซักครั้งที่ชิโฮะเงียบแบบนี้ ไม่มีเลย

คิดอะไรเรื่อยเปื่อยระหว่างขับรถซาซากิก็เพิ่งจะนึกได้ว่าชิโฮะยังไม่ได้เปลี่ยนชุด คงเพิ่งกลับจากที่ทำงานแล้วตรงมาดักรอเธอเลย เห็นแบบนี้แล้วก็ยิ่งรู้สึกผิด แทนที่อีกฝ่ายจะได้พักผ่อนอยู่บ้านแท้ๆ ทำงานมาก็เหนื่อยพอแล้วยังต้องมาเหนื่อยใจกับอะไรแบบนี้อีก

          “ชิโฮะ” คุมิเรียก

          “…” ไม่มีเสียงตอบกลับจากหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ

          คนตัวสูงกดหัวคิ้วลงเล็กน้อย เลี้ยวรถเข้าไปจอดในโรงรถของบ้านเรียบร้อยแล้วถึงได้หันมามองคนรัก หล่อนผล่อยหลับไปเสียแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอเป็นคนหลับง่ายขนาดนี้ เขาไม่ได้สังเกตเลย ทั้งๆที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนกว่าจะหลับก็กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอยู่นาน

          “เหนื่อยจะตายแล้วยังจะตามไปดักอีก เชื่อเขาเลย..” คุมิพึมพำกับตัวเองเบาๆ ลงไปเปิดประตูรถเพื่ออุ้มหญิงสาวเข้าบ้าน ไม่อยากปลุกเสียงเท่าไหร่ แต่ระหว่างที่กำลังสอดมือเข้าไปช้อนตัวคาโต้ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนซะนี่ หล่อนมองคุมิตาปรือๆ เหมือนยังตื่นไม่เต็มที่

          “นอนต่อเถอะ เดี๋ยวพี่อุ้มเราเข้าบ้านเอง”

          “อือ..ไม่เป็นไร ฉันเดินเข้าบ้านเองได้..พี่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยอุ้มฉันด้วย” เธอว่าแบบนั้นพร้อมกับยันตัวเองขึ้นจากเบาะ ขยี้ตาเบาๆก่อนกะพริบตาถี่ๆปรับแสง เงยหน้ามองคุมิอยู่แว้บเดียวแล้วเดินเข้าบ้านไปก่อน ไม่รอคนที่ปิดประตู ล็อกรถแล้วตามมาซักนิด

          คาโต้เดินขึ้นชั้นสองช้าๆ หลังจากหลับไปตื่นนึงความเเหนื่อยล้าสะสมจากงานก็เข้ามาโจมตีหล่อนทันที แต่นอกจากเหนื่อยกายแล้วยังเหนื่อยใจ คิดว่าอาบน้ำนอนแล้วก็คงจะหาย เธอไม่อยากพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เปลืองน้ำลายเพราะพูดไปก็เท่านั้น คุมิไม่เคยสนใจอะไรอยู่แล้ว

          “ชิโฮะ!” เสียงเขาเรียกตามมาด้านหลังพร้อมๆกับสัมผัสอุ่นๆที่เข้ามาโอบล้อมรอบตัวเธอไว้ คุมิกอดเธอนั่นเอง

          หญิงสาวที่ตัวเล็กกว่าหันไปกลับไปมอง เห็นหน้าเขาอยู่ใกล้ๆตรงนี้นี่เอง หล่อนผงะไป ถอยออกห่างเล็กน้อยเพราะความตกใจ แต่นี่ก็ทำให้ซาซากิใจเสียอยู่ไม่น้อย อย่างที่บอกว่าชิโฮะไม่เคยมีอาการอะไรแบบนี้เลยซักครั้งเดียว ถ้ากอดแล้วเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆแบบนี้ หล่อนมักจะหนีโดยการซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา ไม่ใช่ถอยหนีออกไป

          “..เป็นอะไรหรือเปล่า?”

          “เปล่าค่ะ…พี่ปล่อยก่อนเถอะ วันนี้ฉันเหนื่อยมากแล้ว จะไปอาบน้ำนอน”

          ชิโฮะแกะมือที่กอดเอวตัวเองออก ดวงตาล้าๆช้อนตามองอีกฝ่าย เขย่งตัวขึ้นจูบที่ริมฝีปากเขาๆเบาๆพอให้ใจชื้นว่าไม่มีอะไรจริงๆ แต่คุมิก็รู้อยู่ดีว่ามันไม่ปกติ ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็ยอมปล่อยชิโฮะไปอาบน้ำแต่โดยดี เสียงของหล่อนมันดูเหนื่อยๆ ไม่เหวี่ยงไม่วีนเหมือนตอนแรกที่ไปตามเขากลับบ้าน

          .

          .

          .

          .

          .

          หลังคุมิอาบน้ำเสร็จ ออกมาชิโฮะก็นอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนาแล้ว ตาหล่อนยังไม่ได้หลับแต่กลับเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างแทน ซาซากินั่งลงตรงโต๊ะเครื่องแป้งข้างๆกับเตียงฝั่งที่ชิโฮะนอน รอเป่าผมให้แห้งก่อนแล้วถึงตามขึ้นไปนอนด้วยกันบนเตียง

          “พี่คะ” อยู่ๆชิโฮะก็พูดขึ้นมา

          “ว่าไง?”

          “เรา…หย่ากันดีมั้ย..?”

          คุมิชะงักมือที่ถือไดร์เป่าผมนิ่ง กดปิดสวิตซ์แล้วหันไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู เขาเห็นหล่อนยิ้มฝืนๆกลับมาให้ ดูเจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูก

          “ชิโฮะ นี่มันเลยเอพริลฟูลเดย์มาเกือบจะครึ่งเดือนแล้วน—”

          “ฉันจริงจังนะคะ”

          “…” เป็นคุมิที่แทบสะอึกพอโดนสวนกลับมาแบบนั้น เขาวางไดร์เป่าผมลงหน้ากระจก ไม่ลืมที่จะดึงปลั๊กออกก่อนเคลื่อนย้ายตัวเองไปนั่งข้างๆภรรยาของตัวเองที่กำลังนอนซึมอยู่บนเตียง มือลูบแก้มอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ก้มลงมองหน้าหวังจะสบตา “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?..”

          “พี่ก็รู้..” เธอหลบตา “ฉันจะให้เวลาพี่คิดสองอาทิตย์ ระหว่างนี้ฉันขออยู่ห่างๆพี่ได้มั้ยคะ?”

          “…แต่ชิโฮะ.. ช่วงนี้เราก็แทบไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้วนะ”

          “มันก็เพราะพี่ชอบออกไปข้างนอก”

          คาโต้พูดจบก็พลิกตัวไปอีกด้าน หลับตาลงทันทีเหมือนเหนื่อยที่จะพูดแแล้ว คุมิก็ไม่กล้าเซ้าซี้อะไรมาก แค่ชิโฮะขอหย่ามันก็แย่พอแล้ว เพราะไม่ว่าที่ผ่านมาเหตุการณ์จะร้ายแรงแค่ไหนชิโฮะก็มักจะบอกว่าไม่เคยคิดเรื่องหย่า จนคุมิได้ใจคิดว่ายังไงก็คงไม่มีทางหย่าแน่ๆ แต่สุดท้ายแล้ว…

          คนที่เหนื่อยที่สุดก็คงต้องเป็นฝ่ายถอยออกมา

          ซาซากิเดินไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนอีกฝั่งของเตียง เอื้อมมือหมายจะดึงตัวหญิงสาวอีกคนเข้ามากอดแนบตัว อย่างน้อยได้กอดแค่คืนนี้อีกคืนก็ยังดี เพราะคำว่า ‘ห่าง’ ของชิโฮะก็คือหล่อนจะย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของหล่อน จนกว่าจะครบกำหนดเวลาสองอาทิตย์ที่เธอกำหนดเอาไว้

คุมิซุกหน้าลงกับเรือนผมยาวของอีกฝ่าย กลิ่นแชมพูที่ชิโฮะชอบใช้ลอยมาแตะจมูก ทั้งๆที่ก็ใช้แชมพูขวดเดียวกันแท้ๆแต่พอชิโฮะใช้แล้วกลับหอมติดจมูกกว่าปกติเหมือนมันเป็นกลิ่นของเธอไปแล้ว

          “เฮ้อ..”

          .

          .

          .

          .

          .

          “เออ เรื่องมันก็เป็นแบบนี้อะ ฉันควรทำยังไงดี อีกไม่กี่วันชิโฮะก็จะกลับมาเอาคำตอบแล้วด้วย”

          เสียงวางแก้วกระทบเคาท์เตอร์ดังแกร๊งเรียกให้บาร์เทนดี้สาวหันหน้ากลับมามองผู้ที่วางแก้วลงเมื่อครู่ หล่อนเลิกคิ้ว เช็ดแก้วไปด้วยตอบไปด้วย

          “เอ้า แกไม่อยากหย่าก็ไม่ต้องหย่าดิ คิดอะไรมาก”

          ‘ชิดะ มานากะ’ บาร์เทนดี้สาวเจ้าของบาร์ที่คุมิชอบมาบ่อยๆ สถานะตอนนี้ของชิดะก็เหมือนคุมิคือแต่งงานแล้ว หล่อนแต่งงานกับพี่สาวของเพื่อนสนิท ‘วาตานาเบะ ริกะ’คือชื่อภรรยาของมานากะ เธอเป็นผู้หญิงน่ารัก นุ่มนิ่มน่าถนุถนอม ไม่แปลกใจว่าทำไมเจ้าของบาร์คนนี้ถึงได้หลงนักหลงหนา หลังจากแต่งงานกับริกะหล่อนก็ไม่เคยทำตัวเถลไถลอีกเลย ตั้งใจทำงาน ช่างเป็นพ่อบ้านที่แสนดี แต่ที่ร้านปกติมานากะไม่ค่อยจะลงมาทำงานเป็นบาร์เทนดี้เสียเท่าไหร่ เห็นบอกว่าริกะหวง

และที่ร้านของชิดะนี่เองที่ชิโฮะไว้ใจให้คุมิมาได้โดยไม่เป็นห่วงอะไรเพราะจะคอยมีคนเป็นหูเป็นตาให้ตลอดว่าเขาทำอะไรอยู่ มั่นใจได้ว่าเขาจะไม่ควงสาวๆกลับบ้านไปแน่นอนถ้ามาร้านนี้

          “แต่ฉันว่าชิโฮะเขาอยากหย่าเต็มที่แล้วอะ ชีดุเหนื่อยๆ..บางทีถ้าฉันบอกว่าไม่หย่านางอาจจะลากแล้วบังคับฉันให้เซ็นใบหย่าก็ได้..”

          “แกก็ปรับตัวดิ เลิกนิสัยแบบนั้นได้แล้ว”

          “ก็พยายามอยู่..”

          “เออ แล้วแกรู้มั้ยว่าวันที่แกกลับบ้านดึกๆวันนั้นชิโฮะเขาร้องไห้หนักมากเลยนะเว้ย”

          “ห้ะ? ปกติชิโฮะไม่ได้ร้องไห้ง่ายขนาดนั้นมั้ง” ซาซากิทำหน้าไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่ มีนับครั้งได้ที่ชิโฮะจะร้องไห้ แสดงว่าเรื่องนี้หนักจริงๆ..และนั่นทำให้มานากะแทบอยากจะกลอกตาเป็นรูปเลขเก้าไทย อะไรมันจะเข้าใจยากขนาดนั้น เห็นแล้วขัดใจจริงๆ

          “เขาร้องไห้เพราะแก” มานากะวางแก้วใบล่าสุดที่เพิ่งเช็ดเสร็จแล้วมายืนคุยกับคุมิแทน “วันนั้นฉันกับริกะว่าจะไปหาแกแต่ดันเจอชิโฮะปาดน้ำตาลวกๆแล้วเปิดประตูออกมารับแทน รู้มั้ยถ้าริกะเป็นแบบนั้นฉันต้องขาดใจตายแน่ๆ”

          “แกพูดงี้ฉันยิ่งรู้สึกผิด..”

          “เออ สมควร”

          “แหม ใครจะเป็นพ่อบ้านแสนดีแบบแก”

          “ซาโตชิเพื่อนรักแกไง”

          “เออ คนนี้ฉันยอม เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยออกมาเที่ยวด้วยกันเลย เห็นบอกเมียดุ?” จากที่กำลังปรึกษาปัญหาชีวิตกันอยู่ก็กลายมาเป็นเม้าท์มอยเพื่อนแทนเสียนี่

          “เพิ่งแต่งไปเร็วๆนี้เองไม่ใช่หรอ คงยังออกลายมากไม่ได้หรอก แต่ฟุยุกะก็ดุจริงๆแหละ..”

          ชักเหมือนบทสนทนาตามประสาพ่อบ้านเข้าไปทุกที..

          “แล้วอากาเน็นกับริสะ?” อย่างน้อยการคุยกับมานากะเรื่องเพื่อนบ้างอะไรบ้างก็คงจะทำให้หายเครียดเรื่องชิโฮะลงไปบ้าง และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ มานากะไม่เคยทำให้ผิดหวังซักเท่าไหร่สำหรับการชวนคุยเรื่องไร้สาระ

          “เน็นมันมีความสุขดีอยู่แล้ว ดูเมียมันซะก่อน ลูกสาวเศรษฐีเก่าผู้มีอิทธิพลเลยนะ”

          “ก็พอเห็นอยู่ อย่างกับหนูตกถังข้าวสาร”

          “ส่วนริสะ..อืม  มันกินเด็กอะคุมิ”

          “หื้มมมมมม? ใครๆ อย่าบอกนะว่าเป็นฮิราเตะซัง?” ชิดะพยักหน้าหงึกๆ ซาซากิเลิกคิ้ว ‘วาตานาเบะ ริสะ’ น้องสาวของริกะ หล่อนเป็นคนขรึมๆต่างจากพี่สาวตัวเองอยู่มากทีเดียว แต่ไม่คิดว่าจะไปตกหลุมเด็กขี้อ้อนอย่าง ‘ฮิราเตะ ยูรินะ’ เสียนี่…เมื่อก่อนบอกว่าเกลียดนักเกลียดหนาแท้ๆ แล้วดูตอนนี้สิ

          “อีกไม่นานก็คงร่อนการ์ดเชิญไปงานแต่งมาให้”

          “งั้นก็เป็นคนท้ายๆในรุ่นเลยนี่ที่แต่งงาน?”

          “ช่ายยยยยยย…”

          หลังจากนั้นก็เป็นการคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปก่อนที่คุมิจะขอตัวกลับบ้าน อีกไม่กี่วันชิโฮะก็จะกลับมาแล้ว คงต้องกลับไปทำความสะอาดบ้านซักหน่อย


          “เห้อ..”

          เสียงถอนหายใจเบาๆดังมาจากหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ หล่อนไม่แม้แต่จะมองคนที่มารับตัวเองแม้แต่น้อยตั้งแต่เจอกัน คอยหลบตามาตลอด หล่อนดูโทรมลงไปมากทีเดียวทั้งๆที่คนทั้งคู่ไม่ได้เจอกันเพียงแค่สองอาทิตย์เท่านั้นเอง

ฝ่ายซาซากิเองก็ได้แต่นั่งเงียบขับรถไป ไม่รู้จะเอาอะไรมาคุย ถึงมีชิโฮะก็คงจะเงียบใส่อีกแน่ๆ ถึงระหว่างที่ไม่ได้เจอกันจะมีโทรไปหาบ้าง แต่ก็ถามคำตอบคำเหมือนหล่อนไม่อยากคุย และยังไม่พร้อมที่จะคุยมากๆ

          “..ชิโฮะ”

          “…”

          ราวกับฉายภาพซ้ำที่พอคุมิหันกลับไปมองคนรักก็พบว่าหล่อนผล่อยหลับไปอีกแล้ว ตาของหล่อนดูบวมกว่าปกติด้วย อาจจะเพราะร้องไห้หนักเกินไป..ช่วงที่ชิโฮะกลับไปอยู่บ้านพ่อกับแม่ของเธอจะโทรมาบอกตลอดว่าชิโฮะเป็นยังไง แต่ส่วนใหญ่ที่รู้ก็คือหล่อนร้องไห้แทบทุกคืน

          “เดี๋ยวนี้หลับง่ายขึ้นจริงๆด้วยแหะ..”

          คุมิงึมงำกับตัวเองขณะช้อนตัวอุ้มภรรยาที่รักเข้าบ้าน คราวนี้ชิโฮะไม่สะดุ้งตัวตื่นแล้ว คงจะเหนื่อยมากจริงๆจนหลับลึก คนตัวสูงลอบมองใบหน้าของหญิงสาวที่รักตอนหลับอย่างรักใคร่ ที่จริงก็แทบไม่อยากอยู่ห่างจากเธอซักเท่าไหร่ แต่ด้วยหน้าที่การงานแล้วก็ทำให้คนทั้งสองเวลาไม่ตรงกันอยู่บ่อยๆจนคุมิรู้สึกห่างเหิน แล้วก็ต้องแก้เหงาด้วยการไปควงผู้หญิงซักคน

เดินมาถึงห้องนอนแล้วก็ค่อยๆวางร่างหญิงสาวลงบนเตียงอย่างแผ่วเบาแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก้มลงประทับจูบที่หน้าผากของหล่อนก่อนล้มตัวลงนอนกอด ซาซากิยังไม่พร้อมปลุกชิโฮะขึ้นมาให้คำตอบ อยู่ด้วยกันสงบๆแบบนี้คงจะดีกว่า คิดไปคิดมาแล้วก็ตัดสิ้นใจนอนหลับตามไป ทางด้านคาโต้ก็พลิกร่างกลับมาขดตัวซุกอยู่ในอ้อมกอดของสามีอย่างที่หล่อนไม่ได้ทำมานานเหลือเกิน

          .

          .

          .

          .

          .

          “อือ..”

          เสียงครางงึมจากปากของคาโต้ดังขึ้นเบาๆ หล่อนค่อนๆลืมตา สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกก็คือใบหน้าของคุมิที่กำลังหลับสนิท เธอเลิกคิ้ว คิดแปลกใจที่อยู่ๆคุมิก็มานอนด้วยแบบนี้ แต่ก็เพิ่งมานึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งขับรถไปรับเธอกลับมา คงจะเหนื่อยถึงมานอนด้วย

          “..ที่จริงฉันไม่ได้อยากหย่ากับพี่หรอกนะคะ..” เธอพูดเบาๆ เอื้อมมือไปแตะแก้มอีกฝ่ายแล้วเคลื่อนใบหน้าไปใกล้ๆ จูบลงบนริมฝีปากของคนที่กำลังหลับสบาย “แต่พี่ชอบออกไปข้างนอกแบบนั้น บางทีฉันก็เหนื่อยจะไปตามแล้ว พี่อาจจะเบื่อฉันด้วย..”

          เธอว่าพร้อมกับยันตัวลุกขึ้น จะลงไปหาอะไรในตู้เย็นกินซักหน่อย คิดว่าคุมิคงซื้อเตรียมเอาไว้ แต่ก่อนจะได้ลงจากเตียงก็โดนรวบเอวไปกอดเสียก่อนทำให้หล่อนเผลออุทาน ‘ว้าย’ ออกมาเบาๆ หันกลับไปมองก็พบว่าคนที่ตัวเองเพิ่งจูบไม่เมื่อครู่ตื่นซะแล้ว

          “ว่าไงคะ? ตื่นแล้วหรอ? หิวมั้ย เดี๋ยวฉันลงไปหาขนมมาให้กินรองท้องก่อน” คนอายุน้อยกว่าถามเหมือนเรื่องระหว่างสองอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซาซากิมองเธอนิ่ง ขยับไปซุกๆซอกคออีกฝ่ายอย่างคิดถึง

          ยิ่งชิโฮะทำแบบนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เหมือนที่มานากะเคยพูดไว้ ไม่รู้ว่าชิโฮะจะร้องไห้ไปกี่ครั้งตอนเขาไม่อยู่บ้าน ต้องทนอยู่คนเดียวเหงาๆจนเขากลับมาแล้วทำเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้นเลย

          “ไม่หิวหรอก.. นอนเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้มั้ย?”

          “แต่ฉันเพิ่งตื่นเมื่อกี้…” คาโต้อึกอัก

          “..งั้นไม่เป็นไร พี่นอนคนเดียวก็ได้” ซาซากิถอนหายใข “ส่วนคำตอบ…”

          คาโต้หลุบตาลง เธอรู้อยู่แล้วว่าคำตอบของเขาคืออะไร แต่แค่คิดน้ำตาก็จะไหลแล้ว “…”

          “พี่ไม่หย่า ถึงชิโฮะจะอยากหย่าพี่ก็ไม่ให้หย่า โอเคมั้ย?” เขาค่อยๆคลายกอดที่เอวออก รอยยิ้มบางๆถูกส่งมาให้หญิงสาวที่อายุน้อยกว่า

          “แต่ว่าพี่คะ…ถ้าพี่ยังไม่เลิกนิสัยแบบนั้น ฉ-ฉันก็คง..”

          ระหว่างที่พูดเสียงของหล่อนก็เกิดสั่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น น้ำตาอุ่นๆรื้นขึ้นมาคลออยู่ที่ดวงตาใกล้จะไหลอยู่รอมร่อ มือกำชายเสื้ออีกฝ่ายแน่น ทั้งๆที่ไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าเขาแท้ๆ แต่สุดท้ายก็กลั้นไม่รอด ตอนนี้น้ำตาไหลอาบแก้มของเธอไม่หมดแล้ว ซาซากิค่อยๆปาดน้ำตาให้คนรัก จูบที่หางตาเบาๆราวกับจะบอกว่าอยากให้หยุดร้องไห้

          “ร้องไห้ทำไม ฮึ? คนสวยของพี่ไม่เหมาะกับน้ำตาหรอกนะ”

          เสียงกระซิบบอกที่ข้างหูยิ่งทำให้น้ำตาของคาโต้ไหลออกมาไม่หยุดเหมือนเด็กๆ เธอต้องเก็บกลั้นมันเอาไว้นานแค่ไหนกันนะ คุมิไม่อยากจะคิด

          “พี่จะเลิกนิสัยแบบนั้น นะ? พี่สัญญา ถ้าพี่ทำอีกก็บังคับพี่ให้เซ็นใบหย่าได้เลย”

          “…จริงนะคะ?”

          “อื้อ เพราะงั้นชิโฮะของพี่ต้องเลิกร้องไห้ได้แล้วนะ”

          “อื้ม…จะไม่ร้องแล้วค่ะ”

          .

          .

          .

          .

          .

          ความรักเป็นสิ่งสวยงามที่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปาด

          แต่ความเจ็บปวดนั้น บางทีมันก็นำมาซึ่งความสุขเช่นกัน

The Broken Prophecy

The Broken Prophecy : 02

02 : First day

various pairings

CvQ4sknXYAAnXBj


          เสียงพูดคุยดังระงมไปทั่วพื้นที่ของลานน้ำพุ วันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนแรกของพวกปีหนึ่ง เจ้าพวกลูกหมาลูกแมวเลยต้องตื่นเช้ามาออกันที่หน้าลานตามปรกาศที่ถูกส่งไปให้ทุกห้องพักที่มีปีหนึ่งอยู่ จากที่กว้างๆพอมีพวกปีหนึ่งเข้ามาอยู่ก็ดูแคบลงไปถนัดตา ยังไม่นับรวมพวกปีสองถึงปีหกที่โดนเกณฑ์มาช่วยงาน หนึ่งในนั้นก็มีคุมิอยู่ด้วย

          “คึกคักมากกว่าทุกปีแหะ..” เสียงพูดคุยกังขึ้นจากทางด้านหลัง ซาซากิเอี้ยวตัวหันไปมอง เห็นเป็นรุ่นพี่ปีสี่ที่หล่อนสนิทด้วยกำลังยืนคุยกันอยู่ถึงได้ขยับย้ายตัวเองเข้าไปสุมหัวด้วย แต่แน่นอน มีคุมิก็ต้องมีมาโอะติดสอยห้อยตามมาด้วย ไม่รู้ทำไมแต่มาโอะชอบทำตัวติดกับคุมิแทบเป็นเงาตามตัวตั้งแต่ตอนปีหนึ่งแล้ว

          “ริสะก็คิดเหมือนกันหรอ?”

          “อื๋อ? คุมิเองหรอ ตอนเตรียมงานหายไปเลยนะ”

          ‘วาานาเบะ ริสะ’แคไนน์ปีสี่ หล่อนเป็นหญิงสาวร่างโปร่ง สูงราวๆร้อยหกสิบกว่าๆ ผมสั้นสีดำเหลือบน้ำตาลเล็กน้อยยาวประบ่า หางตาตกแต่กลับดูดุอย่างน่าประหลาด อาจเพราะเจ้าตัวมักเผลอกดหัวคิ้วลงบ่อยๆ ข้างกายเป็นหญิงสาวที่สูงกว่านิดหน่อย ผมของหล่อนสั้นกว่าของวาตานาเบะไม่มาก ที่แตกต่างคือสีผมที่ออกเป็นสีน้ำตาลอย่างชัดเจน ‘ชิดะ มานากะ’ยืนกอดอกหยักหน้าเห็นด้วย หล่อนเป็นฟีไลน์ อยู่ปีสี่เหมือนกับริสะ

          “ก็มิเรย์ไม่ยอมตื่น ต้องให้ชิโฮะมาช่วยงัดออกจากที่นอนนี่นา” คุมิหัวเราะแห้งๆ

          “ชิโฮะ?”

          “อ้อ เด็กปีหนึ่งที่ฉันโดนอาจารย์โยนมาให้ดูแลน่ะ” คุมิตอบ ตาเหลือบไปมองเด็กสาวเรือนผมสีช็อคโกแลตที่เพิ่งเดินผ่านไปหมาดๆ เผลอมองนานไปหน่อยจนอิกุจิต้องสะกิดให้หันกลับมาด้วยท่าทีเคืองๆ

          “สนใจหรอ?” อิกุจิถาม “เด็กคนนั้นน่ะ”

          “ก็นิดหน่อย กระแสพลังของเธอไม่เหมือนฟีไลน์ทั่วไปน่ะ” ประโยคนี้ทำให้คนทั้งกลุ่มหันกลับมามองที่คุมิเป็นตาเดียว ชิดะเลิกคิ้ว ขยับตัวเข้ามาสุมหัวใกล้ๆ พ่วงมาด้วย ‘ฮิราเตะ ยูรินะ’ แคไนน์ปีสองที่เกาะหลังวาตานาเบะอยู่ เธอชะโงกหน้าออกมาเอาคางเกยไหล่ริสะที่ตัวเตี้ยกว่าเพียงนิดเดียว แขนขยับเลื่อนเข้ามากอดเอวคนอายุมากกว่าเอาไว้อย่างออดอ้อน

          “อะไรๆ มีฟีไลน์แปลกๆโผล่มาหรอ?” เด็กน้อยถามอย่างกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็นไปหมด

          “เทะจิ มายืนคุยดีๆสิ เกาะเอวแบบนี้มันยืนลำบาก” วาตานาเบะออกเสียงดุ พยายามแกะมือซนๆของฮิราเตะออกแต่เจ้าลูกหมาไม่ยอมปล่อย กลับกอดแน่นกว่าเดิมจนริสะยอมแพ้และให้กอดเอวต่อ “ฉันได้ยินพวกอาจารย์คุยกันว่าปีนี้จะมีชาวแคไลน์ที่เป็นเชื้อสายของท่านผู้ก่อตั้งเซลโความาเข้าเรียน ไม่รู้ว่าจริงมั้ย อาจจะเป็นเด็กคนนั้นก็ได้”

          “น่าสนใจแหะ” มานากะพูด “ว่าแต่วันนี้จัดห้องพักใหม่ใช่มั้ย คงยังไม่เริ่มเรียนสินะ”

          พูดถึงตรงนี้แล้วคุมิก็เพิ่งจะนึกได้ เมื่อเช้ามาโอะมีสีหน้าไม่ค่อยดี เหมือนหล่อนจะไม่อยากย้ายห้องเท่าไหร่ อาจจะเพราะอยู่ด้วยกันแบบนี้มาสองปีกว่าๆจนสนิทกันแล้ว คงไม่อยากแยกไปนอนกับคนอื่น

          “มาโอะ” หล่อนเอ่ยปากเรียกคนที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ “เป็นอะไรไป?”

          “เปล่า” อีกฝ่ายส่ายหน้าเบาๆ แต่ก่อนที่อิกุจิจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ก็มีเสียงประกาศให้พวกปีหนึ่งทยอยเดินเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่สุดเพื่อเข้าพิธีปฐมนิเทศเสียก่อน พร้อมๆกับประกาศให้พวกปีสองถึงปีหกเข้าแยกไปจับฉลากย้ายห้องที่หอพักฟีไลน์

          “ไปกันเถอะ ฟูจังคงไปรอแล้วมั้ง”

          ได้ยินชื่อ ‘ฟูจัง’ ที่ว่าแล้วซาซากิก็แอบขนลุก หล่อนเข้าหน้ากับ‘ไซโต้ ฟุยุกะ’ไม่ค่อยติดเท่าไหร่ เหมือนรุ่นพี่คนนี้จะมีอารมณ์ไม่แน่ไม่นอนนัก ถ้าเข้าไปคุยไม่ถูกเวลาจะโดนเหวี่ยงได้ง่ายๆ

          “ริสะ เดี๋ยวฉันกับมาโอะตามไปทีหลัง..”

          “อ้อ โอเค ไว้เจอกัน”


          หลังจับฉลากแล้วคุมิกับมาโอะก็แยกย้ายกันลากกระเป๋าไปหาห้องพักใหม่ ตอนแรกมาโอะมีท่าทีงอแง หล่อนไม่อยากไป แต่สุดท้ายก็ยอมไปอยู่ดีเพราะคุมิบอกว่านานๆทีมานอนด้วยก็ได้ อาจารย์คงไม่ว่าอะไร

          “ตอนนี้พวกปีหนึ่งคงปฐมนิเทศเสร็จแล้วล่ะมั้ง..” หล่อนพึมพำ มองกระดาษที่ถูกเขียนเป็นเลขห้องเอาไป ‘F207’ ตึกฟีไลน์ชั้นสองห้องเจ็ด

          ใช้เวลาไม่นานซาซากิก็มาหยุดอยู่หน้าห้องที่ตัวเองจับฉลากได้ ประสาทสัมผัสที่ดีกว่าคนทั่วไปทำให้ได้กลิ่นของพวกฟีไลน์ชัดเจน หล่อนย่นจมูก กลิ่นของพวกแมวเป็นอะไรที่คุมิไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ยกเว้นก็แต่ของชิโฮะ เวลาอยู่ใกล้ๆเด็กคนนั้นแล้วรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มันผ่อนคลาย ถึงเจ้าตัวจะค่อนข้างเอาแต่ใจก็เถอะ

          ‘ถ้าได้อยู่ห้องเดียวกันก็ดีสิน้า..’

          หล่อนจับลูกบิดประตูก่อนจะพบว่ามันไม่ได้ล็อก รูมเมทของเธอคงมาถึงก่อนแล้ว ใจเต้นตึกตักว่าจะเป็นใคร ถ้าได้อยู่กับคนรู้จักก็ดี แต่ถ้าได้อยู่กับคนที่ไม่สนิทคงต้องทำความรู้จักกันอีกยาว ยังไงตั้งแต่ตอนนี้ก็ต้องอยู่ห้องนี้ถาวรยันจบจากเซลโควาอยู่แล้ว

ซาซากิเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือเรือนสีช็อคโกแลตผมยาวเป็นลอนคุ้นตานั่นทำให้คุมิเลิกคิ้วขึ้น ยิ่งพออีกฝ่ายหันกลับมามองด้วยสีหน้าไม่ต่างกันก็ยิ่งเหมือนตอกย้ำว่าพวกเธอสองคนได้อยู่ห้องเดียวกันจริงๆ ลาบราดอร์ก้าวเข้ามาในห้อง ปิดประตูลงอย่างแผ่วเบาพร้อมกับคำทักทายที่ถูกส่งให้เด็กสาว

          “ไง ยัยเหมียว” หล่อนวางประเป๋าล้อลากไว้ตรงหน้าห้องแล้วกระโดดไปตะครุบคาโต้ที่นั่งอยู่บนเตียง อยากจะฟัดให้หายอยาก แต่เมนคูนออกอาการดิ้นไม่ยอมให้กอดเสียแล้ว “อย่าดิ้นสิ ตอนเป็นแมวยังยอมให้กอดอยู่เลย”

          “ยุ่ง!”

          “ไม่ยุ่งได้ไง พี่เป็นเจ้าของเธอนะ”

          คุมิขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้บวกหมั่นเขี้ยวไปด้วย แขนดึงรั้งร่างของอดีตก้อนขนสีเทาขึ้นมานั่งบนตัก กอดเอวไว้ไม่ให้หนี เรื่องจัดห้องเอาไว้ทีหลังเพราะยังมีเวลาอีกทั้งวัน วันนี้ไม่มีเรียนอยู่แล้ว กว่าจะเริ่มเรียนก็ตั้งพรุ่งนี้ไม่ก็มะรืน วันนี้ขอจัดการยัยเหมียวที่ไปอารมณ์เสียใส่มิเรย์ก่อนแล้วกัน

          “อดีตต่างหาก ตอนนี้เราเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันไม่ใช่หรอ?” เมนคูนถาม เสียงขู่ฟ่อๆดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ ตอนนี้หล่อนนั่งคร่อมอยู่บนตักของคนมีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ มือดันไหล่เขาเอาไว้จะได้ไม่โดนดึงเข้าไปฟัด “เดี๋ยวรุ่นพี่อิกุจิก็ว่าหรอกมาทำแบบนี้กับคนอื่น”

          หญิงสาวเลิกขึ้นขึ้น เริ่มคลายแขนที่กอดเอวเด็กสาวเอาไว้ “เกี่ยวอะไรกับมาโอะ?”

          “อ้าว พวกพี่ไม่ได้เป็นแฟนกันหรอกหรอ? เห็นตัวติดกันขนาดนั้น”

          ได้ยินแค่นั้นคุมิก็กลั้นขำแทบไม่ทัน เธอกระชับวงแขนดึงตัวชิโฮะเข้ามากอดแน่นๆ จมูกคลอเคลียไล้ไปตามผิวแก้มของเด็กสาวตามประสาลาบราดอร์ขี้อ้อนก่อนจะผละออกมามองหน้าคนที่เหมือนจะตัวแข็งทื่อไปแล้ว สงสัยว่าพวกฟีไลน์จะไม่ค่อยชินกับอะไรแบบนี้เท่าไหร่

          “พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับมาโอะซักหน่อย” พูดพลางลูบหัวคนอายุน้อยกว่าเบาๆ ก้มลงจนหน้าผากแนบชิดกันก่อนที่เจ้าลาบราดอร์จะขโมยหอมแก้มยัยเหมียวไป

          “นี่!” คาโต้โวยวาย หน้าขึ้นสี เล็บยาวๆตั้งใจจะฝากรอยแผลไว้บนหน้ารุ่นพี่ของหล่อนซักสองสามรอย แต่ไม่ทันเพราะเขาดันดักทางด้วยการจับข้อมือของเธอเสียก่อน เมนคูนขู่ฟ่อเบาๆด้วยความไม่พอใจ ซาซากิเลยจัดการดันไหล่รุ่นน้องคนสวยให้หล่อนลงไปนอนราบกับเตียงนุ่ม เด็กสาวออกอาการขัดขืน แต่มีหรือแมวจะสู้แรงของหมาได้ ซาซากิกดข้อมือข้างที่ตัวเองจับเอาไว้ลงกับเตียงกันอีกฝ่ายหนี

          “พี่คุมิ!”

          แต่โวยวายไปก็เท่านั้นแหละ

          ฝ่ายแคไนน์ขี้แกล้งก็เพิ่งจะได้มีเวลาพินิจมองหน้าเด็กสาวชัดๆ เวลาปกติเธอมากจะเห็นชิโฮะอยู่ในร่างแมว ถึงแม้บางเวลาจะคุยกันในร่างคนบ้างแต่ก็นับครั้งได้ นี่เป็นครั้งแรกที่คุมิสามารถพูดชมได้เต็มปากว่าชิโฮะเป็นคนที่สวย.. ดวงตากลมโตสีเปลือกไม้ คิ้วเรียวที่ถึงแม้ตอนนี้จะขมวดอยู่ก็ดูสวย ริมฝีปากอิ่มที่เม้มเข้าหากัน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนที่มิเรย์เห็นร่างคนของชิโฮะถึงมองตาค้างแบบนั้น

          “ปล่อยได้แล้ว” หล่อนว่าแบบนั้น

          “ไม่ปล่อย”

          “ถ้าคนอื่นมาเห็นจะมันจะดูไม่ดีนะคะ”

          คาโต้ช้อนตาขึ้นมอง มือข้างที่ไม่ได้ถูกกดเอาไว้ออกแรงดันไหล่เขาออก หล่อนเผลอร้อง ‘เมี้ยว’ ออกมาเบาๆอย่างลืมตัว ซาซากิแทบห้ามตัวเองไม่ไหว เด็กนี่อันตรายเกินไปแล้ว บางทีถ้าอยู่กับยัยเหมียวตัวนี้ไปนานๆเธออาจจะเผลอไผลทำอะไรไม่ดีลงไปแน่ๆ

          “ช่างคนอื่นเขาสิ”

          เจ้าหูตูบพูด

          ก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงไปยังหน้าผากของอีกคนอย่างแผ่วเบา

          .

          .

          .

          .

          .

          “C302งั้นหรอ…” เสียงพึมพำจากซาซากิคนน้องดังงึมงำท่ามกลางทางเดินที่มีผู้คนเดินขวักไขว่หาห้องที่ตัวเองจัดฉลากได้กันให้วุ่น บางห้องที่มิเรย์เดินผ่านก็ได้ยินเสียงขู่ฟ่อดังออกมา คาดว่าคงเป็นฟีไลน์ที่ได้อยู่กับแคไนน์ที่ตัวเองไม่ชอบหน้าเป็นแน่ พี่สาวของหล่อนบอกว่าฟีไลน์กับแคไนน์บางพวกก็อยู่ด้วยกันได้ แต่บางพวกก็กัดกันยิ่งกว่าอะไรดี

เด็กสาวผมสั้นประบ่ามาหยุดเดินที่หน้าห้อง C302 นี่เอง ตอนจับฉลากเขาให้กุญแจมาด้วย ลองบิดลูกบิดประตูดูแล้วห้องก็ล็อค รูมเมทของเธอคงยังมาไม่ถึงห้อง มิเรย์เลยจัดการไขกุญแจเข้าห้องไปเก็บของอะไรให้เรียบร้อยเสียก่อน หวังว่ารูมเมทของเธอจะไม่เป็นน้องแมวนะ…

          แอ๊ดดด…

          เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนที่มิเรย์จะได้ล้มตัวลงนอนบนเตียงที่ถูกจัดแยกกันเอาไว้ หล่อนเลือกเตียงฝั่งที่ติดผนังใกล้หน้าต่าง เพราะตอนอยู่กับคุมิเตียงของเธอก็อยู่ตรงนี้ มันมองเห็นท้องฟ้าตอนกลางคืนได้ชัด ท้องฟ้าของมิตินี้ไม่เหมือนกับที่เธอจากมา ดวงดาวของที่นี่สว่างและมีมากกว่า มิเรย์ชอบนั่งมองมันตอนรอคิวอาบน้ำ

เบื้องหลังบานประตูเป็นเด็กสาวที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับมิเรย์ หล่อนชะโงกหน้าเข้ามาดูว่าภายในห้องมีคนอยู่มั้ย กวาดตาไปทั่วทั้งห้องก่อนจะมาสะดุดที่เด็กสาวผมสั้น พอเห็นว่ามีคนมาก่อนแล้วถึงได้เข้ามา

          “เอ่อ..สวัสดีค่ะ” ฮัสกี้เป็นคนเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นก่อน

          “อยู่ปีหนึ่งหรอ?” เด็กสาวอีกคนถาม นั่งลงบนเตียงที่อยู่ตรงข้ามกับของมิเรย์ ตาของหล่อนใสแจ๋ว มิเรย์เผลอมองอย่างลืมตัวจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยทัก “นี่? เป็นอะไรหรือเปล่า? เห็นเหม่อๆนะ?”

          กว่ามิเรย์จะรู้ตัวเด็กสาวอีกคนก็เข้ามาประชิด มือนิ่มของหล่อนแตะแก้มของคนตัวสูงกว่าเบาๆแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ซาซากิคนน้องลอบสังเกตรูมเมทของตัวเองที่หล่อนยังไม่รู้แม่แต่ชื่อ ท่าทางแบบนี้คงเป็นแคไนน์..

          “ค่ะ ซาซากิ มิเรย์ แคไนน์ปีหนึ่ง” เธอยิ้มตาหยีให้อีกคน ฝ่ายนั้นก็เหมือนจะออกอาการดีใจ หล่อนปราดเข้ามาเกาะแขนมิเรย์ พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเป็นมิตร

          “แคไนน์เหมือนกันเลย! เราอุชิโอะ ซารินะ ปีสองนะ!” ยิ้มกว้างถูกส่งมาให้เจ้าฮัสกี้ “เรียกซารินะเฉยๆก็ได้”

          “งั้นก็เรียกทางนี้ว่ามิเรย์เฉยๆก็ได้เหมือนกันนะ”

          เหมือนทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จแล้วซารินะก็ลุกไปจัดของ ระหว่างนั้นทั้งสองคนก็มีคุยกันบ้างประปราย ซารินะบอกว่าร่างแคไนน์ของหล่อนเป็นหมาปอม ตัวเล็กสู้ใครเขาไม่ค่อยได้

          “มิเรย์นี่มีพี่สาวรึเปล่า? ซาซากิ นามสกุลเหมือนรุ่นพี่ซาซากิปีสามเลย”

          “พี่คุมิ? อื้อ นั่นพี่สาวเราเอง”

          “เหหห.. ว่าแต่ร่างแคไนน์ของมิเรย์คืออะไรล่ะ? รุ่นพี่ซาซากิเขาเป็นลาบราดอร์นี่?”

          “ฮัสกี้อะ” พูดไปก็ยู่หน้าไป ฮัสกี้น่ะ จะว่าเท่มันก็เท่หรอก แต่บางทีมันก็ทำตัวติ๊งต๊อง หล่อนเห็นผ่านพวกโซเชี่ยลที่เคยใช้

          “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ หื้มม?”

          หลังซารินะจัดของเสร็จก็มานั่งเล่นกับรูมเมทของเธอต่อ หล่อนตัวเตี้ยกว่ามิเรย์อยู่ห้าไม่ก็หกเซ็นฯเห็นจะได้ เวลานั่งอุชิโอะเลยเริ่มที่จะเอาหัวพิงไหล่คนตัวสูงกว่าเพราะความต่างของส่วนสูง มิเรย์เหลือบตาลงมอง พอดีกับที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา ตาของทั้งคู่เลยสบกันพอดี

          “ออกไปเดินเล่นกันมั้ย?” คนอายุมากกว่าถาม

          “อื้อ”


“ดีจังน้าที่ได้อยู่หอเดียวกัน แถมห้องติดกันอีก” เสียงเจ้าลูกหมาพูดขึ้น จนตอนนี้ก็ยังไม่เลิกวุ่นวายเกาะแกะอยู่ใกล้ๆตัววาตานาเบะตลอด เดี๋ยวเกาะแขนเดี๋ยวเกาะไหล่ พอริสะออกปากไล่ย้ำๆถึงได้งอนสะบัดตูดหนีไปเกาะแขนกับรูมเมทคนปัจจุบัน หล่อนได้อยู่ห้องเดียวกันกับ ‘นากาฮามะ เนรุ’ ฟีไลน์ปีสี่ เพื่อนสนิทอีกหนึ่งคนของชิดะและวาตานาเบะ รุ่นพี่คนนี้เป็นสวฮอตในหมู่นักศึกษาที่นี่เสียด้วย ร่างฟีไลน์ของหล่อนเป็นเทอร์คิชแองโกราขนสีขาวสะอาด ตาสีฟ้าใสราวกับลาพิสที่ยามจ้องมองแล้วเหมือนถูกสะกด

          “ที่จริงเทะจิอยากนอนห้องเดียวกับริสะมากกว่าล่ะสิ” นากาฮามะพูด

          “…เปล่าซักหน่อย”

          ฮิราเตะอยู่ห้อง C201 กับนากาฮามะ ส่วนชิดะและวาตานาเบะอยู่ห้อง C202 ระหว่างที่ทั้งสี่คนเดินหอบข้าวหอบของไปเก็บที่ห้องก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากห้องชั้นล่าง ชั้นหนึ่งนอกจากจะมีห้องนั่งเล่นแล้วถ้าเดินทะลุเข้าไปจะมีห้องพักอยู่อีกประมาณสิบห้อง พวกเธอคิดว่าคงเป็นฟุยุกะกับ ‘ซาโต้ ชิโอะริ’ที่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะนอนตรงไหน

 

          “ชี่จัง ตกลงจะนอนตรงไหน” เสียงนุ่มๆดังออกมาจากหญิงสาวที่มัดผมรวบเอาไว้ตรงท้ายทอย หล่อนยืนกอดอกมองแคไนน์ปีสี่ตรงหน้าที่ทำหน้ายู่ ไม่ยอมบอกซักทีว่าจะนอนตรงไหน

          “ก็มันเลือกไม่ได้นี่นา งั้นฟูยังดันเตียงมาติดกับเตียงฉันมั้ยล่ะ?” ในที่สุดซาโต้ก็ยอมหันมาสบตา กว่าจะตัดสินใจได้ก็เล่นซะนานจนฟุยุกะเบื่อ อยากจัดของแล้วนอนเต็มที วันนี้ก็ตื่นเช้าแล้วยังต้องมาทะเลาะกับชิโอริเรื่องที่นอนอีก

          ฟุยุกะและชิโอริรู้จักกันมาก่อนที่จะเข้าเรียนที่นี่ พวกหล่อนสนิทกันมาก สนิทกันจนคิดเกินเลยมากกว่าเพื่อน และตอนนี้ก็อยู่ในสถานะ‘คนรัก’ มีแค่คนส่วนน้อยที่รู้ว่าพวกหล่อนคบกัน แน่นอนว่าต้องมีพวกริสะรวมอยู่ด้วย พวกเธอไม่ได้อยากเปิดเผยให้คนอื่นรู้ คบกันเงียบๆ ใช้ชีวิตสงบๆไม่หวือหวาเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเธอสองคน ถึงจะมีบางทีที่ชิโอริไม่ค่อยชอบใจเวลาฟุยุกะไปเล่นกับเนรุก็เถอะ

          “คิดแบบนี้แต่แรกก็จบแล้ว มาช่วยดันเตียงหน่อยสิ” ไซโต้พูด ออกจะเป็นเชิงสั่งเสียมากกว่า

          “ค่าๆ”

          ชิโอริอยู่ปีห้าและเป็นแคไนน์พันธุ์คอลลี่ หล่อนถึงได้มีนิสัยขี้เหงาขี้นอยด์เวลาฟุยุกะไม่สนใจหรือโดนดุ บางทีก็มักจะไปหมกตัวอยู่คนเดียวที่ห้องศิลปะของเซลโควาถ้าไม่โดนตามเจอเสียก่อน ส่วนฟุยุกะ หล่อนอยู่ปีสี่ เป็นฟีไลน์พันธุ์นอร์เวเจียนฟอเรสต์ เพราะมีเชื้อสายสัตว์ป่าอยู่ไม่น้อยทำให้หล่อนมีนิสัยดุๆ บางทีก็อารมณ์ร้ายจนชิโอริปรับอารมณ์ไม่ทัน ถึงได้ทำตัวเป็นหมาหงอยๆยอมโดนดุแต่โดยดี

          “ฟูจังง..” ซาโต้พูดเบาๆ นั่งลงปลายเตียงที่ถูกดันเข้ามาติดกัน หล่อนดึงข้อมือของฟุยุกะจนอีกฝ่ายเซแล้วก็ยอมนั่งลงบนตักของคอลลี่ขี้เหงา เธอมองหน้าซาโต้ หางตาตกๆทำให้ดูเหมือนชิโอริจะเศร้าอยู่ตลอดเวลาๆหากหล่อนไม่ยิ้ม

          “ว่าไง? วันนี้อ้อนเชียวนะ” ฝ่ายแมวขี้ดุก็ก้มลงมอง มือแตะที่แก้มอีกฝ่ายก่อนจะก้มลงมอบจุมพิตที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา

          “ทำไมช่วงนี้ไปเล่นกับเนรุบ่อยจัง” แคไนน์ว่า “หรือเบื่อฉันแล้ว?”

          ฟุยุกะเลิกคิ้ว หล่อนลูบเรือนผมของคนอายุมากกว่าเบาๆก่อนขยับตัวลงจากตักของชิโอริ ล้มตัวลงนอนบนเตียงแถมดึงเจ้าคอลลี่ลงมานอนด้วยกัน “ทำไมคิดแบบนั้น?”

          “ฟูจังไปเล่นกับเนรุบ่อย”

          “คิดมาก”

          ไซโต้จัดการดึงรั้งหน้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้อีกรอบ คราวนี้จูบลงที่แก้ม ถึงหล่อนจะชอบดุชิโอริบ้างแต่ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดที่ดุเหวี่ยงตลอดเวลา พอได้อยู่ด้วยกันสงคนก็มักจะเป็นแบบนี้ ชิโอรินอกจากจะขี้เหงาขี้นอยแล้วยังชอบอ้อนในบางเวลา ตรงนี้เป็นนิสัยที่ฟุยุกะชอบ ถ้าไม่โกรธหรือทะเลาะกันแรงๆชิโอริจะไม่ค่อยอยู่ห่างจากเธอเท่าไหร่ ไปไหนก็ไปด้วยกัน แต่เมื่อก่อนพวกเธอไม่ได้อยู่ห้องพักเดียวกัน มาคราวนี้หวยล็อกถึงได้อยู่ด้วยกันแบบนี้

          “ใครคิดมาก..นี่ ไม่ต้องมาจุ๊บทำเป็นเปลี่ยนเรื่องเลย”

          “ก็ได้ๆ แค่เล่นกันเฉยๆเอง.. ยังไงฉันก็รักชี่จังที่สุดนั่นแหละ”

          “ก็เห็นพูดแบบนี้ทุกรอบ”

          แต่วันนี้ชิโอริดูช่างต่อล้อต่อเถียงเป็นพิเศษ

          สงสัยจะหึงจริงๆ

          “งั้นจะให้ทำยังไงล่ะ?”

          เจ้าคอลลี่ขยับไปกระซิบที่ข้างหูอีกฝ่ายทันทีแต่คำขอที่ไม่มีใครได้ยินนอกจากฟุยุกะ ก็แลกมาด้วยแรงตีหนักๆที่หลังจนคนขอเผลอร้องโอดโอยเบาๆ

 

          “…ก็ได้”

          สุดท้ายแล้วนอร์เวเจียนฟอเรสต์ก็ยอมแต่โดยดี

The Broken Prophecy

The Broken Prophecy : 01

01 : Zelkova College

various pairings

C9Ji-HnUwAAmWBz


          หนัก..

          สัมผัสหนักอึ้งแถวๆหน้าอกทำให้เด็กสาวเจ้าของห้องต้องค่อยๆลืมตาขึ้นมามอง ภาพแรกที่ปรากฏขึ้นมาก็คือกลุ่มก้อนขนสีเทาเข้ม มันกำลังนอนขดเป็นวงกลมอยู่บนหน้าอกของหล่อนนั่นเอง ปลายหางฟูๆนั่นกระดิกไปมาอย่างสบายอารมณ์โดยหารู้ไม่ว่าที่นอนจำเป็นของมันนั้นหนักจะตายอยู่แล้ว

          “โทชิจัง มานอนอะไรตรงนี้..”

          สองมืออุ้มเจ้าเหมียวยักษ์ลงไปก่อนที่จะยันตัวขึ้นนั่งสางผมยาวๆอย่างสะลึมสะลือเหมือนยังไม่ค่อยตื่นเต็มที่นัก ตัวการที่ทำให้ตื่นบิดขี้เกียจแล้วขยับมานอนบนตักแทน ‘ซาซากิ คุมิ’หลุบตาลงมองเจ้าเหมียว ตัดสินใจอุ้มมันลงอีกรอบส่งผลให้มันร้องหง่าวอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยอมลงไปนอนบนเตียงแต่โดยดี

          “นอนรอก่อนนะ เดี๋ยวอาบน้ำแล้วจะมาเล่นด้วย เข้าใจมั้ย?” หล่อนว่าพลางบีบเหนียงนิ่มๆของเจ้าเมนคูนตัวยักษ์นี่ไปด้วย แมวอะไรนอกจากจะตัวใหญ่แล้วยังขี้เกียจปานนี้ แต่ก่อนที่คุมิจะได้ไปอาบน้ำประตูก็ถูกเปิดออกโดย‘ซาซากิ มิเรย์’น้องสาวของเจ้าของห้องนี่เอง

          “วันนี้พี่ไม่มีเรียนหรอ?”

          “อ่าฮะ ปิดเทอมแล้ว”

          “อ้อออ..”

          จบบทสทนาซาซากิคนพี่ก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำ ตอนนี้จะเที่ยงอยู่แล้ว นานๆทีจะได้หยุดทั้งวันแบบนี้ จะได้เอาเวลาไปนั่งดูทีวีชิลๆกับแมวซักที

แต่พูดถึงแมวแล้ว ‘โทชิจัง’แมวพันธุ์เมนคูนสีเทาเข้มที่นอนอืดอยู่บนเตียงนุ่มของคุมินั่นก็เป็นแมวที่แม่ของเธอฝากมาเลี้ยงเมื่อปีที่แล้วก่อนที่ท่านจะย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศกับคุณพ่อ ตอนนี้เธออยู่กับมิเรย์แค่สองคน มีรับทำงานพิเศษบ้างแต่ก็ไม่ใช่งานประจำเพราะบุพการีทั้งสองส่งเงินมาให้ทุกๆเดือน

          ตัดภาพกลับมาที่เจ้าเหมียวขนฟู พอมันเห็นว่าเจ้าของทั้งสองต่างแยกย้ายกันไปทำกิจวัตรประจำวันก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ สี่เท้าย่ำลงจากเตียงนุ่มๆที่ตัวมันเองก็เสียดาย ไม่อยากลุกออกไปเสียเท่าไหร่เพราะความเย็นนิ่มนั่นเอง แต่สุดท้ายก็ยอมงัดตัวเองออกไปปลดล็อคบานหน้าต่างด้วยตัวเอง ดวงตาสีเปลือกไม้ที่ต่างจากแมวปกติของมันมองออกไปไกล ขาหลังทั้งสองถีบตัวมันลงจากขอบหน้าต่างลงสู่พื้นดินด้านล่างทางด้านหลังบ้าน

          ตรงนั้นมีอีกสองชีวิตยืนรออยู่แล้ว

          .

          .

          .

          .

          .

          “อ้าว…”

          เมื่อคุมิออกมาจากห้องน้ำก็ไร้วี่แววของเข้าแมวยักษ์เสียแล้ว หล่อนเปิดผ้านวมดู เผื่อว่าจะแอบอยู่ในนี้ แต่กลับเจอเพียงแต่ความว่างเปล่า

          “มิเรย์ โทชิจังหายอะ!” หล่อนพูดเสียงดังลั่น ตาเหลือบไปเห็นหน้าต่างที่ถูกเปิดเอาไว้ให้แอร์ออกก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าเหมียวนั้นไปไหน เธอรู้ว่ามันไม่ใช่แมวธรรมดามาตั้งแต่แรกแล้ว ป่านนี้คงมีคนมารับกลับ’มิติแคไลน์’ไปแล้วมั้งนั่น..

          แต่มิเรย์ไม่รู้ว่าโทชิจังไม่ใช่แมวธรรมดานี่สิ

          “เดี๋ยวมันก็กลับมามั้งพี่ เห็นช่วงนี้มันก็กลับบ้านเองนะ” ซาซากิคนน้องโผล่หน้าเข้ามาในห้อง พูดเสียงเนือยๆ

          “แมวอะไร ขี้เที่ยว…” จะไปไหนก็ไม่เคยบอก คุมิบ่นออกมาเบาๆกับตัวเองก่อนส่ายหน้าระอา


          “ยังไม่พาสองคนนั้นมาด้วยอีกหรอ?” เสียงหนึ่งเอ่ยทัก

          “ฉันยังไม่ได้บอกเขานี่นา คนพี่น่ะไม่เท่าไหร่ รู้อยู่แล้ว แต่คนน้องน่ะสิ”

          ดวงตาสีเปลือกไม้พลันสว่างวาบขึ้น บรรยากาศข้างหน้าบิดเบียวม้วนกลายเป็นช่องว่างโผล่ขึ้นมาจากที่ว่างเปล่า อีกสองชีวิตที่ยืนรออยู่มองหน้ากันอย่างชั่งใจ

          “เธอควรจะบอกเขาได้แล้วนะ”

          “ขอเวลาอีกวันเดียวฉันจะบอกเขาให้แล้วกัน ให้ตายเถอะทั้งๆที่พวกเราสามคนยังอยู่ในช่วงปรับพื้นฐานอยู่แท้ๆทำไมอาจารย์ถึงให้งานยากๆแบบนี้มาด้วยนะ ให้พี่สาวเขาบอกก็ได้นี่ พี่เขาอยู่ตั้งปีสามแล้วด้วย”

          “เนอะ!!” เสียงแมวบริติชช็อตแฮร์และแร็กดอลล์ประสานกันโดยไม่ได้นัดหมาย มันสองตัวมองหน้ากันอย่างเข้าอกเข้าใจถึงความลำบาก

          “ฉันว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ ไม่งั้นอาจารย์ไม่ปล่อยให้พวกเราที่เป็นแค่นักศึกษาช่วงปรับพื้นฐานมาทำงานนอกมิติแคไลน์แบบนี้หรอก” เจ้าแร็กดอลล์พูดขึ้น ปลายหางฟูสีน้ำตาลอ่อนของมันขยับไปมา กระดิกหูเบาๆด้วยความสงสัยขณะเดินผ่านเข้าช่องว่างระหว่างมิติที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของ‘โทชิจัง’

          “นั่นสิ อายะป้งคิดเหมือนฉันเลย” บริติชช็อตแฮร์พูดพลางพยักหน้าเห็นด้วยกับแร็กดอลล์เจ้าของชื่อ‘อายะป้ง’ หางเรียบขนลู่พริ้วไปตามลมทุกจังหวะการเดินของมัน

          “…” ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากเมนคูนสีเทาเข้มตัวใหญ่ในขณะที่แมวทั้งสองตัวกำลังคุยกัน

          ไม่นานนักสิ่งมีชีวิตสี่ขาทั้งสามก็เดินออกมาพ้นจากอุโมงค์มิติ อุ้งเท้านิ่มสัมผัสกับพื้นหญ้า ร่างกายของพวกมันเรืองแสงขึ้นก่อนที่รูปร่างจะค่อยๆเปลี่ยนไปกลายเป็นเด็กสาวที่มีความสูงไล่เลี่ยกัน พวกหล่อนใส่ชุดยูนิฟอร์มของวิทยาลัย เชิ้ตขาวผูกเนกไทด์สีม่วงไวน์ทับด้วยสูทสีกรมท่าขลิบเงิน กระโปรงสีเดียวกับสูทยาวเลยเข่าขึ้นมาเล็กน้อยพองาม สวมถุงน่องสีดำสนิทปิดเรียวขาและรองเท้าคัทชู

          “ดูจากนิสัยแล้วชิโฮะคิดว่าซาซากิคนน้องจะเป็นฟีไลน์หรือแคไนน์ล่ะ?”

          “แคไนน์มั้ง? นิสัยตูบสุดๆไปเลย เหมือนพี่สาวเขาเป๊ะๆ ลูกไม้คงจะหล่นไม่ไกลต้นล่ะมั้งแบบนี้”

          ‘คาโต้ ชิโฮะ’ คือชื่อจริงๆของเมนคูนสีเทา หล่อนมีเรือนผมสีช็อคโกแลตที่ไม่เหมือนสีขนตอนอยู่ในร่างแมวเท่าไหร่นักเข้าคู่กับดวงตาสีเปลือกไม้ เขี้ยวที่มุมปากของหล่อนเสริมความเป็นแมวอย่างเห็นได้ชัด ใครผ่านมาเห็นก็คงจะดูออกว่าหล่อนเป็นฟีไลน์

ทั้งสามคนเดินตัดผ่านสนามหญ้าขนาดย่อมไป เบื้องหน้าเป็นลานกลางล้มรอบไปด้วยคฤหาสน์หรูหลังใหญ่ห้าหลัง บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยความร่มรื่นของต้นไม้ต่างๆหลากหลายชนิด ตรงกลางลานนั้นมีบ่อน้ำพุประดับอยู่ พวกหล่อนเดินผ่านลานน้ำพุนั้นไปยังคฤหาสน์หลังแรกทางด้านซ้ายของบ่อน้ำพุ คาโต้ใช้หลังมือเคาะบานประตูใหญ่อยู่สองสามทีก่อนจะเปิดมันเข้าไป ภายในตกแต่งอย่างเรียบหรู มีโคมระย้าห้อยลงมากลางห้องที่กับเป็นห้องนั่งเล่น มีบันไดวนขึ้นไปยังชั้นสองของคฤหาสน์ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหอพัก ฟีไลน์ทั้งสามก้าวขาเดินฉับๆขึ้นไปบนบันไดวนอย่างไม่เร่งรีบเท่าใด

          “พอเปิดเทอมเราต้องย้ายห้องใหม่ใช่มั้ยอะ?” อดีตบริติชช็อตแฮร์ถาม

          “อือ น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ เห็นอาจารย์บอกมา” ‘ทาคาโมโตะ อายากะ’ อดีตแร็กดอลล์ตอบกลับ

          “หมายความว่าเราอาจจะต้องแชร์ห้องกับพวกแคไนน์?” คราวนี้เป็นเสียงจกชิโฮะ พวกหล่อนเดินขึ้นมาถึงชั้นสองพอดีเลยร่นระยะลงมาสุมหัวคุยกันได้ ห้องพักที่พวกเธอแชร์กันอยู่ห้องสุดท้ายของชั้นพอดีเลยไม่ต้องกลัวที่จะเดินเลยห้องตัวเอง

          “อือฮึ ประมาณนั้นล่ะ” ‘คาคิซากิ เมมิ’ บริติชช็อตแฮร์นิสัยนุ่มนิ่มซนๆเป็นคนตอบเพื่อนสาวไป

          ตอนนี้พวกเธอสามคนแชร์ห้องกันอยู่ อันที่จริงคืออาจารย์เป็นคนจัดให้ตั้งแต่วันที่พวกเธอหิ้วสัมภาระต่างๆจากบ้านเกิดมาเข้าเรียนปรับพื้้นฐานที่นี่แล้ว หลังจากจบการปรับพื้นฐานในช่วงเวลาสั้นๆ พอเปิดเทอมแล้วพวกเธอต้องเปลี่ยนห้องใหม่ทั้งหมดโดยจะมีแคไนน์(อีกชื่อก็คือพวกสุนัข)มาอยู่รวมด้วยในหอเดียวกัน  ถ้าโชคดีก็ได้อยู่กับฟีไลน์ด้วยกัน แต่ถ้าไม่ก็คงได้รูมเมทเป็นพวกแคไนน์ เปลี่ยนจากห้องพักหนึ่งห้องต่อสามคนเป็นสองคนด้วย พวกหล่อนได้ยินอาจารย์คุยกับนักศึกษากลุ่มหนึ่งว่าเพื่อเพิ่มความสนิทสนมกันเอาไว้และกันเกิดการทะเลาะวิวาทระหว่างฟีไลน์กับแคไนน์

          “อาา แย่จัง แบบนี้ก็ต้องทำความรู้จักกันใหม่สิ?” เมนคูนบ่นสียงงึมงำ หล่อนไม่ค่อยถูกชะตากับพวกเจ้าตูบมาแต่ไหนแต่ไร อาจเพราะนิสัยของพวกแคไนน์ที่หากไม่มีคนเล่นด้วยจะหงอยๆทำตัวนอยด์จนน่ารำคาญ(ในความคิดของเธอ)ล่ะมั้ง

          “อื้อ! แต่ฉันว่าก็ดีออก อยู่แค่กับพวกฟีไลน์ด้วยกันน่าเบื่อจะตาย เนอะเมมิ?”

          “อ่าฮะ”

          เจ้าเหมียวตัวเล็กที่สุดของกลุ่มตอบกลับพลางไขกุญแจห้องพักแล้วเปิดประตูเดินเข้าห้องไปก่อนคนแรก ตามมาด้วยอายากะ ปิดท้ายด้วยชิโฮะ หล่อนปิดประตูให้เรียบร้อย ภายในห้องพักตกแต่งอย่างเรียบๆตามรสนิยมของเจ้าของห้องทั้งสาม เตียงแยกกันอยู่คนละมุมห้องมีโต๊ะเตี้ยๆตั้งอยู่ตรงกลางห้องใช่สำหรับเขียนงานหรือนั่งอ่านหนังสือกัน

          “เห็นเขาบอกด้วยนี่ว่าคละชั้นปี ถ้าเกิดได้ไปอยู่กับแคไนน์ปีห้าปีหกขึ้นมานี่ก็น่ากลัวนะเนี่ย..”

          “แหงสิ จะโดนขย้ำคอเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

          “น่ากลัวๆ…”

          หลังจากนั้นก็มีแต่บทสนทนาไร้สาระบ้างมีสาระบ้างเป็นบางคราว พวกเธอทั้งหมดเปลี่ยนชุดเป็นชุดไปรเวท อีกสี่วันก็จะหมดวันหยุดหลังปรับพื้นฐานแล้ว พวกหล่อนต้องใช้เวลานี้ให้คุ้มค่า อย่างเช่นไปทำผม(ขน?) ทาเล็บ ช็อปปิ้งบ้างอะไรบ้าง เอนจอยด์ก่อนเปิดเทอมใหญ่ที่กำลังจะมาถึง


          สองวันถัดมา

          “มิเรย์ มะรืนนี้พี่ต้องไปเรียนที่อื่นนะ”

          “อีกแล้วหรอ?”

          “อื้ม แต่รอบนี้พี่จะพามิเรย์ไปด้วย”

          พรืดด

          ซาซากิคนน้องถึงกับสำนักน้ำหวานที่กำลังจะเข้าปาก หล่อนรีบเอื้อมมือไปคว้าทิชชู่มาเช็ดปากตัวเองโดยไว ดีที่มันไม่ใช่น้ำอัดลม ไม่งั้นคงแสบจมูกน่าดู

          “หาา? พี่พูดจริงดิ? แล้วบ้านอะ? แล้วโรงเรียนเก่าหนูล่ะ? แล้ว—”

          “ใจเย็นๆ ทีละคำถามสิ อีกอย่างพี่มีคนที่จะมาอธิบายเรื่องนี้กับเธอนะ”

          คุมิลูบหลังน้องสาวเบาๆหลังเห็นไอค่อกแค่กเพราะสำลักน้ำก่อนที่หล่อนจะหันไปกวักมือเรียกเจ้าเหมียวสีเทา ‘โทชิจัง’ ออกมาจาจากใต้โต๊ะ ขึ้นมาคุยกับมิเรย์เสียหน่อย ซาซากิคนน้องที่เห็นพี่สาวเรียกโทชิจังมาหาก็ไม่เข้าใจ แมวจะพูดอะไรได้นอกจากเหมียวหง่าว?

          “มิเรย์สินะ?” มันพูดขึ้นพร้อมๆกับตอนที่คุมินั่งลงข้างๆน้องสาวตัวเอง มิเรย์ที่ได้ยินเสียงออกมาจากปากเจ้าเหมียวก็ออกอาการตกใจ ตาเบิกกว้างแล้วหันไปมองคุมิก่อนจะหันไปมองเจ้าเหมียวสีเทาอีกรอบ

          “ท โทชิจังพูดได้???”

          “แปลกรึไง?” เจ้าเหมียวพูดเสียงเหวี่ยง มันสะบัดหางตบโต๊ะดังตุบๆอย่างไม่สบอารมณ์ คุมิก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ลูบหัวชิโฮะเบาๆให้ใจเย็นลง เด็กเพิ่งเข้าเรียนใหม่ก็แบบนี้ ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยจะได้ อาจารย์ถึงเลือกที่จะส่งชิโฮะมาทำงานที่บ้านคุมิ เพราะหล่อนเป็นรุ่นพี่ เคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้มาก่อนเลยน่าจะพอช่วยรุ่นน้องได้อยู่บ้าง

          “ที่จริงฉันไม่ได้ชื่อโทชิจังด้วย” มันยู่หน้า “ฉันเอาจดหมายเชิญเข้าเรียนที่วิทยาลัยเซลโความาให้”

          อุ้งเท้าหน้าของเมนคูนขนฟูดันซองจดหมายสีขาวสะอาดมีตราประทับK46สีม่วง-แดงไวน์ประทับเอาไว้ที่หน้าซอง นัยตาแหลมของมันมองหน้าเด็กสาวผมสั้นแล้วก้มลงมองซองจดหมายเหมือนจะให้เปิดอ่าน

          “วิทยาลัยเซลโควา?” ชื่อคุ้นๆแหะ เหมือนพี่จะเคยพูดนะ..

          “ที่พี่ไปเรียนไง”

          “อ้อออ..”

          ซาซากิคนน้องแกะซองจดหมายออก อ่านรายละเอียดข้างในที่เขียนมาอย่างถี่ยิบ ใช้เวลาไม่เกินห้านาทีก็อ่านจบ ใจความรวมๆแล้วก็คือเชิญไปเรียนนั่นแหละ แต่เธอสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง…

          “มันต่างจากวิทยาลัยปกติยังไง?”

          “ผู้คนจากทุกมิติที่มีร่างสัตว์เป็นสุนัขหรือแมวจะถูกเชิญไปเรียนที่นี่ คล้ายๆวิทยาลัยที่ทำให้เราเข้าใจถึงธรรมชาติของชาวแคไลน์ มีสอนประวัติศาสตร์เกี่ยวกับมิติต่างๆ เผ่าพันธุ์ วิวัฒนาการ อ้อ ที่สำคัญคือสอนการใช้พลังของตัวเอง”

          “การใช้พลัง?”

          “อื้ม เธอกับพี่สาวของเธอมีเชื้อสายของชาวแคไลน์อยู่น่ะ ชาวแคไลน์จะมีพลังที่ต่างกันไปแล้วแต่สายตระกูล ที่พี่สาวเธอหายไปเรียนที่อื่นก็คือไปเรียนที่เซลโควาที่แหละ” เจ้าแมวเทาพูดไปก็เหลือบมองซาซากิคนพี่ที่กำลังบีบอุ้งเท้านิ่มๆของหล่อนอยู่ อยากจะกางเล็บข่วนแต่ติดที่ว่าเขาเป็นรุ่นพี่เลยไม่กล้า

เหมือนจากการอธิบายของอดีตแมวเลี้ยงสีเทาตัวนี้จะทำให้มิเรย์เริ่มกระจ่างขึ้นมาบ้าง หล่อนก้มลงอ่านจดหมายเชิญอีกครั้ง ในนั้นเขียนเอาไว้อย่างที่ชิโฮะอธิบายจริงๆเสียด้วย

          “แล้วเราจะไปมิติแคไลน์อะไรนั่นกันตอนไหน?”

          “…ตอนนี้”

          จบคำพูดของเมนคูนตัวยักษ์ภาพตรงหน้าของสองคนกับีกหนึ่งตัวก็บิดเบี้ยวเป็นอุโมงค์มิติขนาดใหญ่พอให้คนเดินผ่านเข้าไปได้ ขาทั้งสี่ของก้อนขนยักษ์พาตัวมันเดินลอดผ่านอุโมงค์เข้าไปก่อนโดยไม่รอพี่น้องซาซากิแม้แต่น้อย

          ‘คงหมดหน้าที่แล้วเลยสะบัดตูดหนีงั้นสิ’ คุมิคิด ‘แต่อาจารย์ก็คงโอเคแหละ’

          “ไปเถอะมิเรย์ เสื้อผ้าเธอไม่ต้องห่วง พี่ส่งไปที่มิตินู้นให้แล้ว วันนี้เธอก็พักกับพี่ไปก่อน แล้ววันเปิดเทอมเขาจะประกาศห้องพักใหม่”

          “ทำไมพี่ไม่เคยบอกหนู?”

          คนผมสั้นประบ่ามองหน้าพี่สาวที่สูงไล่เลี่ยกับตัวเองนิ่ง ไม่ได้โกรธหรืออะไรหรอกนะ แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่บอก ทั้งๆที่ถ้าบอกจะเตรียมตัวได้เร็วกว่านี้แท้ๆ

          “อื้ม..มันพูดยากนะ คือทุกๆปีอาจารย์จะให้นักศึกษาที่เขาเรียนปรับพื้นฐานที่อยู่ในมิติแคไลน์อยู่แล้วเป็นคนส่งจดหมายเชิญกับชาวแคไลน์ในมิติอื่นน่ะ เหมือนทดสอบนั่นแหละ”

          มิเรย์พยักหน้าหงึกๆเข้าใจ ด้านคุมิเองพอเห็นน้องสาวเริ่มเข้าใจแล้วเลยพาเดินเขาอุโมงค์มิติที่ชิโฮะเป็นคนสร้างเอาไว้ไป แน่นอนว่าใช้เวลาไม่นานก็มาอยู่ในจุดเดียวกับที่ๆชิโฮะแอนด์เดอะแก๊งเคยมาโผล่แล้ว เห็นหางฟูๆของเจ้าเหมียวอยู่ไวๆไม่ห่างจากตรงที่ออกมามากนัก

          “ช้า!” หล่อนพูด เพียงกระพริบตาจากเมนคูนตัวใหญ่ก็กลายมาเป็นเด็กสาวที่ดูอายุไล่เลี่ยกับเธอในชุดยูนิฟอร์มแปลกตาเสียแล้ว มิเรย์ได้มองตาปริบๆ ใจเต้นแรงกว่าปกติ เธอไม่คิดว่าโทชิจังพอกลายเป็นคนแล้วจะสวยขนาดนี้..

          ‘ตัวเล็กแหะ นึกว่าร่างแมวตัวใหญ่แล้วร่างคนจะตัวใหญ่เหมือนกันซะอีก’

          “ขอโทษๆ ช้านิดหน่อยไม่ได้หรือไง ฮึ?” คุมิยื่นมือไปขยี้เรือนผมสีช็อคโกแลตของอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนหันไปพยักเพยิดกับมิเรย์ให้เดินตามมา “เดี๋ยวพี่พาเดินรอบวิทยาลัย ส่วนเธอ กลับไปเตรียมตัวสำหรับเปิดเทอมเถอะ เดี๋ยวพี่บอกอาจารย์ให้เรื่องส่งจดหมายเชิญสำเร็จ”

          คาโต้พยักหน้าเบาๆ หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายอยู่ครู่นึงก่อนจะหันหลังวิ่งกลับไปที่หอพักของตัวเอง หากสังเกตดีๆจะพบว่าแก้มของหล่อนแอบแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กด้วยเสียด้วย คุมิก็ได้แต่แอบยิ้มน้อยๆด้วยความเอ็นดูแล้วหันไปพูดกับน้องสาวของตัวเองว่า

          “ไปกันเถอะ ที่นี่ยังเหลือเวลาอีกสองวันกว่าจะถึงเปิดเทอมจริง พี่จะสอนพื้นฐานเวทย์คร่าวๆให้แล้วกัน แต่ตอนนี้เรามาเดินดูให้ทั่ววิทยาลัยกันก่อนดีกว่า”

          .

          .

          .

          .

          .

          “คฤหาสน์ทั้งหมดภายในซี่รั้วสีเขียวเข้มตรงนั้นเป็นของเซลโควาทั้งหมด” เสียงเนิบๆของซาซากิคนพี่พูดอธิบายไปเรื่อยๆ นิ้วของหล่อนชี้ไปยังรั้วที่ถ้าหากมองจากตรงนี้คงจะเห็นอยู่ลิบๆ

          “ภายในแอเรียหลักของเซลโควาจะมีคฤหาสน์อยู่ห้าหลัง ตั้งล้อมรอบลานน้ำพุอย่างที่เห็น คฤหาสน์ตรงกลางเป็นบ้านพักของพวกอาจารย์ เวลาจะมาล่าลายเซ็นหรือถามอะไรก็ให้มาที่นี่ ถ้าไม่มีสอนพวกเขาจะอยู่ที่นี่กันแทบทุกคน”

          “ใหญ่เวอร์..”

          “ก็ใช้งบเยอะอยู่นะ” สองพี่น้องกระซิบกระซาบกัน

          “มาต่อที่อีกสองคฤหาสน์ที่ขนาบข้างบ้านพักครู สองคฤหาสน์นี้เป็นสถานที่ใช้เรีนภาคทฤษฎี ทางด้านซ้ายจะเป็นของพวกปีหนึ่งถึงปีสาม ด้านขวาเป็นปีสี่ถึงปีหก ภาคปฏิบัติส่วนใหญ่จะลงพื้นที่จริงหรือก็คือป่าในแอเรียที่สอง อันนี้มิเรย์ต้องลองลงไปด้วยตัวเอง พี่พาไปดูไม่ได้เพราะตอนนี้เขาปิดไม่ให้นักศึกษาเข้าอยู่ เปิดอีกตอนเปิดเทอมนั่นแหละ”

          คุมิพาคนอายุอ่อนกว่าเดินเลาะด้านหลังคฤหาสน์มาเจอป่าที่ว่า มันไม่ได้รกร้างน่ากลัว กลับดูร่มรื่นเสียด้วยซ้ำไป เหมาะแก่การเข้าไปสูดอากาศบริสุทธิ์หรือพักผ่อนหย่อนใจ มิเรย์หมายมั่นปั้นมือว่าถ้าเปิดเทอมแล้วคงต้องแอบมาเล่นที่นี่บ่อยๆเป็นแน่

          “คฤหาสน์อีกสองหลังที่เหลือเป็นหอพัก หอซ้ายเป็นของฟีไลน์ หอขวาเป็นของแคไนน์ แต่พี่ได้ยินมาว่าปีนี้เขาจะสลับหอใหม่ให้ทั้งหมดเป็นหอรวม ผสมฟีไลน์กับแคไนน์ด้วยกัน เพราะงั้นเปิดเทอมคงต้องย้ายห้องกันวุ่นๆหน่อย”

          “หมากับแมวอยู่ด้วยกันไม่กัดกันแย่หรอแบบนี้..”

          “คงจะ..นี่เป็นปีแรกด้วย รุ่นหนูลองยาล่ะมั้ง”

          “โห..”

          มิเรย์เริ่มคิดหนัก คุมิบอกว่าตัวเองเป็นแคไนน์ เพราะฉะนั้นตัวหล่อนเองก็คงจะเป็นแคไนน์ไปด้วย ถ้าได้อยู่ห้องเดียวกันกับพวกฟีไลน์ต้องมีกัดกันบ้างแน่ๆ หล่อนไม่ได้นิสัยเหมือนคุมิที่เป็นพวกยอมคน มิเรย์เป็นพวกหัวดื้อ ถ้ามีปากเสียงกันคงไม่เป็นฝ่ายยอมจนกว่าอีกฝ่ายจะบอกเหตุผลที่เธอยอมรับได้ ถ้าเกิดหวยล็อคได้อยู่กับพวกแมวขึ้นมาต้องทะเลาะกันบ่อยแน่ๆ

          “แต่ระวังได้อยู่กับรุ่นพี่ไซโต้แล้วกัน”

          “เขาคือ…?”

          “รุ่นพี่ฟีไลน์ปีห้า ขี้เหวี่ยงอย่าบอกใคร”

          “พี่ก็พูดไป ตอนพี่เจอเขาอาจจะอารมณ์ไม่ดีก็ได้”

          “….พี่ได้ยินมาว่าขนาดเพื่อนสนิทรุ่นพี่เขายังโดนเหวี่ยงมาแล้วเลย” คุมิพูดเสียงแผ่วลง กลัวว่าจะมีคนได้ยินแล้วไปฟ้อง

          “…โอเคหนูจะระวัง”

          สองพี่น้องพยักหน้าให้กันก่อนที่คุมิจะพาน้องสาวสุดที่รักขึ้นหอพัก ห้องที่คุมิแชร์กับเพื่อนอยู่ชั้นสาม พิเศษหน่อยตรงที่พักอยู่กันแค่สองคน เพิ่มมิเรย์มาอีกคนเลยไม่เป็นอะไรมาก รูมเมทของคุมิ ‘อิกุจิ มาโอะ’ ตอนนี้ไม่อยู่ที่ห้อง หล่อนบอกคุมิว่าจะออกไปซื้อของที่ตลาดนอกรั้วเซลโควา อาจจะกลับมาเย็นๆ

แต่ก่อนจะได้ทำอะไรซาซากิคนพี่ก็จัดการจับน้องสาวมาสอนเรื่องแปลงเป็นร่างแคไนน์ของตัวเอง มิเรย์เพิ่งเคยมาที่มิตินี้ และไม่เคยแปลงเป็นร่างแคไนน์ด้วย คุมิถึงต้องทำให้ดูก่อน จากสาวร่างสูงค่อยๆกลายมาเป็นสุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์สีดำที่ตัวใหญ่กว่าลาบราดอร์ปกติ มันเห่าหนึ่งทีก่อนที่จะกลับมาเป็นร่างมนุษย์อีกครั้ง

          “พี่ไม่รู้ว่ามิเรย์จะเป็นแคไนน์พันธุ์ไหนนะ มันขึ้นอยู่กับว่าเธอนิสัยเป็นยังไง เอาล่ะ ลองทำตามที่พี่ทำ ตั้งสติดีๆ โอเค๊?”

          “อือๆ ดูแล้วไม่น่ายาก”

          .

          .

          .

          ใช้เวลาไม่นาน ซาซากิ มิเรย์ ก็กลายเป็นไซบีเรียนฮัสกี้ขนปุย หล่อนมองไปรอบๆ ดวงตาของฮัสกี้สีน้ำตาลตัวนี้มีสองสี ข้างซ้ายสีเหลืองทอง ข้างขวาสีฟ้าสว่าง หางฟูๆกระดิกไปมาเบาๆ

          “ฮัสกี้ล่ะ” สงสัยเพราะบางทีก็ทำตัวเด๋อๆแหงเลย คุมิคิดนินทาน้องสาวในใจ เอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าหมาปุๆ ประจวบเหมาะกับประตูห้องที่ถูกเปิดโดยรูมเมทของซาซากิคนพี่ ในแว้บแรกที่เห็นเจ้าฮัสกี้ หล่อนมีสีหน้าตกใจอยู่เล็กน้อยว่าใครที่ไหนเข้ามาอยู่ในห้อง

          “ใครน่ะคุมิ? แฟนหรอ?!” หล่อนพูดเสียงสูง จ้องคุมิไม่วางตา

          “ใจเย็นๆนะมาโอะ นี่น้องสาวฉัน..” คุมิลากเสียงรอให้ฮัสกี้สีน้ำตาลเมื่อครู่กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์แล้วถึงได้พูดต่อ “ซาซากิ มิเรย์”

          “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” อดีตฮัสกี้พูดยิ้มๆ กล่าวตามมารยาท

          “..น้องสาวหรอกหรอ”

          เหมือนรุมเมทของพี่สาวตัวเองจะมีท่าทางโล่งใจเลยทำให้มิเรย์สงสัยอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายก็เลิกคิดถึงมัน หล่อนคงต้องไปเตรียมตัวสำหรับวันเปิดเทอม คุมิบอกว่าจะเป็นคนสอนเกี่ยวกับเรื่องพื้นฐานในมิติแคไลน์ให้เอง หล่อนพอจะวางใจ อย่างน้อยก็มีความรู้ติดตัวไว้บ้าง
         

          ‘ทำไมมันถึงฉุกละหุกแบบนี้ล่ะเนี่ย..’

The Broken Prophecy

The Broken Prophecy : Intro

Intro : New prophecy

various pairings

214568


          ยามราตรีที่เงียบสงัด ดวงดาวมากมายพร่างพรายส่องสกาวอยู่บนนภา ดวงจันทราที่ลอยเด่นอยู่นั้นฉายแสงลงมาตกกระทบยังต้นไม้ใบหญ้าของป่าเบื้องล่าง สิ่งมีชีวิตรูปร่างละม้ายคล้ายกับเสือดาวหิมะตัวยักษ์กำลังย่างอุ้งเท้าผ่านที่แห่งนี้ไปเรื่อยๆ จุดหมายปลายทางของมันเป็นแหล่งน้ำใสใจกลางป่ากว้าง ดวงตาสีฟ้าใสเหลือบทอดมองไปยังแหล่งน้ำก่อนที่ร่างทั้งร่างของมันจะเรืองแสงขึ้น รูปร่างค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นหญิงสาวคนนึง หล่อนมีเรือนผมสีดำขลับยาวตรงเลยบ่าลงไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ดวงตามีประกายคล้ายหยอกล้อกับแสงระยิบระยับของดาวเบื้องบนนภานั้น

เสียงถอนหายใจดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงบ เบนเบือนสายตาละออกจากแหล่งน้ำตรงหน้าขึ้นไปยังดวงดารา หล่อนหยีตาลงเมื่อแสงสว่างของหนึ่งในดาวฤกษ์ตกกระทบอวัยวะรับแสง ไทด์ซึ่งโดนปลดออกเล็กน้อยทำให้เจ้าหล่อนดูเป็นคนไม่เรียบร้อยซักเท่าไหร่นัก เสื้อสูทที่เคยสวมทับเชิ้ตสีขาวกลับถูกถอดออกมาผูกที่เอวแทน สายลมพัดเอื่อยๆกระทบผิวขาวซีดของอดีตเสือดาวหิมะตัวโคร่ง

          แกรก

          เสียงเหยียบใบไม้แห้งดังมาจากด้านหลัง แม้มันจะเบามากก็ตาม แต่ด้วยโสตประสาทอันดีเลิศทำให้หญิงสาวเจ้าของดวงตาดุต้องหันกลับไปมองแทบจะทันที ภาพตรงหน้าปรากฏเป็นเพียงวิฬาร์ตัวน้อย หูตกๆของมันบวกเข้ากับหางฟูฟ่องชวนให้อยากสัมผัส แต่เธอรู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นเพียงแค่แมวธรรมดา แมวขนฟูกำลังก้าวอุ้งเท้านุ่มนิ่มของมันเข้ามาใกล้เสือดาวหิมะ

          “มาทำอะไรที่นี่?”

          จบคำของหล่อนเจ้าวิฬาร์สีขาวนวลเนียนราวกับแสงจันนทร์เมื่อครู่ก็มาอยู่ในร่างมนุษย์เหมือนเธอเสียแล้ว จากขนนุ่มฟูเมื่อครู่กลายมาเป็นขนเฟอร์ของชุดคลุมที่หล่อนสวมใส่ นัยตาเล็กแหลมเลื่อนไปมองยังอดีตเสือดาวหิมะพร้อมๆกับสายลมที่พัดเอากลิ่นไอดินขึ้นมาแตะจมูก เรือนผมยาวถึงกลางหลังของวิฬาร์สาวพริ้วไหวไปตามแรงลม

          “ตามคุณมาไงคะ” กล่าวขณะเดินเข้ามาใกล้ๆ ท้องฟ้าคืนนี้มีดวงดาวปรากฏขึ้นมามากกว่าปกติจนหล่อนชักสังหรณ์ใจ อาจจะมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นถึงได้เลือกตามแม่เสือสาวมาที่ป่าแห่งนี้ด้วย แล้วก็เป็นไปดังที่คาดไว้ คิดถูกแล้วเชียวที่เชื่อในลางสังหรณ์หญิงสาวตรงหน้า เสือดาวหิมะผู้มีพลังพยากรณ์

          “มีอะไรผิดปกติไปหรือคะ?”

          “บริลเลียนท์กำลังจะส่งข้อความมา”

          คราวนี้อดีตวิฬาสีขาวถึงกับเลิกคิ้วขึ้น ‘บริลเลียนท์’ ที่ว่าเป็นกลุ่มวิญญาณที่เข้าสู่โลกหลังความตายไปแล้ว หากแต่ยังสามารถติดต่อกับพวกที่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้แต่ต้องผ่านบุคคลพิเศษเท่านั้น แล้วบุคคลพิเศษที่ว่านั่น หนึ่งทศวรรษจะมีซักคนสองคน บางทีบริลเลียนท์ก็มักที่จะปรากฏในรูปร่างของสัตว์ๆต่างๆโดยมีขนและส่วนอื่นๆเป็นประกายสีเงินระยิบระยับ ความสามารถหยั่งรู้ของพวกเขาเป็นประโยชน์ช่วยเอื้ออำนวยในหลายๆด้าน

          “ตอนนี้งั้นรึ? ลมอะไรหอบพวกเขามากัน”

          “คงเป็นเรื่องสำคัญ..”

          ทั้งสองร่างเงยหน้าขึ้นมองไปยังดวงดาวเบื้องบน คิ้วของเสือดาวหิมะกระตุก พลันรอบข้างตัวหล่อนก็เกิดมีลมพัดผ่านวูบใหญ่ ภาพเบื้องหน้าดับมืดลงอย่างกระทันหัน เสียงเห่าหอนโหยหวนของเหล่าฝูงหมาป่า เสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดของพยัคฆ์ดังก้องขึ้นภายในหัวอย่างไม่มีที่มาที่ไป ดวงตาสีฟ้าใสเบิกกว้าง พลันภาพที่ปรากฎขึ้นแทนทีความว่างเปล่าตรงหน้าคือไฟสีฟ้าสว่างซึ่งกำลังโหมลามไปทั่วผืนป่า เงาดำนับร้อยๆพุ่งกระโจนเข้าหากันอย่างคุ้มคลั่ง เลือดสาดกระเซ็น ย้อมให้สีของใบหญ้ากลายเป็นสีแดงฉานจนกระทั่งไม่เหลือพื้นที่สีเขียวให้เจ้าของดวงตาได้เห็นอีก

          ก่อนภาพทั้งหมดจะกลับมาเป็นปกติดังเดิมเหมือนเช่นก่อนหน้า

          “เป็นอะไรไปคะ?” หญิงสาวอีกคนถาม มือของหล่อนแตะลงบนไหล่ของคนที่เตี้ยกว่า แววตาเป็นกังวล เสือดาวหิมะมีสีหน้าไม่ดีเอาเสียเลย เสียงหอบหายใจที่ถี่และแรงขึ้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงไม่โอเคเท่าไหร่นัก คู่สนทนาผู้ถูกแตะบ่าส่งเสียงปฏิเสธเบาๆ มือชื้นเหงื่อถูกยกขึ้นลูบใบหน้า

          “พวกเขาส่งข้อความมา…เมื่อครู่นี้”

          “คำพยากรณ์หรือคะ?”

          “อื้ม..”

          ลมอ่อนๆพัดมาอีกวูบทำให้เรือนผมยาวไหวเล็กน้อย มือที่แตะไหล่อยู่เมื่อครู่เลื่อนลงมาบีบมือเสือสาวเบาๆราวกับกำลังให้กำลังใจ เธอรู้ว่าบริลเลียนท์ไม่เคยส่งข้อความลงมาด้วยวิธีปกติ คนข้างๆคงเหนื่อยไม่น้อยที่ต้องคอยมารับคำพยากรณ์อะไรแบบนี้

 

          “สงครามกำลังจะเกิดขึ้น”

          “ดินแดนแห่งนี้กำลังจะแตกออกเป็นสองฝ่าย”

 

          “การสูญเสีย..จะกลับมาเยือนพวกเราอีกครั้ง”

Capuchino (KumiShiho)

Capuchino (KumiShiho) : SP

SP : April Fool’s Day

fbaa6d6da3cb5de4709b1eec8834d-02


          10:25 น.

          1 เมษายน

          ร่างของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมดัดลอนสีช็อคโกแลตที่ยาวเกือบถึงกลางหลังกำลังหลับตาพริ้มซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ถึงแม้ว่านี่จะเป็นหน้าร้อนแต่อุณภูมิภายในห้องกลับเย็นเฉียบ ลมเย็นจากแอร์ที่ตกลงมากระทบผิวเนียนทำให้หล่อนดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงคอ ขยับตัวเข้าหาอีกร่างที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน อีกคนก็เหมือนจะรู้ว่าโดนคุกคามจากเจ้าของห้องซะแล้วถึงได้เอื้อมมือไปดึงร่างนั้นมากอดแนบตัวเอาไว้ คิดว่าหล่อนคงหนาว

คาโต้ร้องอือเบาๆยอมให้เขากอดแต่โดยดี หล่อนยังไม่อยากตื่น เพราะวันนี้เป็นวันหยุดด้วย จะตื่นสายเท่าไหร่ก็ได้ พวกเธอสองคนถึงได้นอนอุดอู้อยู่บนเตียงแบบนี้ทั้งๆที่ตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นมาอยู่กลางหัวในอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว

          “ชิโฮะ” เสียงเขาเรียกเบาๆที่ข้างหู หมอนข้างจำเป็นของคาโต้เริ่มขยับตัวแล้ว หล่อนเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่หัวเตียงมาเปิดดูเวลาด้วยท่าทางสลึมสลือ ดูเวลาเสร็จก็อยากจะฟุบลงไปนอนต่อแต่ติดอยู่ที่ว่ามันสายมากแล้ว คงต้องปลุกตัวนอนกินบ้านกินเมืองไปกินข้าวก่อน ซาซากิกลัวเหลือเกินว่าชิโฮะจะเป็นโรคกระเพาะ อีกฝ่ายชอบกินข้าวไม่ตรงเวลา บางวันกินไม่ครบสามมื้อด้วย น่าเป็นห่วง

          “ตื่นได้แล้ว ชิโฮะ จะสิบเอ็ดโมงแล้วนะ”

          “…..ขออีกห้านาที”

          เจ้าตัวยืนกรานแบบนั้นคุมิเลยคิดว่าจะลุกไปอาบน้ำก่อน ปล่อยให้ยัยลูกแมวนอนซุกผ้าห่มไป แต่พอคนอายุมากกว่ากำลังจะก้าวลงจากเตียงก็โดนคว้าข้อมือเอาไว้ก่อน สายตาอ้อนๆถูกส่งมาจากคนที่นอนอยู่บนเตียง หล่อนออกแรงดึงข้อมือของซาซากิเบาๆราวกับอยากจะบอกว่าให้ลงมานอนต่อด้วยกัน คุมิเห็นแบบนั้นก็กลับมานอนลงข้างๆคนตัวเล็กกว่าเหมือนเดิมเพราะแพ้ลูกอ้อนของยัยเหมียว

          “ยังง่วงอยู่หรอ? นอนไปเยอะแล้วนะนั่น”

          เขาว่าพลางดึงรั้งอีกฝ่ายเข้ามากอด ซุกไซร้ไปตามลำคอระหงชวนให้หญิงสาวอีกคนออกอาการจั๊กจี้อยู่ไม่น้อย หล่อนเอามือดันหน้าเขาออกห่างๆจากคอตัวเองไวๆก่อนจะโดนกวนให้ไม่ได้นอนต่ออย่างสบายใจ แต่ดูเหมือนคนขี้แกล้งจะไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น มือซนสอดเข้าสาบเสื้ออีกฝ่าย ลูบผ่านเอวคอดทำให้ชิโฮะสะดุ้งตัววาบ รีบตะครุบมือซนๆนั่นเอาไว้ก่อนมันจะเลยเถิดไปไหนต่อไหน

          “คุมิ จะนอน” คาโต้พูดเสียงสะบัดติดงอนๆ มุ่ยหน้าคิ้วขมวดแล้ว หล่อนพลิกตัวหันไปนอนตะแคงข้างอีกด้านแทน หันหลังให้คุณแฟนขี้แกล้ง

          “ไม่งอนสิ” คุณเจ้าของร้านกาแฟจัดการย้ายตัวเองไปนอนดักหน้าอีกฝ่ายเหมือนเดิมเคลื่อนหน้าไปประทับรอยจูบลงบนมุมปากของคนรักเป็นการง้อ มือโอบเอวบางเข้ามาแนบตัว “ให้นอนก็ได้ แปปเดียวพอนะ”

          ดวงตาหวานช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่าย เหมือนจะหายงอนไปแล้วพอเขาบอกให้นอนต่อได้ หล่อนขยับแขนไปโอบรอบคออีกฝ่ายแล้วดึงรั้งลงมาประทับริมฝีปากเบาๆเป็นการขอบคุณแล้วก้มหน้างุดซุกซอกคอเขา ลมหายใจรดลงบนต้นคอของคุมิทำให้ยากที่จะอดใจไหว ยิ่งชิโฮะใส่ชุดนอนบางๆยิ่งทำให้สติคุณเจ้าของร้านสติแทบจะเตลิด

 

          มือเย็นไล้กลับเข้าไปในสาบเสื้อบางของหญิงสาวอายุน้อยกว่าให้เจ้าของร่างสะดุ้ง ดวงตาสีช็อคโกแลตลืมพรึบขึ้นมามองคนตรงหน้า ปากกำลังจะร้องประท้วงแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ริมฝีปากของหล่อนโดนปิดสนิทโดยริมฝีปากอีกคู่ที่ทาบทับลงมา สัมผัสเย็นวาบไปตามเรือนร่างของออฟฟิศเลดี้คนสวย มือของหล่อนบีบไหล่ของคนตัวสูงไว้แน่น ซาซากิขบกัดริมฝีปากล่างของคาโต้เบาๆ ให้เจ้าตัวครางลำคอเบาๆ

          “อื้อ..”

          สัมผัสจากมือของคนตัวสูงขยับทาบไปเรื่อยๆก่อนมาหยุดที่ก้อนเนื้อนุ่ม คุมิไล้ริมฝีปากไปกดจูบลงบนคอขาวของอีกฝ่าย พรมจูบลงไปเรื่อยก่อนจะขบกัดเป็นรอยแดงด้วยฟันคมของคนอายุมากกว่า เสียงเบาๆลอดออกมาจากคอของชิโฮะอีกครั้งพอดีกับที่มือเรียวของคุมินวดคลึงหน้าอกคู่สวยภายใต้สาบเสื้อบางที่ชิโฮะใส่เอาไว้

ซาซากิตัดสินใจละสัมผัสทั้งหมดออกแล้วพลิกขึ้นมาคร่อมร่างคนตัวเล็กเอาไว้ มือเชยคางน่ากัดนั่นให้เงยหน้าขึ้นมาสบตาก่อนเคลื่อนหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย ปิดริมฝีปากที่แดงเรื่อขึ้นเล็กน้อยเพราะรสจูบนั่นอีกครั้ง สัมผัสนุ่มนวลถูกถ่ายทอดให้อีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง สัมผัสเย็นจากมือของคุณเจ้าของร้านกาแฟไล่จากหน้าท้องแบนราบไปยังสะโพกผาย

          “คุมิ..”

          “เรียกพี่สิ..” ซาซากิช้อนตาร้องขอเหมือนลูกหมา นานๆทีจะแสดงด้านนี้ออกมาจนทำให้ชิโฮะลอบกลืนน้ำลายย่างยากลำบาก หล่อนหายใจติดขัดเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆที่ลูบผ่านขาอ่อนด้านในไป กางเกงขาสั้นที่ใส่นอนเหมือนจะไม่มีประโยชน์อีกแล้วเมื่อมันถูกร่นออก

          “พ..พี่คุมิ” หล่อนพูดอายๆ เบนหน้าไปมองทางอื่น นี่มันเพิ่งจะสายๆเองนะ แทนที่เธอจะได้นอนต่อดันกลายเป็นทำกิจกรรมเผาผลาญแคลอรี่ไปซะแล้ว  

          ถึงในใจจะคาดโทษเขาเอาไว้ต่างๆนานาแต่สองมือก็ดึงรั้งอีกฝ่ายลงมาประกบริมฝีปากด้วยกันอีกครั้ง ซาซากิรวบนิ้วเรียวทั้งสองกดเข้าไปในร่างเจ้าของห้อง หล่อนจิกเล็บลงบนหลังของเขาแน่น เสียงครางแผ่วเบาถูกเปล่งออกมาจากลำคอหลังทั้งสองผละริมฝีปากออกจากกัน คุมิค่อยๆทำรอยสีกุหลาบไปเรื่อยๆตามมุมอับตรงคอขาวของอีกฝ่าย

หญิงสาวใต้การปกครองหลับตาแน่น กัดริมฝีปากล่างกลั้นเสียงน่าอายของตัวเองเต็มที่ นิ้วเรียวที่ค้างอยู่ภายในก็เริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ ท้องน้อยของหล่อนร้อนวูบ ร่างกายบิดเกร็งสั่นไหวกับสัมผัสที่ได้รับมาจนสุดท้ายก็มีเสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกมาจนได้

          ฮ๊า….แฮ่ก…แฮ่ก….

          ปลายเท้าของคาโต้จิกเกร็งลงกับเตียง เสียงเนื้อกระทบกันดังคลอไปกับเสียงหอบกระเส่าของหญิงสาวเจ้าของห้อง เหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาตามไรผมของหล่อนเมื่อรู้สึกได้ถึงนิ้วที่สามที่ถูดสอดแทรกเข้ามาจนคับแน่น หล่อนแทบสะอึก คืนก่อนยังไม่ขนาดนี้ สงสัยคุณเจ้าของร้านกาแฟคงอยากคิดบัญชีเต็มแก่แล้วกระมัง..

ดวงตาสีช็อคโกแลตปรือขึ้นมองคนรัก แอบหมั่นเขี้ยวพอเห็นคอของเขาอยุ่ตรงหน้า หล่อนโน้มคอของอีกฝ่ายลงมาใกล้ๆซึ่งเขาก็ยอมขยับเข้ามาหาแต่โดยดี เขี้ยวแหลมตรงมุมปากกดลงแนบต้นคอของคนด้านบนแต่หล่อนก็ต้องชะงักไปเมื่อสัมผัสร้อนตรงช่วงล่างกดลึกเข้ามาจนสุดจนเผลอปล่อยเขี้ยวที่กำลังกัดออก ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวเมื่อเขาขยับนิ้วออกจนเกือบสุดแล้วกระแทกกลับมาซ้ำๆ

          ก่อนที่ทั้งโลกจะกลายเป็นสีขาวโพลน

          .

          .

          .

          .

          11:32 น.

          หลังเสร็จกิจกรรมเรียกเหงื่อยามสายคุมิก็ปล่อยให้อีกฝ่ายนอนต่อตามสัญญา แต่ก็ไม่ได้นานมากนัก ให้นอนแค่พอหายเหนื่อย ระหว่างที่ปล่อยให้ชิโฮะนอนไปตัวเองก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปทำอาหารง่ายๆรอให้ลูกแมวแสนดื้อที่นอนอยู่บนห้องตื่นมานั่งกินด้วยกัน

          “ชิโฮะ ตื่นได้แล้ว ไปอาบน้ำเร็ว วันนี้มีนัดกับอายะป้งตอนบ่ายไม่ใช่หรอ”

          ซาซากิขึ้นมานั่งบนเตียง แตะแก้มนิ่มของคนรักเบาๆก่อนเขย่าไหล่เขาให้ตื่น ชิโฮะที่พอได้ยินคำว่า ‘นัด’ ก็เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ รีบเกาะแขนคุมิที่ยื่นมาประคองพาตัวเองไปอาบน้ำโดยเร็วก่อนที่จะไม่ทันกินข้าว ไหนจะแต่งหน้าโบ๊ะแป้งอีก ถ้าไม่รีบตื่นต้องได้เบี้ยวนัดอายากะแน่ๆ

 

          “คุมิ”

          “หืม?”

          “เกลียด”

          “เอพริลฟูลเดย์ล่ะสิ” พูดยิ้มๆ

          “ชิ ว่าจะหลอกซักหน่อย รู้ทันหรอกหรอ”

          คุมิหัวเราะเบาๆ ยีหัวยัยลูกแมวอย่างหมั่นเขี้ยว จะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ ก็เธอเป็นคนตื่นมาดูเวลาก่อนปลุกชิโฮะนี่นา

          “แล้ววันนี้อายะป้งมารับที่บ้านหรอ?”

          ช่วงนี้ชิโฮะตัวติดกับ ‘ทาคาโมโตะ อายากะ’ เป็นพิเศษ ถ่ายรูปด้วยกัน เที่ยว กินข้าว อยู่ด้วยกันตลอด เพราะคุมิเป็นเจ้าของร้านกาแฟเลยอยู่ติดร้าน ตอนเย็นๆก็ต้องเปลี่ยนกะกับ’มิเรย์’น้องรัก เลยขึ้นไปหาชิโฮะไม่ได้ แต่ถ้าแว้บขึ้นไปตอนเช้าก็จะเห็นคุยเล่นกับอายากะอยู่สองคน

          หมั่นไส้

          เป็นความรู้สึกแรกที่นึกถึงทันทีที่หล่อนเห็นภาพนั้น พยายามไม่เก็บมาคิดมาก แต่นานวันเข้าก็เหมือนจะสนิทกันมากเกินไป มีอยู่หลายครั้งที่คุมิอยากจะเข้าไปจับแยก ถ้าไม่ติดว่ากลัวโดนชิโฮะเหวี่ยงใส่ก็คงเข้าไปแยกแล้ว เธอยังไม่อยากนอนนอกห้องซักเท่าไหร่

พูดถึงอายากะแล้วก็นึกถึง ‘ไซโต้ เคียวโกะ’ คนรู้จักของชิโฮะที่เปิดร้านราเม็งอยู่ข้างๆบริษัทนั่นแหละ เห็นว่ากำลังตามจีบอายากะอยู่ แต่เหมือนสาวเจ้าจะไม่เล่นด้วยเท่าไหร่ ชิโฮะแอบกระซิบบอกมาว่าอายากะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ช่วงนี้คุมิถึงไปหาเคียวโกะบ่อยๆ คุยเรื่องอายากะบ้างชิโฮะบ้าง หรือไม่ก็เรื่องไร้สาระทั่วๆไปจนตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทคนนึงของคุมิแล้ว บางครั้งถ้าซาโตชิเพื่อนรักว่างก็จะชวนไปหาอะไรกินที่ร้านของเคียวโกะเหมือนกัน แต่ตอนที่ไปชวนก็ต้องคอยหลบสายตาทิ่มแทงของฟุยุกะที่มองมาตลอด

          โคตรน่ากลัวเลย ชิโอริทนได้ไงเนี่ย..

          วันนี้ทั้งชิโฮะและอายากะก็จะออกไปข้างนอกด้วยกันทั้งๆที่นานๆทีจะได้อยู่ด้วยกันทั้งวันแท้ๆ ซาซากิคิดแล้วก็แอบน้อยใจ

          “อื้อ อีกไม่เกินห้านาทีก็คงถึงแล้วแหละ”

          ฝ่ายคาโต้หลังพูดจบก็เห็นอาการนอยด์ๆของคุณแฟนเลยขยับไปหอมแก้มเขาเบาๆเหมือนจะขอโทษที่วันนี้ไม่ได้อยู่ด้วย รู้หรอกว่าคิดอะไรอยู่

          เขากลายเป็นคนคิดมากแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ..

          “รีบกลับมานะ..”

          กอดร่ำรากันอยู่บนโซฟาซักพักก็มีเสียงออดดังขึ้นพอดี ชิโฮะรีบหยิบกระเป๋า จุ้บปากคุมิไปอีกทีนึงแล้วยิ้มหวานให้ก่อนจะเดินไปที่หน้าประตูบ้าน อายากะรออยู่ข้างนอกอยู่แล้ว ที่จริงชิโฮะอยากให้อายากะไปช่วยเลือกของขวัญครบรอบที่คบกับคุมิครบสามปีแล้วต่างหาก

          เวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกิน

          หล่อนคิดขณะทักทายเพื่อนสนิทและพากันเดินไปเรียกรถจะได้นั่งไปห้างใหญ่ๆแถวย่านการค้า ที่นั่นน่าจะมีของให้เลือกเยอะกว่าห้างแถวบ้านของเธอ

          หลังจากวันที่คบกันก็จะสามปีแล้วสินะ

          ระหว่างนั้นก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เป็นเรื่องวุ่นๆภายในบริษัท เดี๋ยวแผนกนู้นก็มีคนย้าย เดี๋ยวแผนกนั้นก็มีคนยื่นเรื่องลาออก กว่าจะจัดการให้ลงตัวได้เหมือนเดิมก็เล่นหลายๆคนหัวหมุนไปตามๆกัน แต่ก็คงไม่เท่าคุณประธานบริษัทซักเท่าไหร่ เห็นหล่อนนั่งทำงานอยู่ในห้องทั้งวันแบบนั้น ที่จริงหัวหมุนยิ่งกว่าพนักงานทุกคนเสียอีก

          แต่เรื่องที่หนักสุดๆที่ชิโฮะมีส่วนร่วมก็คงเป็นเรื่องของชิโอริล่ะมั้ง

          รายนั้นกว่าจะสมหวังก็เกือบๆสี่ปี เพราะไม่ยอมบอกความรู้สึกตัวเองออกไปจนสุดท้ายไซโต้ซังถึงต้องย้ายกลับมาอยู่ด้วยเหมือนเดิม ชิโอริก็โดนคุมิเสี้ยมทุกวันว่าให้ลองบอกตอนหลับสิ แถมดูเหมือนเขาจะทำแบบนั้นจริงๆจนตอนนี้สองคนนั้นก็คบกันเป็นแฟนเรียบร้อยแล้ว

          นับเป็นเรื่องดีๆเรื่องนึงก็คงจะได้

          “ชิโฮะอยากได้ของแบบไหนให้ซาซากิซังหรอ?” เป็นเสียงของอายากะที่เข้ามาฉุดชิโฮะออกจากภวังค์ของตัวเอง หญิงสาวเจ้าของเรือนผมลอนขมวดคิ้วคิดหนัก คิดแล้วคิดอีกจนสุดท้ายก็ตอบออกไป

          “เอาเป็น……”


          16:04 น.

          “กลับมาแล้ว”

          เสียงล้าๆของคาโต้ดังขึ้นที่หน้าประตูบ้าน หล่อนค่อยๆปิดประตูเสียงเบา ในมือหิ้วของพะรุงพะรังไปหมด ตอนแรกเธอคิดว่าจะซื้อแค่ของวันครบรอบ แต่ไปๆมาๆดันได้เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง และอื่นๆอีกมากมายก่ายกองกลับมาด้วย

          “กลับมาแล้วหรอ? แล้วนี่ซื้ออะไรมาเยอะแยะ หืมม?” ถึงปากจะพูดดุแต่มือนี่เข้าไปรับของที่อีกฝ่ายส่งมาให้ช่วยถือแล้ว หน้าตาหล่อนดูเหนื่อยสุดๆเลยด้วย คงปวดไหล่น่าดู

          “ก็นานๆทีจะได้ออกไปช็อปบ้างอะไรบ้าง..มันเลยเผลออะ”

          คุมิได้แต่ส่ายหน้าคล้ายจะเอือม คนตัวสูงรับของทั้งหมดที่ชิโฮะถือมาไว้ในมือ ยกไปเก็บไว้บนห้องนอนให้ วางอย่างระมัดระวังเพราะของบางอย่างจากที่แอบดูแบรนด์แล้วก็ค่อนข้างแพง ถ้าแตกหักหรืออะไรขึ้นมาต้องได้นอนนอกห้องเป็นเดือนแน่ๆ

          “ปวดไหล่มั้ย?” หลังเก็บของเสร็จแล้วซาซากิก็ลงมาข้างล่าง เห็นคนรักกำลังรินน้ำเย็นใส่แก้วอยู่บนโซฟาตัวโปรดเลยถามออกไปก่อนเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วออกแรงนวดไหล่ให้ ชิโฮะพูดขอบคุณเบาๆ เธอนั่งนิ่งให้คุมินวดไหล่อย่างเต็มใจ เพราะอาการเหนื่อยล้าสะสมจากเมื่อเช้า แถมได้พักแค่แปปเดียวก็ต้องออกไปซื้อของอีก ไม่แปลกที่จะเหนื่อยแบบนี้

          “จริงสิชิโฮะ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะบอก”

          “? อะไรหรอ?”

          จู่ๆคุมิก็หยุดมือที่กำลังนวดไหล่ของอีกฝ่ายแล้วย้ายตัวเองลงมานั่งข้างๆเขา ดึงมือนิ่มของชิโฮะมากุมเอาไว้ ตอนนี้เองที่หญิงสาวเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล คุมิจะบอกอะไร? ทำไมถึงต้องทำหน้าแบบนั้น?

          “คือว่านะ..”

          “เราเลิกกันเถอะชิโฮะ”

          ราวกับมีฟ้าผ่าลงที่กลางใจ มือของหล่อนเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ ทำไมถึงต้องเป็นตอนนี้…

          แต่เดี๋ยว วันนี้มันเอพริลฟูลเดย์นี่นา?

          “คุมิ..พูดโกหกแบบนี้ไม่ตลกนะ”

          “…ไม่เคยได้ยินหรอว่าถ้าโกหกในวันเอพริลฟูลหลังเที่ยงแล้วมันจะเป็นจริงน่ะ?”

          “…”

          หล่อนพูดไม่ออก มันจุกไปหมดจนเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง ดวงตาคู่สวยยังมองไปที่คนตรงหน้า อยากให้เขาบอกว่าล้อเล่น ไม่ได้คิดที่จะเลิกจริงจัง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิดให้เขาบอกเลิกแบบนี้ มือที่ถูกมือของเขากุมเอาไว้บีบแน่น

          “ทำไม..” คาโต้พูดเสียงสั่น หล่อนก้มหน้าลง หยดน้ำใสๆที่ไหลออกมาจากดวงตาสีช็อคโกแลตนั่นหยดลงบนหลังมือของคุมิ ชิโฮะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง มืออีกข้างที่ไม่ได้ถูกกุมปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ แต่เช็ดเท่าไหร่ก็เช็ดไม่หมดเสียที หล่อได้แต่คาดโทษตัวเองอยู่ในใจที่มาร้องไห้ต่อหน้าเขาแบบนี้

          “อย่าร้องไห้สิคนดี เงยหน้าขึ้นมาก่อน”

          “ชิโฮะ..”

          เสียงนุ่มของคุมิเรียกพร้อมกับสัมผัสอุ่นๆที่โอบรัดตัวของหญิงสาวเจ้าของบ้าน เธอซบหน้าลงกับบ่าของเขา ให้เสื้อของเขาซับน้ำตา นี่อาจจะเป็นกอดครั้งสุดท้ายระหว่างตัวเธอกับเขาแล้วก็ได้..

          “เลิกร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่สวยหรอก” คุมิพูดที่ข้างหูพลางลูบหลังอีกฝ่ายไปด้วย ริมฝีปากไล่จูบซับน้ำตาบนใบหน้าสวยนั่น แววตาของเขายังคงมีความรักใคร่ผู้หญิงตรงหน้าอยู่เต็มเปี่ยม ใครดูก็รู้ แต่คงไม่มีใครคาดเดาความคิดของคุมิได้ว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่

          “ฟังให้จบนะชิโฮะ” หล่อนผงกหัวเบาๆ นิ่งฟังว่าคุมิจะพูดอะไร

          “เราเลิกกันเถอะ..เลิกเป็นแฟนกัน”

          “แล้วเรามาคบกันใหม่ในฐานะสามีภรรยาดีกว่า”

          “…เอ๊ะ?” นี่เธอฟังไม่ผิดใช่มั้ย…ไม่ผิดแน่ๆใช่มั้ย

          อยู่ๆน้ำตาที่เริ่มหยุดไปแล้วก็กลับมาไหลอีกครั้ง หากแต่คราวนี้มันเป้นน้ำตาแห่งความปิติ ชิโฮะกอดคุณเจ้าของร้านกาแฟแน่นๆ เธอนึกว่าจะต้องจบความสัมพันธ์แสนมีค่าของตัวเองในวันก่อนวันครบรอบเพียงแค่ไม่วันเสียแล้ว

          “คำตอบล่ะ?”

          “…อื้ม”

          เป็นคำตอบสั้นๆง่ายๆ เหมือนกับวันที่หล่อนตกลงคบกับเขา คุมิดันร่างหญิงสาวออกเล็กน้อย แกะมือที่กอดตัวเองออก ตอนแรกเหมือนชิโฮะจะงอแงไม่ยอมปล่อย แต่พอเห็นสิ่งที่คุมิหยิบออกมาสวมเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอก็ยอมแต่โดยดี นั่งเป็นลูกแมวหงอยเงียบๆอยู่บนตักเขา สัมผัสเย็นของเนื้อแหวนบนนิ้วนางทำให้หัวใจของหล่อนพองโตอย่างบอกไม่ถูก

          “หงอยเป็นลูกแมวอีกแล้ว..ขอโทษนะที่ทำให้ร้องไห้”

          “คุมิอยากเซอร์ไพรส์ใช่มั้ยล่ะ..เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก..แล้วก็นะ..”

          “?”

          คนอายุมากกว่าทำหน้าฉงน แต่สัมผัสเย็นที่รอบคอก็เหมือนเป็นคำตอบ สร้อยเงินที่ห้อยจี้อเมทิสต์เอาไว้ถูกสวมใส่โดยคนที่ซื้อมันมา หล่อนดูพอใจกับมันมาก คิดไว้ไม่ผิดว่ามันคงเข้ากับคุมิ

          “สร้อยคู่น่ะ ที่จริงกะจะให้วันครบรอบ แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว..ให้เลยแล้วกัน”

          “ซื้อมาวันนี้หรอ?”

          “อื้อ..”

          ออฟฟิศเลดี้คนสวยก้มหน้างุดกับบ่าของเขาเขินๆ ยกแขนขึ้นโอบกอดร่างสูงเหมือนเมื่อครู่ หล่อนชอบกอดเขา มันอบอุ่น เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ค่อยถูกเท่าไหร่นัก คงจะเหมือนที่เขาชอบจูบเธอบ่อยๆเหมือนกัน

          “คุมิ”

          “ว่าไง?”

          “รักนะ”

          “รักเหมือนกัน”