The Broken Prophecy

The Broken Prophecy : 02

02 : First day

various pairings

CvQ4sknXYAAnXBj


          เสียงพูดคุยดังระงมไปทั่วพื้นที่ของลานน้ำพุ วันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนแรกของพวกปีหนึ่ง เจ้าพวกลูกหมาลูกแมวเลยต้องตื่นเช้ามาออกันที่หน้าลานตามปรกาศที่ถูกส่งไปให้ทุกห้องพักที่มีปีหนึ่งอยู่ จากที่กว้างๆพอมีพวกปีหนึ่งเข้ามาอยู่ก็ดูแคบลงไปถนัดตา ยังไม่นับรวมพวกปีสองถึงปีหกที่โดนเกณฑ์มาช่วยงาน หนึ่งในนั้นก็มีคุมิอยู่ด้วย

          “คึกคักมากกว่าทุกปีแหะ..” เสียงพูดคุยกังขึ้นจากทางด้านหลัง ซาซากิเอี้ยวตัวหันไปมอง เห็นเป็นรุ่นพี่ปีสี่ที่หล่อนสนิทด้วยกำลังยืนคุยกันอยู่ถึงได้ขยับย้ายตัวเองเข้าไปสุมหัวด้วย แต่แน่นอน มีคุมิก็ต้องมีมาโอะติดสอยห้อยตามมาด้วย ไม่รู้ทำไมแต่มาโอะชอบทำตัวติดกับคุมิแทบเป็นเงาตามตัวตั้งแต่ตอนปีหนึ่งแล้ว

          “ริสะก็คิดเหมือนกันหรอ?”

          “อื๋อ? คุมิเองหรอ ตอนเตรียมงานหายไปเลยนะ”

          ‘วาานาเบะ ริสะ’แคไนน์ปีสี่ หล่อนเป็นหญิงสาวร่างโปร่ง สูงราวๆร้อยหกสิบกว่าๆ ผมสั้นสีดำเหลือบน้ำตาลเล็กน้อยยาวประบ่า หางตาตกแต่กลับดูดุอย่างน่าประหลาด อาจเพราะเจ้าตัวมักเผลอกดหัวคิ้วลงบ่อยๆ ข้างกายเป็นหญิงสาวที่สูงกว่านิดหน่อย ผมของหล่อนสั้นกว่าของวาตานาเบะไม่มาก ที่แตกต่างคือสีผมที่ออกเป็นสีน้ำตาลอย่างชัดเจน ‘ชิดะ มานากะ’ยืนกอดอกหยักหน้าเห็นด้วย หล่อนเป็นฟีไลน์ อยู่ปีสี่เหมือนกับริสะ

          “ก็มิเรย์ไม่ยอมตื่น ต้องให้ชิโฮะมาช่วยงัดออกจากที่นอนนี่นา” คุมิหัวเราะแห้งๆ

          “ชิโฮะ?”

          “อ้อ เด็กปีหนึ่งที่ฉันโดนอาจารย์โยนมาให้ดูแลน่ะ” คุมิตอบ ตาเหลือบไปมองเด็กสาวเรือนผมสีช็อคโกแลตที่เพิ่งเดินผ่านไปหมาดๆ เผลอมองนานไปหน่อยจนอิกุจิต้องสะกิดให้หันกลับมาด้วยท่าทีเคืองๆ

          “สนใจหรอ?” อิกุจิถาม “เด็กคนนั้นน่ะ”

          “ก็นิดหน่อย กระแสพลังของเธอไม่เหมือนฟีไลน์ทั่วไปน่ะ” ประโยคนี้ทำให้คนทั้งกลุ่มหันกลับมามองที่คุมิเป็นตาเดียว ชิดะเลิกคิ้ว ขยับตัวเข้ามาสุมหัวใกล้ๆ พ่วงมาด้วย ‘ฮิราเตะ ยูรินะ’ แคไนน์ปีสองที่เกาะหลังวาตานาเบะอยู่ เธอชะโงกหน้าออกมาเอาคางเกยไหล่ริสะที่ตัวเตี้ยกว่าเพียงนิดเดียว แขนขยับเลื่อนเข้ามากอดเอวคนอายุมากกว่าเอาไว้อย่างออดอ้อน

          “อะไรๆ มีฟีไลน์แปลกๆโผล่มาหรอ?” เด็กน้อยถามอย่างกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็นไปหมด

          “เทะจิ มายืนคุยดีๆสิ เกาะเอวแบบนี้มันยืนลำบาก” วาตานาเบะออกเสียงดุ พยายามแกะมือซนๆของฮิราเตะออกแต่เจ้าลูกหมาไม่ยอมปล่อย กลับกอดแน่นกว่าเดิมจนริสะยอมแพ้และให้กอดเอวต่อ “ฉันได้ยินพวกอาจารย์คุยกันว่าปีนี้จะมีชาวแคไลน์ที่เป็นเชื้อสายของท่านผู้ก่อตั้งเซลโความาเข้าเรียน ไม่รู้ว่าจริงมั้ย อาจจะเป็นเด็กคนนั้นก็ได้”

          “น่าสนใจแหะ” มานากะพูด “ว่าแต่วันนี้จัดห้องพักใหม่ใช่มั้ย คงยังไม่เริ่มเรียนสินะ”

          พูดถึงตรงนี้แล้วคุมิก็เพิ่งจะนึกได้ เมื่อเช้ามาโอะมีสีหน้าไม่ค่อยดี เหมือนหล่อนจะไม่อยากย้ายห้องเท่าไหร่ อาจจะเพราะอยู่ด้วยกันแบบนี้มาสองปีกว่าๆจนสนิทกันแล้ว คงไม่อยากแยกไปนอนกับคนอื่น

          “มาโอะ” หล่อนเอ่ยปากเรียกคนที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ “เป็นอะไรไป?”

          “เปล่า” อีกฝ่ายส่ายหน้าเบาๆ แต่ก่อนที่อิกุจิจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ก็มีเสียงประกาศให้พวกปีหนึ่งทยอยเดินเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่สุดเพื่อเข้าพิธีปฐมนิเทศเสียก่อน พร้อมๆกับประกาศให้พวกปีสองถึงปีหกเข้าแยกไปจับฉลากย้ายห้องที่หอพักฟีไลน์

          “ไปกันเถอะ ฟูจังคงไปรอแล้วมั้ง”

          ได้ยินชื่อ ‘ฟูจัง’ ที่ว่าแล้วซาซากิก็แอบขนลุก หล่อนเข้าหน้ากับ‘ไซโต้ ฟุยุกะ’ไม่ค่อยติดเท่าไหร่ เหมือนรุ่นพี่คนนี้จะมีอารมณ์ไม่แน่ไม่นอนนัก ถ้าเข้าไปคุยไม่ถูกเวลาจะโดนเหวี่ยงได้ง่ายๆ

          “ริสะ เดี๋ยวฉันกับมาโอะตามไปทีหลัง..”

          “อ้อ โอเค ไว้เจอกัน”


          หลังจับฉลากแล้วคุมิกับมาโอะก็แยกย้ายกันลากกระเป๋าไปหาห้องพักใหม่ ตอนแรกมาโอะมีท่าทีงอแง หล่อนไม่อยากไป แต่สุดท้ายก็ยอมไปอยู่ดีเพราะคุมิบอกว่านานๆทีมานอนด้วยก็ได้ อาจารย์คงไม่ว่าอะไร

          “ตอนนี้พวกปีหนึ่งคงปฐมนิเทศเสร็จแล้วล่ะมั้ง..” หล่อนพึมพำ มองกระดาษที่ถูกเขียนเป็นเลขห้องเอาไป ‘F207’ ตึกฟีไลน์ชั้นสองห้องเจ็ด

          ใช้เวลาไม่นานซาซากิก็มาหยุดอยู่หน้าห้องที่ตัวเองจับฉลากได้ ประสาทสัมผัสที่ดีกว่าคนทั่วไปทำให้ได้กลิ่นของพวกฟีไลน์ชัดเจน หล่อนย่นจมูก กลิ่นของพวกแมวเป็นอะไรที่คุมิไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ยกเว้นก็แต่ของชิโฮะ เวลาอยู่ใกล้ๆเด็กคนนั้นแล้วรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มันผ่อนคลาย ถึงเจ้าตัวจะค่อนข้างเอาแต่ใจก็เถอะ

          ‘ถ้าได้อยู่ห้องเดียวกันก็ดีสิน้า..’

          หล่อนจับลูกบิดประตูก่อนจะพบว่ามันไม่ได้ล็อก รูมเมทของเธอคงมาถึงก่อนแล้ว ใจเต้นตึกตักว่าจะเป็นใคร ถ้าได้อยู่กับคนรู้จักก็ดี แต่ถ้าได้อยู่กับคนที่ไม่สนิทคงต้องทำความรู้จักกันอีกยาว ยังไงตั้งแต่ตอนนี้ก็ต้องอยู่ห้องนี้ถาวรยันจบจากเซลโควาอยู่แล้ว

ซาซากิเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือเรือนสีช็อคโกแลตผมยาวเป็นลอนคุ้นตานั่นทำให้คุมิเลิกคิ้วขึ้น ยิ่งพออีกฝ่ายหันกลับมามองด้วยสีหน้าไม่ต่างกันก็ยิ่งเหมือนตอกย้ำว่าพวกเธอสองคนได้อยู่ห้องเดียวกันจริงๆ ลาบราดอร์ก้าวเข้ามาในห้อง ปิดประตูลงอย่างแผ่วเบาพร้อมกับคำทักทายที่ถูกส่งให้เด็กสาว

          “ไง ยัยเหมียว” หล่อนวางประเป๋าล้อลากไว้ตรงหน้าห้องแล้วกระโดดไปตะครุบคาโต้ที่นั่งอยู่บนเตียง อยากจะฟัดให้หายอยาก แต่เมนคูนออกอาการดิ้นไม่ยอมให้กอดเสียแล้ว “อย่าดิ้นสิ ตอนเป็นแมวยังยอมให้กอดอยู่เลย”

          “ยุ่ง!”

          “ไม่ยุ่งได้ไง พี่เป็นเจ้าของเธอนะ”

          คุมิขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้บวกหมั่นเขี้ยวไปด้วย แขนดึงรั้งร่างของอดีตก้อนขนสีเทาขึ้นมานั่งบนตัก กอดเอวไว้ไม่ให้หนี เรื่องจัดห้องเอาไว้ทีหลังเพราะยังมีเวลาอีกทั้งวัน วันนี้ไม่มีเรียนอยู่แล้ว กว่าจะเริ่มเรียนก็ตั้งพรุ่งนี้ไม่ก็มะรืน วันนี้ขอจัดการยัยเหมียวที่ไปอารมณ์เสียใส่มิเรย์ก่อนแล้วกัน

          “อดีตต่างหาก ตอนนี้เราเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันไม่ใช่หรอ?” เมนคูนถาม เสียงขู่ฟ่อๆดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ ตอนนี้หล่อนนั่งคร่อมอยู่บนตักของคนมีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ มือดันไหล่เขาเอาไว้จะได้ไม่โดนดึงเข้าไปฟัด “เดี๋ยวรุ่นพี่อิกุจิก็ว่าหรอกมาทำแบบนี้กับคนอื่น”

          หญิงสาวเลิกขึ้นขึ้น เริ่มคลายแขนที่กอดเอวเด็กสาวเอาไว้ “เกี่ยวอะไรกับมาโอะ?”

          “อ้าว พวกพี่ไม่ได้เป็นแฟนกันหรอกหรอ? เห็นตัวติดกันขนาดนั้น”

          ได้ยินแค่นั้นคุมิก็กลั้นขำแทบไม่ทัน เธอกระชับวงแขนดึงตัวชิโฮะเข้ามากอดแน่นๆ จมูกคลอเคลียไล้ไปตามผิวแก้มของเด็กสาวตามประสาลาบราดอร์ขี้อ้อนก่อนจะผละออกมามองหน้าคนที่เหมือนจะตัวแข็งทื่อไปแล้ว สงสัยว่าพวกฟีไลน์จะไม่ค่อยชินกับอะไรแบบนี้เท่าไหร่

          “พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับมาโอะซักหน่อย” พูดพลางลูบหัวคนอายุน้อยกว่าเบาๆ ก้มลงจนหน้าผากแนบชิดกันก่อนที่เจ้าลาบราดอร์จะขโมยหอมแก้มยัยเหมียวไป

          “นี่!” คาโต้โวยวาย หน้าขึ้นสี เล็บยาวๆตั้งใจจะฝากรอยแผลไว้บนหน้ารุ่นพี่ของหล่อนซักสองสามรอย แต่ไม่ทันเพราะเขาดันดักทางด้วยการจับข้อมือของเธอเสียก่อน เมนคูนขู่ฟ่อเบาๆด้วยความไม่พอใจ ซาซากิเลยจัดการดันไหล่รุ่นน้องคนสวยให้หล่อนลงไปนอนราบกับเตียงนุ่ม เด็กสาวออกอาการขัดขืน แต่มีหรือแมวจะสู้แรงของหมาได้ ซาซากิกดข้อมือข้างที่ตัวเองจับเอาไว้ลงกับเตียงกันอีกฝ่ายหนี

          “พี่คุมิ!”

          แต่โวยวายไปก็เท่านั้นแหละ

          ฝ่ายแคไนน์ขี้แกล้งก็เพิ่งจะได้มีเวลาพินิจมองหน้าเด็กสาวชัดๆ เวลาปกติเธอมากจะเห็นชิโฮะอยู่ในร่างแมว ถึงแม้บางเวลาจะคุยกันในร่างคนบ้างแต่ก็นับครั้งได้ นี่เป็นครั้งแรกที่คุมิสามารถพูดชมได้เต็มปากว่าชิโฮะเป็นคนที่สวย.. ดวงตากลมโตสีเปลือกไม้ คิ้วเรียวที่ถึงแม้ตอนนี้จะขมวดอยู่ก็ดูสวย ริมฝีปากอิ่มที่เม้มเข้าหากัน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนที่มิเรย์เห็นร่างคนของชิโฮะถึงมองตาค้างแบบนั้น

          “ปล่อยได้แล้ว” หล่อนว่าแบบนั้น

          “ไม่ปล่อย”

          “ถ้าคนอื่นมาเห็นจะมันจะดูไม่ดีนะคะ”

          คาโต้ช้อนตาขึ้นมอง มือข้างที่ไม่ได้ถูกกดเอาไว้ออกแรงดันไหล่เขาออก หล่อนเผลอร้อง ‘เมี้ยว’ ออกมาเบาๆอย่างลืมตัว ซาซากิแทบห้ามตัวเองไม่ไหว เด็กนี่อันตรายเกินไปแล้ว บางทีถ้าอยู่กับยัยเหมียวตัวนี้ไปนานๆเธออาจจะเผลอไผลทำอะไรไม่ดีลงไปแน่ๆ

          “ช่างคนอื่นเขาสิ”

          เจ้าหูตูบพูด

          ก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงไปยังหน้าผากของอีกคนอย่างแผ่วเบา

          .

          .

          .

          .

          .

          “C302งั้นหรอ…” เสียงพึมพำจากซาซากิคนน้องดังงึมงำท่ามกลางทางเดินที่มีผู้คนเดินขวักไขว่หาห้องที่ตัวเองจัดฉลากได้กันให้วุ่น บางห้องที่มิเรย์เดินผ่านก็ได้ยินเสียงขู่ฟ่อดังออกมา คาดว่าคงเป็นฟีไลน์ที่ได้อยู่กับแคไนน์ที่ตัวเองไม่ชอบหน้าเป็นแน่ พี่สาวของหล่อนบอกว่าฟีไลน์กับแคไนน์บางพวกก็อยู่ด้วยกันได้ แต่บางพวกก็กัดกันยิ่งกว่าอะไรดี

เด็กสาวผมสั้นประบ่ามาหยุดเดินที่หน้าห้อง C302 นี่เอง ตอนจับฉลากเขาให้กุญแจมาด้วย ลองบิดลูกบิดประตูดูแล้วห้องก็ล็อค รูมเมทของเธอคงยังมาไม่ถึงห้อง มิเรย์เลยจัดการไขกุญแจเข้าห้องไปเก็บของอะไรให้เรียบร้อยเสียก่อน หวังว่ารูมเมทของเธอจะไม่เป็นน้องแมวนะ…

          แอ๊ดดด…

          เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนที่มิเรย์จะได้ล้มตัวลงนอนบนเตียงที่ถูกจัดแยกกันเอาไว้ หล่อนเลือกเตียงฝั่งที่ติดผนังใกล้หน้าต่าง เพราะตอนอยู่กับคุมิเตียงของเธอก็อยู่ตรงนี้ มันมองเห็นท้องฟ้าตอนกลางคืนได้ชัด ท้องฟ้าของมิตินี้ไม่เหมือนกับที่เธอจากมา ดวงดาวของที่นี่สว่างและมีมากกว่า มิเรย์ชอบนั่งมองมันตอนรอคิวอาบน้ำ

เบื้องหลังบานประตูเป็นเด็กสาวที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับมิเรย์ หล่อนชะโงกหน้าเข้ามาดูว่าภายในห้องมีคนอยู่มั้ย กวาดตาไปทั่วทั้งห้องก่อนจะมาสะดุดที่เด็กสาวผมสั้น พอเห็นว่ามีคนมาก่อนแล้วถึงได้เข้ามา

          “เอ่อ..สวัสดีค่ะ” ฮัสกี้เป็นคนเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นก่อน

          “อยู่ปีหนึ่งหรอ?” เด็กสาวอีกคนถาม นั่งลงบนเตียงที่อยู่ตรงข้ามกับของมิเรย์ ตาของหล่อนใสแจ๋ว มิเรย์เผลอมองอย่างลืมตัวจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยทัก “นี่? เป็นอะไรหรือเปล่า? เห็นเหม่อๆนะ?”

          กว่ามิเรย์จะรู้ตัวเด็กสาวอีกคนก็เข้ามาประชิด มือนิ่มของหล่อนแตะแก้มของคนตัวสูงกว่าเบาๆแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ซาซากิคนน้องลอบสังเกตรูมเมทของตัวเองที่หล่อนยังไม่รู้แม่แต่ชื่อ ท่าทางแบบนี้คงเป็นแคไนน์..

          “ค่ะ ซาซากิ มิเรย์ แคไนน์ปีหนึ่ง” เธอยิ้มตาหยีให้อีกคน ฝ่ายนั้นก็เหมือนจะออกอาการดีใจ หล่อนปราดเข้ามาเกาะแขนมิเรย์ พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเป็นมิตร

          “แคไนน์เหมือนกันเลย! เราอุชิโอะ ซารินะ ปีสองนะ!” ยิ้มกว้างถูกส่งมาให้เจ้าฮัสกี้ “เรียกซารินะเฉยๆก็ได้”

          “งั้นก็เรียกทางนี้ว่ามิเรย์เฉยๆก็ได้เหมือนกันนะ”

          เหมือนทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จแล้วซารินะก็ลุกไปจัดของ ระหว่างนั้นทั้งสองคนก็มีคุยกันบ้างประปราย ซารินะบอกว่าร่างแคไนน์ของหล่อนเป็นหมาปอม ตัวเล็กสู้ใครเขาไม่ค่อยได้

          “มิเรย์นี่มีพี่สาวรึเปล่า? ซาซากิ นามสกุลเหมือนรุ่นพี่ซาซากิปีสามเลย”

          “พี่คุมิ? อื้อ นั่นพี่สาวเราเอง”

          “เหหห.. ว่าแต่ร่างแคไนน์ของมิเรย์คืออะไรล่ะ? รุ่นพี่ซาซากิเขาเป็นลาบราดอร์นี่?”

          “ฮัสกี้อะ” พูดไปก็ยู่หน้าไป ฮัสกี้น่ะ จะว่าเท่มันก็เท่หรอก แต่บางทีมันก็ทำตัวติ๊งต๊อง หล่อนเห็นผ่านพวกโซเชี่ยลที่เคยใช้

          “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ หื้มม?”

          หลังซารินะจัดของเสร็จก็มานั่งเล่นกับรูมเมทของเธอต่อ หล่อนตัวเตี้ยกว่ามิเรย์อยู่ห้าไม่ก็หกเซ็นฯเห็นจะได้ เวลานั่งอุชิโอะเลยเริ่มที่จะเอาหัวพิงไหล่คนตัวสูงกว่าเพราะความต่างของส่วนสูง มิเรย์เหลือบตาลงมอง พอดีกับที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา ตาของทั้งคู่เลยสบกันพอดี

          “ออกไปเดินเล่นกันมั้ย?” คนอายุมากกว่าถาม

          “อื้อ”


“ดีจังน้าที่ได้อยู่หอเดียวกัน แถมห้องติดกันอีก” เสียงเจ้าลูกหมาพูดขึ้น จนตอนนี้ก็ยังไม่เลิกวุ่นวายเกาะแกะอยู่ใกล้ๆตัววาตานาเบะตลอด เดี๋ยวเกาะแขนเดี๋ยวเกาะไหล่ พอริสะออกปากไล่ย้ำๆถึงได้งอนสะบัดตูดหนีไปเกาะแขนกับรูมเมทคนปัจจุบัน หล่อนได้อยู่ห้องเดียวกันกับ ‘นากาฮามะ เนรุ’ ฟีไลน์ปีสี่ เพื่อนสนิทอีกหนึ่งคนของชิดะและวาตานาเบะ รุ่นพี่คนนี้เป็นสวฮอตในหมู่นักศึกษาที่นี่เสียด้วย ร่างฟีไลน์ของหล่อนเป็นเทอร์คิชแองโกราขนสีขาวสะอาด ตาสีฟ้าใสราวกับลาพิสที่ยามจ้องมองแล้วเหมือนถูกสะกด

          “ที่จริงเทะจิอยากนอนห้องเดียวกับริสะมากกว่าล่ะสิ” นากาฮามะพูด

          “…เปล่าซักหน่อย”

          ฮิราเตะอยู่ห้อง C201 กับนากาฮามะ ส่วนชิดะและวาตานาเบะอยู่ห้อง C202 ระหว่างที่ทั้งสี่คนเดินหอบข้าวหอบของไปเก็บที่ห้องก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากห้องชั้นล่าง ชั้นหนึ่งนอกจากจะมีห้องนั่งเล่นแล้วถ้าเดินทะลุเข้าไปจะมีห้องพักอยู่อีกประมาณสิบห้อง พวกเธอคิดว่าคงเป็นฟุยุกะกับ ‘ซาโต้ ชิโอะริ’ที่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะนอนตรงไหน

 

          “ชี่จัง ตกลงจะนอนตรงไหน” เสียงนุ่มๆดังออกมาจากหญิงสาวที่มัดผมรวบเอาไว้ตรงท้ายทอย หล่อนยืนกอดอกมองแคไนน์ปีสี่ตรงหน้าที่ทำหน้ายู่ ไม่ยอมบอกซักทีว่าจะนอนตรงไหน

          “ก็มันเลือกไม่ได้นี่นา งั้นฟูยังดันเตียงมาติดกับเตียงฉันมั้ยล่ะ?” ในที่สุดซาโต้ก็ยอมหันมาสบตา กว่าจะตัดสินใจได้ก็เล่นซะนานจนฟุยุกะเบื่อ อยากจัดของแล้วนอนเต็มที วันนี้ก็ตื่นเช้าแล้วยังต้องมาทะเลาะกับชิโอริเรื่องที่นอนอีก

          ฟุยุกะและชิโอริรู้จักกันมาก่อนที่จะเข้าเรียนที่นี่ พวกหล่อนสนิทกันมาก สนิทกันจนคิดเกินเลยมากกว่าเพื่อน และตอนนี้ก็อยู่ในสถานะ‘คนรัก’ มีแค่คนส่วนน้อยที่รู้ว่าพวกหล่อนคบกัน แน่นอนว่าต้องมีพวกริสะรวมอยู่ด้วย พวกเธอไม่ได้อยากเปิดเผยให้คนอื่นรู้ คบกันเงียบๆ ใช้ชีวิตสงบๆไม่หวือหวาเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเธอสองคน ถึงจะมีบางทีที่ชิโอริไม่ค่อยชอบใจเวลาฟุยุกะไปเล่นกับเนรุก็เถอะ

          “คิดแบบนี้แต่แรกก็จบแล้ว มาช่วยดันเตียงหน่อยสิ” ไซโต้พูด ออกจะเป็นเชิงสั่งเสียมากกว่า

          “ค่าๆ”

          ชิโอริอยู่ปีห้าและเป็นแคไนน์พันธุ์คอลลี่ หล่อนถึงได้มีนิสัยขี้เหงาขี้นอยด์เวลาฟุยุกะไม่สนใจหรือโดนดุ บางทีก็มักจะไปหมกตัวอยู่คนเดียวที่ห้องศิลปะของเซลโควาถ้าไม่โดนตามเจอเสียก่อน ส่วนฟุยุกะ หล่อนอยู่ปีสี่ เป็นฟีไลน์พันธุ์นอร์เวเจียนฟอเรสต์ เพราะมีเชื้อสายสัตว์ป่าอยู่ไม่น้อยทำให้หล่อนมีนิสัยดุๆ บางทีก็อารมณ์ร้ายจนชิโอริปรับอารมณ์ไม่ทัน ถึงได้ทำตัวเป็นหมาหงอยๆยอมโดนดุแต่โดยดี

          “ฟูจังง..” ซาโต้พูดเบาๆ นั่งลงปลายเตียงที่ถูกดันเข้ามาติดกัน หล่อนดึงข้อมือของฟุยุกะจนอีกฝ่ายเซแล้วก็ยอมนั่งลงบนตักของคอลลี่ขี้เหงา เธอมองหน้าซาโต้ หางตาตกๆทำให้ดูเหมือนชิโอริจะเศร้าอยู่ตลอดเวลาๆหากหล่อนไม่ยิ้ม

          “ว่าไง? วันนี้อ้อนเชียวนะ” ฝ่ายแมวขี้ดุก็ก้มลงมอง มือแตะที่แก้มอีกฝ่ายก่อนจะก้มลงมอบจุมพิตที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา

          “ทำไมช่วงนี้ไปเล่นกับเนรุบ่อยจัง” แคไนน์ว่า “หรือเบื่อฉันแล้ว?”

          ฟุยุกะเลิกคิ้ว หล่อนลูบเรือนผมของคนอายุมากกว่าเบาๆก่อนขยับตัวลงจากตักของชิโอริ ล้มตัวลงนอนบนเตียงแถมดึงเจ้าคอลลี่ลงมานอนด้วยกัน “ทำไมคิดแบบนั้น?”

          “ฟูจังไปเล่นกับเนรุบ่อย”

          “คิดมาก”

          ไซโต้จัดการดึงรั้งหน้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้อีกรอบ คราวนี้จูบลงที่แก้ม ถึงหล่อนจะชอบดุชิโอริบ้างแต่ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดที่ดุเหวี่ยงตลอดเวลา พอได้อยู่ด้วยกันสงคนก็มักจะเป็นแบบนี้ ชิโอรินอกจากจะขี้เหงาขี้นอยแล้วยังชอบอ้อนในบางเวลา ตรงนี้เป็นนิสัยที่ฟุยุกะชอบ ถ้าไม่โกรธหรือทะเลาะกันแรงๆชิโอริจะไม่ค่อยอยู่ห่างจากเธอเท่าไหร่ ไปไหนก็ไปด้วยกัน แต่เมื่อก่อนพวกเธอไม่ได้อยู่ห้องพักเดียวกัน มาคราวนี้หวยล็อกถึงได้อยู่ด้วยกันแบบนี้

          “ใครคิดมาก..นี่ ไม่ต้องมาจุ๊บทำเป็นเปลี่ยนเรื่องเลย”

          “ก็ได้ๆ แค่เล่นกันเฉยๆเอง.. ยังไงฉันก็รักชี่จังที่สุดนั่นแหละ”

          “ก็เห็นพูดแบบนี้ทุกรอบ”

          แต่วันนี้ชิโอริดูช่างต่อล้อต่อเถียงเป็นพิเศษ

          สงสัยจะหึงจริงๆ

          “งั้นจะให้ทำยังไงล่ะ?”

          เจ้าคอลลี่ขยับไปกระซิบที่ข้างหูอีกฝ่ายทันทีแต่คำขอที่ไม่มีใครได้ยินนอกจากฟุยุกะ ก็แลกมาด้วยแรงตีหนักๆที่หลังจนคนขอเผลอร้องโอดโอยเบาๆ

 

          “…ก็ได้”

          สุดท้ายแล้วนอร์เวเจียนฟอเรสต์ก็ยอมแต่โดยดี

ใส่ความเห็น