Fiction

No Choice (M.A.R.Y.) : 02

– 02 : Break up –

Manaka S. x Akane M. x Risa W. x Yuuka S.

ปกฟิค2


          “คุณพ่อหมายความว่าไงคะ จะให้หนูแต่งงาน!?” เสียงแหลมๆของโมริยะดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกระแทกมือลงบนโต๊ะดังปัง! ใบหน้าของหล่อนตอนนี้ไม่สบอารมณ์อย่างมาก

          “ใช่ ตอนนี้ลูกก็โตแล้ว ลูกควรจะแต่งงานแต่งการตามที่พ่อกับแม่ตกลงกันได้แล้ว” ชายสูงวัยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานของเขาหมุนเก้าอี้หันมามองหน้าลูกสาวของตัวเอง ใบหน้าเคร่งเครียดไม่ได้ต่างไปจากอากาเนะเลยซักนิดในตอนนี้

          “ตกลงกัน? ตอนไหนคะ หนูไม่รู้เรื่องด้วยนะคะ”

          “ไม่รู้ล่ะ ยังไงลูกก็ต้องแต่งงาน พ่อรับปากนายท่านแล้ว ลูกต้องแต่งงานกับลูกสาวเค้า”

          “แต่หนู…”

          “ไม่มีแต่ ลูกก็รู้นี่ว่าพ่อผิดคำพูดที่เคยให้ไว้กับคุณท่านสุไกไม่ได้”

          “หนูรู้ค่ะ แต่หนูไม่ได้รักลูกสาวเค้า ที่สำคัญหนูมีแฟนแล้ว”

          “ลูกมีแฟนแล้ว!!!” โมริยะคนพ่อแทบลมจับ อย่าบอกว่าที่หายไปค้างบ้านเพื่อนนี่ก็คือไปค้างบ้านแฟนสินะ..

          “ใช่ค่ะ…” อากาเนะตอบพ่อของเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

          “ตอนไหน! ลูกไปทันมีแฟนตอนไหน! มันเป็นใคร!?”

          “มานากะ…”

          “อะไรนะ!!!?”

          “หนูคบกับมานากะค่ะ”

          “พ่อก็นึกว่าพวกลูกเป็นเพื่อนสนิทกันซะอีก…”

          “หนูขอโทษที่ปิดบังค่ะ…”

          “…….” ผู้เป็นพ่อเงียบไปครู่หนึ่ง

          “ลูกควรจะบอกพ่อเรื่องนี้ โถ่ อากาเนะ ทำไมถึงไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญแบบนี้กับพ่อ” ฝ่ายคุณพ่อรู้สึกลำบากใจทันทีที่ทราบว่าลูกสาวของเขามีคนรักอยู่แล้ว เขาไม่น่ารับปากเจ้านายเรื่องที่จะให้ลูกของตนแต่งงานกับลูกของเขาเลย เขาทราบมาตลอดว่าลูกของเขาชอบผู้หญิง แต่ไม่คิดว่าลูกจะมีคนรักอยู่แล้วแบบนี้

          ถ้ารู้ พ่อคงเลือกที่จะไม่ตอบตกลงไปแบบนั้นหรอก พ่อขอโทษนะ

          “หนะ หนูขอโทษจริงๆค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าบังคับหนูแต่งงานกับคนที่หนูไม่ได้รักเลยนะคะ”

          “อากาเนะ…คือ…พ่อ…” เขาพูดอย่างลำบากใจ ไม่อยากบังคับ แต่ในเมื่อเขาเคยพูดกับคุณท่านสุไกไปแล้ว แถมอีกฝ่ายก็ตกลง เรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ตระกูลโมริยะรับใช้ตระกูลสุไกมาหลายชั่วอายุคนแล้ว หากผิดคำพูดก็เหมือนเป็นการเณรคุณตระกุลสุไกที่คอยดูแลเกื้อกูลตระกูลโมริยะด้วยเช่นกัน

          “พ่อคงทำแบบนั้นไม่ได้…”

          “พ่อคะ!!” คราวนี้โมริยะคนลูกเริ่มปวดหัวตุบๆ กำลังมีความสุขกับแฟนสุดที่รัก อยู่ดีๆก็โดนพ่อเรียกตัวกลับมาบ้านกระทันหัน ทีแรกเธอคิดว่าเป็นเรื่องงาน พ่อคงมีเรื่องไหว้วานให้เธอทำแทน แต่เปล่า พ่อกลับบอกให้เธอไปแต่งงานกับคุณหนูตระกูลสุไก

          “พ่อจะให้เวลาลูกสามวัน ไปบอกเลิกหนูมานากะซะ”

          “!!!!!!!” หล่อนเข่าอ่อน ทรุดลงไปนั่งกับพื้น ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาแทบจะทันที

          “อากาเนะ! โถ่คุณ ให้เวลาลูกอีกหน่อยไม่ได้เหรอคะ” หญิงสาววัยกลางคืนที่เดินถือถาดน้ำชาเข้ามารีบวางมันลง ปรี่เข้าไปประคองลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน ปากก็พูดพร่ำกับสามีของตัวเอง

          อากาเนะยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกลวกๆ หล่อนค่อยๆลุกขึ้นตามแรงพยุงของผู้เป็นมารดา พูดขอบคุณเธอเบาๆก่อนที่จะผละออก วิ่งหนีไปแทบจะทันทีที่กลับมายืนได้

          “ไม่ได้หรอกคุณ ผมตอบตกลงกับนายท่านไปแล้ว การจะแต่งงานจะถูกจัดขึ้นภายในอีกสามเดือนข้างหน้านี้ เพราะฉะนั้นก่อนจะถึงเวลานั้น ลูกควรทำความรู้จักกับคุณหนูยูกะก่อน..”

          “แต่ว่า… ดูสิ ลูกวิ่งหนีแล้ว ฉันสงสารลูก”

          “ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ อากาเนะ พ่อขอโทษ…”


          “ท่านพ่อเรียกหนูมามีอะไรเหรอคะ?”

          “อืม… ยูกะ พ่อก็เห็นว่าลูกโตแล้วนะ พ่อกับแม่ก็แก่แล้ว น่าจะถึงเวลาที่ลูกจะขึ้นเป็นผู้บริหารบริษัทเต็มตัวได้แล้ว”

          “เอ๋!? แต่หนู…” หนูยังไม่พร้อม..

          “มีอะไรเหรอ”

          “ปะ เปล่าค่ะ”

          “ลูกทำได้อยู่แล้วจ่ะ แม่เชื่อมั่นในตัวลูกนะ”

          “เอ่อ แค่เรื่องนี้เหรอคะที่ท่านพ่ออยากแจ้งให้หนูทราบ” ถ้าจะบอกว่าให้เธอเข้ารับตำแหน่งประธานบริษัทเรื่องนั้นไม่เห็นจะต้องเรียกเธอเข้าพบเลยนี่นา ให้คุณเซบาสเตียนเข้ามาบอกก็ได้.. ทำไมรู้สึกว่าต้องมีเรื่องอะไรมากกว่านั้น ทั้งท่านพ่อกับท่านแม่ก็นั่งทำท่าทางเหมือนจะกดดันอยู่ด้วย รวมถึงห้ามคุณเซบาสเตียนและทุกๆคนเข้ามารบกวนในเวลานี้..ถ้าเธอเดาไม่ผิด จุดประสงค์จริงๆของพวกท่านน่าจะเป็น.. อย่างอื่น?

          แล้วคืออะไรล่ะ เรื่องอะไรที่สำคัญจนแม้แต่คุณเซบาสเบียนที่เป็นพ่อบ้านคนสนิทก็ถูกห้ามไม่ให้เข้ามายุ่ง

          “ยูกะ”

          “……..” คุณท่านสุไกเว้นระยะไปชั่วครู่ ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ มีสายตาให้กำลังใจจากภรรยาที่รักส่งมาอยู่เนืองๆ

          “……..”

          “ลูกฟังอยู่รึเปล่า”

          “ยูกะ ยูกะ”

          “คะ!?…”

          “ลูกเป็นอะไรรึเปล่า ไม่สบายรึเปล่าคะ หนูทำงานหนักจนลืมดูแลสุขภาพรึเปล่าคะ?”

          “เอ่อ เปล่าค่ะ ขอโทษที่เหม่อค่ะ หนูมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยค่ะ” ที่จริงคือยังเพลียไม่หายจากเมื่อวานต่างหาก..ขอโทษนะคะท่านพ่อท่านแม่ที่หนูต้องโกหก

          “งั้นเหรอคะ แม่เป็นห่วงกลัวหนูจะป่วยนะคะ อย่าหักโหมนะคะ”

          “เอ่อ ค่ะ…”

          “เชิญท่านพ่อพูดต่อเถอะค่ะ หนูฟังอยู่”

          “อืม คือ…พ่อกับแม่อยากให้ลูกแต่งงาน กับ—”

          “อะไรนะคะ!?”

          “ยูกะ หนูอย่าพูดแทรกท่านพ่อสิคะ” คุณหญิงสุไกมองลูกสาวด้วยสายตาตำหนิเล็กน้อย วันนี้ลูกสาวของเธอเป็นอะไรกัน ปกติไม่เคยเป็นคนที่พูดแทรกหรือขัดคนอื่นแท้ๆเชียว

          “ท่านแม่คะ แต่หนู คือหนู…”

          “ใจเย็นๆ ฟังให้จบก่อน ลูกอาจจะตกใจ พ่อรู้ แต่พ่ออยากให้ลูกฟังเหตุผลของพ่อกับแม่ก่อน”

          “……..”

          “พ่อกับคุณโมริยะเราคุยกันมาสักพักแล้วว่าอยากให้พวกลูกแต่งงานกัน”

          “คุณโมริยะ?”

          “ใช่ และอีกไม่นานลูกเองก็ต้องขึ้นบริหารบริษัทอย่างเต็มตัวแล้ว ลูกควรมีคนช่วยและดูแลลูก”

          “หนูเข้าใจค่ะ แต่แค่ช่วยบริหารไม่เห็นมีความจำเป็นต้องแต่งงานนี่คะ…” คุณท่านกับคุณหญิงสุไกมองหน้ากัน พูดไม่เข้าคายไม่ออก จะอธิบายอย่างไรให้ลูกสาวเข้าใจดี

          “จะให้คนนอกมาช่วยลูกทำงานพ่อไม่ไว้ใจหรอก ลูกก็รู้ว่ากว่าเราสร้างทุกอย่างจนกระทั่งมีทุกอย่างแบบทุกวันนี้ได้ ตระกูลของเราต้องผ่านอะไรมาบ้าง คนที่จะแต่งงานกับลูก พ่อก็ไว้ใจแค่คนจากโมริยะเท่านั้น”

          ยูกะเม้มริมฝีปากแน่นจนแน่นเจ็บ หล่อนไม่อยากแต่งงาน…ถึงแต่งงานกันจริงก็ขอให้เป็นคนที่เธอรัก ไม่ใช่การคลุมถุงชนแบบนี้ คนสองคนที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากันเลยมาแต่งงานกัน มันมีแต่แย่กับแย่ไม่ใช่หรอ? ถ้าเกิดนิสัยเข้ากันไม่ได้ขึ้นมาล่ะ?

          “แต่ท่านพ่อคะ หนูมีคนที่รักอยู่แล้วค่ะ”

          “คุณวาตานาเบะ ริสะน่ะเหรอ…”

          “!!!!!!!!”

          “ทะ ท่านพ่อทราบได้ยังไงคะ!?”

          “หึ มีเรื่องอะไรที่พ่อไม่รู้เกี่ยวกับลูกด้วยเหรอ ยูกะ”

          “แล้วทำไมท่านพ่อยังคิดที่จะบังคับหนูแต่งงานล่ะคะ ทั้งๆที่หนู…ฮึก…”

          “เลิกกับเธอซะ” เขาพูดเสียงเรียบ เด็ดขาด ไม่มีการอะลุ่มอล่วยใดๆทั้งนั้นสำหรับลูกสาวของเขา ในเมื่อทุกสิ่งที่ถูกพูดออกมาคุณท่านสุไกได้ไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

          “ยูกะ พ่อกับแม่ไม่เคยบังคับอะไรลูกเลยนะคะ แต่ขอแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวได้มั้ยคะ”

          “แต่ท่านแม่คะ หนู…”

          “ยูกะ เข้าใจพ่อกับแม่เถอะนะ ทั้งหมดก็เพื่อตระกูล เพื่อตัวลูกนะ”

          “โดยการบังคับหนูแต่งงานกับคนที่ท่านพ่อไว้ใจ แต่หนูไม่รู้จักเขาแม้แต่น้อยงั้นเหรอคะ ฮึก”

          “ไม่นะคะ หนูอากาเนะกับลูกรู้จักกันนะ แต่หนูอาจจะจำน้องไม่ได้”

          อากาเนะ…?

          “รู้จักกัน? ตอนเป็นเด็กเหรอคะ?”

          “ใช่จ่ะ ลองนึกดูดีๆสิ”

          “อากาเนะ… โมริยะ อากาเนะเหรอ…” ยูกะเองก็ลองพยายามนึกตามที่ผู้เป็นมารดาบอก

 

          ‘ยูกะ!’ เสียงของเด็กหญิงอายุราวๆสี่ห้าขวบดังขึ้นทางด้านหลังทำให้สุไกต้องหยุดการอ่านหนังสือของเธอเอาไว้ตรงนั้น หล่อนหันไปมองยังด้านหลังก็พบเข้าให้กับเจ้าของเสียง เด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม แต่ดวงตาดูแอบดุยังไงไม่รู้ในสายตาของยูกะ

          ‘อากาเนะจัง? คุณเซบาสเตียนให้เข้ามาได้แล้วหรอคะ?’

          ‘เปล่า! แอบคุณเซบาสเตียนเข้ามา!’

          ‘โธ่ อากาเนะจัง ถ้าท่านพ่อท่านแม่เข้ามาเห็นจะโดนดุเอานะ!’ เด็กสาวผู้มีอายุมากกว่าดุโมริยะตัวน้อย แต่ก็เหมือนไม่เป็นผลเท่าไหร่ อากาเนะวิ่งเข้ามานั่งแหมะข้างๆเธอ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูน่าหมั่นเขี้ยว

          ‘วันนี้ยูกะไม่ได้ออกไปข้างนอกเลยหรอ? ไม่เบื่อหรอ?’

          ‘เบื่อสิ แต่มีอากาเนะจังมาเล่นด้วยก็หายแล้วแหละ’

          ‘ แล้วนี่ยูกะอ่านอะไรอยู่เหรอ’

          ‘อ๋อ คู่มือการดูแลม้าน่ะ’

          ‘ยูกะนี่ชอบม้าจริงๆเลยนะ งั้นวันนี้เรามาเล่นเป็นม้ากัน!!’

          ‘เล่นยังไงคะ ขี่หลังอะไรแบบนี้เหรอ?’

          ‘ใช่ เน็นจะแบกยูกะเอง!’

          ‘เดี๋ยว…แต่อากาเนะจังตัวเล็กกว่ายูกะอีกนะคะ แบกไม่ได้หรอก’

          ‘ได้สิ ก็เน็นแข็งแรงจะตาย ขนาดปีนข้ามรั้วแอบคุณเซบาสเตียนมาหายูกะ เน็นยังทำได้เลย คิก’

          ‘เอ๋!? นี่ถึงกับปีนข้ามรั้วมาเลยเหรอคะ!’

          ‘อื้ม’ เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงักอย่างไร้เดียงสา

          ‘…ถ้าคุณเซบาสเตียนรู้จะถูกทำโทษเอานะคะ ไม่ดีเลยนะ’

          ‘งั้นต่อไปเน็นจะไม่ปีนอีกแล้วค่ะ…’ เด็กน้อยทำหน้ามุ่ย ทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ นั่นทำให้คุณหนูยูกะตกใจไม่น้อย รีบเข้าไปโอ๋เด็กน้อย ทั้งๆที่เตือนเพราะเป็นห่วงแท้ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะดุอะไรเลยนะ

          ‘โอ๋ๆ อย่างอนเลยค่ะ พี่ไม่ได้ว่าอากาะเนะนะ’ ยูกะวางหนังสือที่อ่านค้างไว้ลง เดินตรงไปหาเด็กตัวน้อยที่กำลังงอแงอยู่

          ‘….’ โมริยะตัวน้อยยังคงมุ่ยหน้า ไม่พูดไม่จาไม่หือไม่อือเลย สุไกโดนงอนเข้าให้แล้ว

          ‘งั้น…’ เธออึกอัก

          ‘คืนนี้อากาเนะจังมานอนกับพี่มั้ยคะ?’

          ‘ได้เหรอคะ? จริงๆนะ ยูกะไม่โกหกเน็นใช่มั้ย’ เด็กน้อยตาลุกวาว เย้! จะได้ไปเล่นในห้องยูกะด้วยล่ะ ของเล่นกับตุ๊กตาต้องเยอะแน่ๆเลย อยากเล่นแล้ว!

          ‘อื้ม จริงสิ งั้นหายงอนพี่นะ พี่จะขออนุญาตคุณพ่อกับคุณแม่อากาเนะจังให้เอง’ อากาเนะตัวน้อยได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ หายงอนสิ! ถ้าไม่หายก็คงไม่ได้เข้าไปในห้องของยูกะแน่ๆ!

          ส่วนทางด้านสุไก

          เธอมองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดู รอยยิ้มน่ารักๆของเด็กคนนี้พอเธอได้เห็นแล้วก็ทำให้พลอยรู้สึกดีใจตามไปด้วยแปลกๆ

          เธอก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไรนักว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้น

 

          อา..เธอคนนั้นนั่นเอง..

          ใช่ เธอจำได้แล้ว เด็กผู้หญิงคนนั้น…

          “พ่อจะให้เวลาลูกเตรียมตัวก่อนงานแต่งจะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้านะยูกะ ไปจัดการเคลียร์ตัวเองกับคุณวาตานาเบะเสีย”

          “ท่านพ่อ ฮึก..” คุณหญิงสุไกทอดมองลูกสาวด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย ที่จริงเธออยากจะช่วยค้านอยู่เหมือนกัน แต่เธอก็เพิ่งมารู้ก่อนลูกสาวได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้นเลยช่วยอะไรมากไม่ได้

          โธ่ ยูกะของแม่..


          “ไง มานากะ ทำไมวันนี้มาสายล่ะ?”

          “ฉันตื่นสายน่ะ พึ่งไปส่งอากาเนะที่บ้านมา”

          “อี๋! หมั่นไส้คนมีความรัก” อยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งโพล่งขึ้นมาจากที่ไกลๆ รู้เลยนะว่าใครพูด หนอย!

          “เงียบไปเลยฟุยุกะ ชิ อย่าแซวสิ” ชิดะทำเสียง ‘จิ๊’ อย่างขัดใจ เห็นชีพูดแซวแบบนี้ก็ซุกแฟนไว้เหมือนกันนั่นแหละ อย่าคิดว่าไม่รู้นะ ชั้นแอบแบล็คเมล์แกไว้!! อย่าให้แฉนะว่าตอนวันหยุดก็ไปค้างบ้านแฟนน่ะ ไซโต้ ฟุยุกะ!!

          “เสียงดังกันแต่เช้าเลยนะพวกแกเนี่ย เดี๋ยวบอสก็โวยหรอก” โยเนะทานิตะโกนมาจากที่ไกลๆ ไม่ได้ดูเลยว่าที่ตัวเองพูดมันก็ย้อนเข้าตัว

          “วันนี้บอสเข้าบริษัทด้วยเหรอ ไหนว่าต้องไปพบลูกค้ารายใหญ่ไง ได้ข่าวว่าเค้ารวยระดับประเทศเลยนะ”

          “ชีเข้ามาโม่– ดูแลเทะจิน่ะ”

          “……” ทุกคนบริเวณนั้นเงียบลง และกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย เอาอีกแล้วหรอ… และคิดในใจกันอย่างพร้อมเพรียง

          “เอ่อ พวกพี่พูดถึงหนูรึเปล่าคะ” ‘เทะจิ’ ที่ตกเป็นบุคคลสำคัญในบทสนทนาได้โผล่เข้ามาอย่างเงียบๆ หน้าตาดูตื่นๆ นี่เธอกำลังโดนนินทาอยู่รึเปล่าเนี่ย

          “เปล่าหรอก กลับโต๊ะไปทำงานของพวกแกได้แล้ว… เทะจิมานี่ วันนี้พี่มีหน้าที่สอนงานเรา” วาตานาเบะทำหน้าที่รุ่นพี่ที่ดี ไล่พวกเพื่อนเจ้าปัญหาขี้เม้าท์มอยทั้งหลายกลับโต๊ะแล้วพาตัวฮิราเตะไปสอนงานแทน พวกนี้ปล่อยว่างไม่ได้เลย ตั้งโต๊ะล้อมวงคุยกันตลอด เพลียจริง แถมเรื่องที่คุยนั่นก็เรื่องชาวบ้านทั้งนั้น

          .

          .

          .

          .

          .

          -ก็อกๆ-

          “ท่านคะ คุณนากาฮามะมาแล้วค่ะ ให้เชิญเข้าไปเลยมั้ยคะ”

          “ได้ ผมกำลังรออยู่ เชิญเค้าเข้ามา”

          นากาฮามะเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างแผ่วเบาเงียบเชียบ มีมารยาท เท่าที่เธอทราบมาจากพนักงานขาเม้าท์ในบริษัทแล้ว คุณท่านสุไกเป็นคนที่ค่อนข้างเคร่งกับเรื่องพวกนี้ถึงต้องทำอย่างระมัดระวัง ปฏิบัติตัวผิดนิดหน่อยก็โดนติได้แล้ว น่ากลัวเวอร์

          “สวัสดีค่ะท่านสุไก ดิฉันนากาฮามะ เนรุจากบริษัททานูกิคอร์เปอเรชั่นค่ะ”

          “ผมกำลังรอพบคุณอยู่เลย เชิญนั่งครับ”

          “ขอบคุณค่ะ” เนรุค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับคุณท่านสุไก หลังตรงแหน่ง รู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนสัมภาษณ์งานแรกๆอีก

          “อืม ผมอยากให้คุณออกแบบบ้านเดี่ยวดีๆสักหลังให้ผมหน่อย”

          “บ้านเดี่ยว…”

          “เป็นของขวัญให้ลูกของผมน่ะ พอดีเธอกำลังจะแต่งงาน” นากาฮามะร้องอ๋อในใจ แบบนี้นี่เอง คงจะใช้เป็นเรือนหอสินะ..

          “ค่ะ ด้วยความยินดีค่ะ”

          .

          .

          .

          .

          .

          “เลิกงานซักทีโว้ยยยยยย” เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นทันทีที่ถึงเวลาเลิกงาน และแน่นอนว่าพอเลิกงานแล้วก็ต้อง…

          “ป่ะ ไปดื่มกัน ฉันมีร้านดีๆแนะนำด้วยล่ะ”

          “ขอตัวนะ ฉันต้องไปรับ—”

          “ไปรับแฟน เหอะ! ลืมเพื่อนลืมฝูงเลยนะมานากะ พอแกมีแฟนเนี่ย ไม่ไปไหนกับพวกเราเลย”

          “อ้าว ก็มันจำเป็นนี่นา”

          “นานๆทีไปหน่อยไม่เห็นเป็นไรเลย!”

          “ทีริสะมีแฟนยังไม่ติดแฟนแบบแกเลย เนอะริสะ”

          “อืม แต่วันนี้ฉันขอตัวนะ”

          “อ้าว! / ได้ไง! /เดี๋ยวดิ!” เพื่อนร่วมบริษัททั้งหลายเริ่มโวยวาย นานๆทีจะได้ไปด้วยกันหมดนี่แท้ๆ หนอยยย พอมีแฟนแล้วก็ติดแฟนกันจริงๆ น่าหมั่นไส้!

          “งั้นน้องเทะไปกับพวกพี่มั้ย ไปเถอะๆ ไปกันเยอะๆสนุกดีนะ ไปนะ”

          “เอ่อ คือหนูดื่มไม่เป็นนะคะ” เด็กฝึกงานรีบสอดส่องสายตาหาคนช่วย ไปสบตาเข้ากับวาตานาเบะพอดี หล่อนมองริสะตาเป็นประกายเหมือนกับจะบอกว่า ‘ช่วยหนูทีค่ะรุ่นพี่วาตานาเบะ!’

          “ไม่ต้องชวนน้องเลย น้องมีงานต้องทำด้วยนี่ เนอะใช่มั้ย เทะจิต้องเอากลับไปทำที่บ้าน”

          “อ๋อ ใช่ๆค่ะ หนูคงไม่ว่างค่ะ ไว้โอกาสหน้านะคะ”

          “งั้นแกก็ไปแทนน้องสิริสะ แล้วนั่น!! คุริทาโร่จับมานากะไว้อย่าให้หนี!!”

          “เฮ้ย! ปล่อยนะ เดี๋ยวสิ เดี๋ยว เฮ้ย! หยุดนะ” มานากะพยายามหลบคุริทาโร่ที่พุ่งเข้ามาตน

          “…….” ทางด้านริสะก็ไม่ได้หนีหรือขัดขืนอะไร ยืนทำหน้าลำบากใจอยู่นิ่งๆเท่านั้น

          “ตกลงเอายังไงถ้าแกจะให้เทะจิกลับบ้าน พวกแกก็ต้องไปกับพวกฉัน เข้าใจมั้ย หึหึ”

          “งั้นก็ได้…”

          “อ้าว! แล้วทำไมริสะยอมง่ายๆแบบนั้นเล่า เดี๋ยวสิ ฉันต้องไปหาอากาเนะนะ!”

          “งั้นมานากะไม่ต้องไปก็ได้ ฉันไปแทนน้องคนเดียวก็พอแล้ว ใช่มั้ย!?”

          “เอิ่ม…แต่ไปหลายๆคนมันสนุกกว่านี่”

          “แต่ร้านเนื้อย่างมันโปรโมชั่นมา 5 จ่าย 3 นี่นา อุ๊บส์” โยเนะทานิรีบปิดปากคุริทาโร่ แต่ก็สายไปเสียแล้ว ทั้งริสะและมานากะมองหน้ากันอย่างเอือมๆ

          ไอ้พวกนี้

          ที่จริงหาคนหารค่าเนื้อย่างนี่เอง

          “เออ ไปก็ได้!” ชิดะตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย นี่เห็นว่าเธอไม่ค่อยได้ไปสังสรรค์กับพวกเจ้าพวกนี้บ่อยๆหรอกนะ คราวนี้จะไปด้วยก็ได้ ชิ!

          “ขอตัวไปคุยโทรศัพท์แป๊บนะ…” เป็นริสะที่เอ่ยขึ้นมาหลังจากทั้งหมดตกลงกันได้แล้ว

          “อืม โอเค”

          “ฉันด้วย คงต้องส่งข้อความไปบอกอากาเนะว่าไปรับไม่ได้แล้ว”

          “อ้าวทำไมแกไปโทรไปล่ะ?”

          “เค้าประชุมอยู่ ฉันไม่กล้าโทรไปกวนย่ะ”

          “อ๋อ นึกว่ากลัวถูกบ่นหูชาอะไรแบบนี้ซะอีก ฮ่าๆ”

          “จึ๊” มานากะเดาะลิ้นอย่างขัดใจ รำคาญเจ้าพวกเพื่อนจอมขี้แซวนี่จริงๆ รีบเดินหนีออกไปจากวงสนทนาทันที

          “เอ่อ งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะรุ่นพี่” ฮิราเตะโค้งให้พวกรุ่นพี่ของเธอ ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานไป

          “จ้า กลับบ้านดีๆนะ / บ๊ายบายจ้า / แล้วเจอกันน๊า”

 

          เมื่อจัดการเรื่องส่วนตัวทุกอย่างเรียบร้อย ทุกคนก็เก็บของเตรียมตัวไปกินเนื้อย่างตามที่ตกลงกันไว้ ขณะเดินไปที่ลิฟต์พวกเธาก็ได้พบกับบอสที่เพิ่งจะเข้ามาในออฟฟิศ ซึ่งวันนี้ได้หายตัวไปทั้งวัน

          “อ้าว! บอสคะ จะรีบไปไหนคะ แล้วทำไมถึงเข้ามาออฟฟิศตอนนี้ล่ะคะ?” ฟุยุกะทักขึ้นทันที

          “เทะจิอยู่ไหน!?”

          “หา!? / หา!? ” ทุกคนที่ยืนอยู่หน้าลิฟต์ พูดขึ้นมาพร้อมกันทันที

          “เทะจิล่ะ พวกเธอเห็นเทะจิมั้ย!?” นากาฮามะหันซ้ายหันขวามองหาเด็กฝึกงานของเธอ แต่ก็ไม่พบ

          “เอ่อ…กลับบ้านไปแล้วค่ะ เมื้อกี้เองค่ะ”

          “โถ่เอ้ย! ไม่ทันจนได้ เฮ้อ~” ทุกคนเงียบ กระพริบตาปริบๆ มองบอสที่ทำท่าทางตัดพ้อต่อว่าตัวเองที่มาไม่ทันเด็กฝึกงานสุดที่รักของตน ท่าทางบอสของพวกเธอจะเสียดายที่คลาดกับเทะจิมาก

          น้องกลับบ้านไปแล้ว ที่รีบกลับมาออฟฟิศเพราะอยากไปส่งน้องที่บ้านสินะคะ แหม…

          “ไหนๆก็ไม่ได้ไปส่งเทะจิแล้ว บอสไปกินเนื้อย่างด้วยกันมั้ยคะ?” ชวนเขาไปโดยไม่บอกว่ากำลังหาคนหารค่าเนื้อย่างอยู่

          แถมคนเป็นบอสน่ะ ต้องเลี้ยงลูกน้องสิถึงจะถูก

          “เห..ที่ไหน ใกล้ๆนี้หรอ?” ฟุยุกะพยักหน้าหงึกหงัก

          “กำลังคิดว่าถ้ากินเนื้อย่างเสร็จแล้วจะไปบาร์ที่อยู่ห่างกันสองสามบล็อกด้วยนะคะ บอสไปมั้ย นานๆทีจะได้ไปสังสรรค์กันนะ”

          นากาฮามะทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย จะไปมันก็ไปได้ แถมวันนี้ก็ไม่ได้ไปส่งเทะจิอีก ถ้าไม่นับเรื่องที่คุณท่านสุไกเรียกเธอไปพบเรื่องงานล่ะก็วันนี้เป็นวันที่น่าเซ็งมากๆวันนึงเลย เพราะฉะนั้น…จะไปเที่ยวกับพวกลูกน้องบ้างคงไม่เป็นอะไร ไหนๆตอนนี้ก็ว่างแล้ว

          “ได้ ไปสิ ฉันเลี้ยงเอง”

          “เย้!!!!”

          .

          .

          .

          .

          ฉ่าาา

          เสียงเนื้อที่ถูกคีบลงไปย่างดังฉ่าๆ ส่งกลิ่นหอมฉุยไปทั่ว พร้อมๆกับเสียงถอนหายใจของเจ้าของบริษัทที่ดังขึ้นอย่างไม่รู้ต้นรู้ปลาย

          “เฮ้อ..”

          “เป็นอะไรไปคะบอส?”

          “คิดถึงเทะจิ เทะจิน่าจะมาด้วยนะ ทำไมพวกเธอไม่ชวนน้องมาด้วย ฮึ?”

          “…….” ทุกคนกรอกตาเงียบๆ

          “เนี่ย แถมวันนี้ยังไม่ได้ไปส่งน้องด้วย น้องต้องคิดถึงฉันมากแน่ๆเลย”

          “……” ตอนนี้เริ่มมีบางคนแอบลอบถอนหายใจออกมาแล้ว

          “ถามจริงๆนะคะ บอสจริงจังกับเด็กคนนี้ขนาดไหนคะ”

          “ทำไมถามแบบนั้น ฉันชอบเค้าจริงๆนะ”

          “แต่ดูน้องยังไม่เข้าใจความรักเลยนะ เคยมีแฟนรึเปล่าก็ไม่รู้ค่ะ”

          “งั้นฉันก็เหมาะจะเป็นแฟนคนแรกของเค้า”

          “บอสคะ….” ฟุยุกะเรียกบอสของเธอให้หยุดเพ้อถึงเด็กฝึกงานที่รัก ก่อนที่ทุกคนจะเอียนไปมากกว่านี้ มานากะกับริสะกำลังจัดการคีบเนื้อเข้าปากเงียบๆในขณะที่ทุกคนกำลังเอือมบอสสาว ไม่ให้ใครสงสัยว่าเนื้อที่ลงไว้ก่อนหน้าหายไปไหนหมด

          “พวกเธอก็ช่วยฉันหน่อยไม่ได้เหรอ ก็รู้ว่าน้องยังโสดนี่นา”

          “มีโบนัสรึเปล่าคะ ถ้าช่วยบอสได้สำเร็จ ฮิฮิ”

          “ไม่มี”

          “อ้าว!?”

          “ก็มันเป็นหน้าที่ที่พวกเธอต้องทำอยู่แล้ว”

          “หา!? / หา!?” ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน เช่นเดียวกับตอนหน้าลิฟต์ มานากะที่กำลังคีบเนื้อเข้าปากค้างเอาไว้ท่านั้น เนื้อที่คีบตกลงบนพื้นโต๊ะ ช็อคส์

          “เอ่อ ฉันว่าจบเรื่องเทะจิเถอะ ว่าแต่วันนี้บอสหายไปไหนมาเหรอคะ ได้ข่าวว่าลูกค้าคนนี้เป็นคนใหญ่คนโตระดับประเทศเลยนี่คะ?”

          “อืม ใช่ ท่านสุไกน่ะ”

          “…….” วาตานาเบะที่กำลังย่างเนื้อให้สุซุโมโตะชะงัก เงยหน้าขึ้นมามองบอสของหล่อนนิ่ง สุไก…งั้นหรอ

          “โห! / ฉันรู้จัก!”

          “แล้วเค้าต้องการจ้างบริษัทเราออกแบบอาคารหลังใหม่เหรอคะ ได้ข่าวว่ากำลังมีโครงการจะรีโนเวทอาคารเก่าของเค้านี่คะ”

          “เปล่าๆ ไม่ใช่ เค้าเรียกไปคุยเรื่อง อยากให้เราออกแบบบ้านเดี่ยวให้เค้าน่ะ”

          “หา? แล้วเขาสร้างไปทำไมล่ะนั่น แต่ก็อย่างว่าแหละนะ คนรวยทำอะไรก็ได้”

          “เห็นบอกว่าเป็นของขวัญแต่งงานให้ลูกสาวน่ะ หูยย ฉันล่ะอยากเห็นหน้าลูกสาวเขามากเลยพวกแก แต่คงจะไม่น่ารักเท่าเทะจิของฉันหรอก” วาตานาเบะได้แต่นั่งฟังบทสนทนาเงียบๆในขณะที่คนอื่นเริ่มเอือมระอากับบอสคนนี้อีกแล้ว ริสะเริ่มคีบเนื้อย่างมากินน้อยลง ซึมไปถนัดตาเลยเทียบกับตอนแรกที่เข้าร้านมา เขาคิดเอาไว้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง ไม่ช้าก็เร็ว แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้..

          “ริสะ… เป็นอะไรรึเปล่า”

          “……..”

          “ริสะ”

          “ห่ะ หา เอ่อ…เปล่า ไม่มีอะไรหรอกมานากะ…”

          “กินเยอะๆนะ บอสอุตส่าเลี้ยง อ่ะ ฉันคีบให้”

          “ขอบคุณนะ..”

          ยูกะจะแต่งงานงั้นเหรอ ทำไมไม่บอกฉันล่ะ หรือว่าตัวยูกะเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน ฉันควรทำยังไงดี… ยูกะ…

          .

          .

          .

          .

          “อิ่มมมมม”

          “สมควร แกกินไปตั้งเยอะ เผลอไม่ได้ ฉกเข้าปากตลอด”

          “ก็นานๆทีนี่นา แถมมื้อนี้ฟรี บอสเลี้ยงด้วย ต้องกินให้คุ้มหน่อย ฮิฮิ”

          “ขอบคุณบอสมากนะคะ ว่าแต่บอสจะไปต่อกับพวกเรามั้ยคะ?”

          “ไปสิ วันนี้น่าเบื่อจะตาย กลับบ้านไปฉันก็เหงา แต่ไม่เลี้ยงเหล้าพวกแกนะ ออกกันเอง” นากาฮามะยักไหล่ พวกลูกน้องก็ตกลงกันแต่โดยดี เสียแค่ค่าเหล้าเอง คุ้มจะตายวันนี้

          “ฉันขอตัวนะ กลับล่ะ บาย~”

          “โห มานากะ นี่จะรีบกลับไปหาแฟนใช่มั้ย เออ ถ้าจะคิดถึงเค้าขนาดนั้นก็กลับไปเถอะ เจอกันพรุ่งนี้นะ”โยเนะทานิพูดติดนอยด์ๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ยอมปล่อยเพื่อนกลับแต่โดยดี

          “ฉันก็ขอตัวนะ ขอตัวนะคะบอส” วาตานาเบะหลบสายตาเพื่อนๆ เฟดตัวเองออกไปเงียบๆ ดูไม่ปกติเท่าไหร่นัก ทว่ากลุ่มเพื่อนร่วมงานกำลังดี๊ด๊ากันเรื่องไปบาร์เลยไม่ได้สังเกต

          .

          .

          “อากาเนะไม่รับสายเลย ทำอะไรอยู่น๊า ทำไมวันนี้ไม่โทรหากันเลยล่ะ” มานากะบ่นกระปอดประแปด มุ่ยหน้าน้อยๆอย่างนึกเอาแต่ใจตัวเอง

          วันนี้เธอแปลกมาก ยุ่งขนาดนั้นเชียว ฉันส่งข้อความไปหา เธอก็แค่อ่าน แต่ไม่ตอบอะไรกลับมาเลย

          หรือว่าอารมณ์ไม่ดีนะ เวลาเธอหงุดหงิดเธอจะไม่ชอบคุยกับใคร

          ไม่ได้หงุดหงิดที่ฉันไม่ได้ไปรับเธอแต่มากินเนื้อย่างกับเจ้าพวกนี้แทนใช่มั้ย เอิ่ม…

 

          – Discord Discord Yeah! Discord~

          ระหว่างที่กำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้นเสียงเรียกเข้าดังขึ้น เหลือบตามองไวๆเพราะเขากำลังขับรถกลับบ้านอยู่ เห็นเป็นชื่อคนคุ้นตาก็เริ่มหยุดคิดฟุ้งซ่านแล้ว ชิดะควานมือหาสมอลทอร์คมาสวมก่อนจะกดรับสาย

          “ฮัลโหล อากาเนะทำไมไม่รับสายล่ะคะ ยุ่งมากเหรอวันนี้?” มานากะรีบรัวคำถามใส่อีกฝ่าย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาดันเป็นเสียงสั่นเครือของหญิงสาวคนรักเท่านั้น

          “มานากะ…”

          “หืม?”

          “เราเลิกกันเถอะ”

          “!!!!!!” ประโยคนั้นเองทำให้ชิดะเหยียบเบรครถกระทันหันจนเกือบไปชนรถที่วิ่งสวนมาแล้ว แต่ในตอนนี้เธอไม่ได้สนใจอย่างอื่นเท่าคำพูดเมื่อครู่ของโมริยะแล้ว

          – เอี๊ยด –

          “วะ ว่าไงนะ! นี่ล้อกันเล่นใช่มั้ย อากา…เนะ”

          “เราเลิกกันเถอะ”

          “แต่ว่า เดี๋ยว อากาเนะ ฉันไม่เข้าใจ คือ…”

          “ฉันมันเลว ขอโทษนะมานากะ ฉันไม่เหมาะจะเป็นคนรักของมานากะหรอก”

          “ทำไมพูดแบบนี้ ไม่นะอากาเนะ ฉัน—”

          “แค่นี้นะมานากะ ขอโทษแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะคะ”

          “อากาเนะ!!! เดี๋ยว!!!”

          – ตู๊ดๆๆๆ –

          เธอตัดสายฉันไปแล้ว! นี่มันอะไรกัน ทำไมจู่ๆเธอก็มาขอเลิกกันแบบนี้ล่ะ ฉันทำอะไรผิดไปเหรอ อากาเนะอย่าทำแบบนี้!!!

          ชิดะลงทุนจอดรถข้างทางเพื่อกดโทรหาโมริยะซ้ำๆ แต่โทรไปเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับสาย จนกระทั่งโทรไปครั้งสุดท้าย อากาเนะก็ปิดเครื่องหนีไปเสียแล้ว

          “อากาเนะทำไมล่ะ ทำไมทำแบบนี้ ฉันทำอะไรผิดเหรอ ฮึก..” เสียงสะอื้นดังขึ้นแผ่วเบาในรถคันหรูสีดำสนิท เจ้าของรถนั่งอยู่นิ่งๆ จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างเลื่อนลอย น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่เอ่อล้นออกมา ไหลอาบแก้มก่อนจะหยดลงกระทบหน้าจอสมาร์ทโฟน

          มานากะปาดน้ำตาของตัวเองออกลวกๆ เช็ดหน้าจอโทรศัพท์ให้เรียบร้อย สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติ คิดหาเหตุผลที่อากาเนะบอกเลิกกับตัวเอง แต่ทบทวนดูแล้วก็ไม่เห้นมีเหตุผลอะไรที่น่าจะทำให้เธอบอกเลิกเลย

          สงสัยคงต้องไปถามกับเจ้าตัวเอง

          คิดได้ดังนั้นชิดะก็เปลี่ยนเส้นทางจากกลับบ้านของตัวเองเป็นบ้านโมริยะแทน เขาตงิดใจอยู่ไม่น้อย เรื่องนี้มันต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง อากาเนะไม่น่ามาบอกเลิกเขาแบบนี้โดยไม่บอกเหตุผลเลย

          ทว่า

          พอมานากะขับรถไปถึงบ้านตระกูลโมริยะแล้ว กลับไม่พบแม้แต่เงาของอากาเนะ กระทั่งคนในบ้านก็ไม่มีใครอยู่ซักคน มานากะเม้มริมฝีปาก หล่อนตัดสินใจโทรไปหาฟุยุกะที่ตอนนี้คงถึงบาร์ไปเรียบร้อยแล้ว

          “ฟุยุกะ”

          “อ้าว? ว่าไง เปลี่ยนใจจะมาด้วยแล้วหรอ?”

          “เออ อีกไม่ถึงยี่สิบนาทีเจอกัน” ชิดะพูดก่อนจะตัดสายไป

          ทางด้านฟุยุกะที่อยู่อีกฝั่งของสายก็ได้แต่มองโทรศัพท์ตัวเองอย่างงงๆ ทำไมเสียงมานากะมันสั่นๆ? เกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย? ทำไมวันนี้มีแต่อะไรวุ่นวายๆ..

          .

          .

          .

          .

          วาตานาเบะกลับมาถึงคอนโดก็เจอพ่อบ้านของตระกูลสุไกรออยู่แล้ว เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ใจสั่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ยังไม่อยากยอมรับความจริงตอนนี้ ยังไม่อยาก…ตัดใจจากยูกะ

          “สวสัดีครับคุณวาตานาเบะ”

          “สะ สวัสดีค่ะ…”

          “ผมมีเรื่องสำคัญมาแจ้งให้คุณทราบครับ แต่คิดว่าคุณน่าจะทราบแล้ว”

          “ยูกะ…จะแต่งงานใช่ไหมคะ?”

          “ครับ… ต้องขอโทษแทนคุณหนูด้วยนะครับ เรื่องนี้ผมเองก็พึ่งทราบวันนี้ นายท่านสั่งให้ผมนำเรื่องนี้มาแจ้งให้คุณทราบแทนคุณหนูครับ”

          “แล้วตอนนี้ยูกะอยู่ไหนเหรอคะ…”

          “นายท่านกักบริเวณไว้น่ะครับ เอ่อ ผมคงต้องรับแมวของคุณหนูกลับไปด้วยนะครับ”

          “ค่ะ…” เหมือนสมองมันโล่ง ว่างเปล่า ฉัน…ไม่รู้จะพูดอะไรเลย… เอาพวกแมวกลับไปด้วย ถึงจะไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินก็เถอะ แต่เธอก็อยู่กับพวกมันมานาน ผูกพันธ์มากอยู่เหมือนกัน คิดแล้วก็ใจหายวาบ ฉันคงคิดถึงพวกมันมากแน่ๆ พอๆกับคิดถึงเจ้าของของมันนั่นแหละ…

          .

          .

          เซบาสเตียนกลับไปแล้ว วาตานาเบะทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาตัวโปรด พูดไม่ออก ยังดีที่เขายังไม่ได้เอาเจ้าเหมียวพวกนี้ไปในทันที แต่อาจมารับทั้งหมดกลับภายในสองสามวันนี้

มิ้ลค์กระโดดขึ้นมาถูไถตัววาตานาเบะ เจ้าเหมียวขนฟูเหมือนจะรู้ว่าแฟนของเจ้านายตอนนี้อารมณ์ไม่คงที่ มันย่ำขึ้นไปนอนบนตักของริสะ ขดตัวเป็นก้อนกลมๆ น่ารักน่าชัง แต่ว่าวาตานาเบะในตอนนี้ ไม่สามารถยิ้มออกมากับท่าทางขี้อ้อนของเจ้าเหมียวได้อีกแล้ว

          “ฉันจะคิดถึงพวกแกนะ ไปอยู่ที่อื่นอย่าซนล่ะรู้มั้ย”

          “เหมี๊ยว~”

          “เป็นเด็กดีนะ เชื่อฟังยูกะด้วย แล้วก็อย่าปล่อยให้ยูกะเหงาเข้าใจมั้ย”

          “ทอมก็กินให้น้อยๆลงหน่อยล่ะ เดี๋ยวอ้วนกว่านี้ไม่รู้ด้วยนะ”

          จู่ๆมารอนก็ปีนขึ้นมาเกาะไหล่ มันแลบลิ้นเลียที่แก้มของวาตานาเบะ และตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกตัวว่าเธอร้องไห้ออกมา

          “ขอบใจนะมารอน..”


          “ฮัลโล คุริพวกแกอยู่กันอ่ะ” ริสะเข้ามาข้างในร้านแล้ว แต่ทั้งเขย่งก็แล้ว เหลือกตามองก็แล้ว ยังไม่เห็นวี่แววเพื่อนๆเลย

          “หา อะไรนะไม่ได้ยิน แป๊บนะแก เดี๋ยวก่อนนะ นี่แกมาที่นี่เหรอ อ้าวก็ไหนบอกว่า—”

          “เออน่า ฉันอยากดื่ม ขอชุดใหญ่จัดหนักๆเลย”

          “เห!? อารมณ์ไหนเนี่ย…เหมือนมานากะเลยแก” มิยุพูดเสียงดัง เพื่อนๆที่อยู่แถวนั้นได้ยินกันหมด มองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าริสะออกมาดื่มกับเขาด้วย แถมชุดใหญ่ด้วย!

          โลกต้องถึงคราวอวสานแล้วแน่ๆ

          คู่นี้มันไปโดนตัวไหนมาคะ ทุกคนรวมถึงบอสมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างสงสัย แต่กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยถามทั้งคู่ มาถึงก็ซดเอาซดเอา แทนที่ตอนนี้วงเหล้ามันจะเฮฮากัน บรรยากาศก็เริ่มมาคุขึ้นมาเสียเฉยๆ แถมทั้งคู่ก็ดูตาบวมๆ ยิ่งมานากะนี่ดูก็รู้ว่าร้องไห้อย่างหนักมาแหงๆ สงสัยทะเลาะกับแฟนมา(?) ส่วนริสะก็นั่งซดเหล้าอักๆไม่พูดไม่จา หน้านิ่งมากจนน่ากลัว แล้วนี่ทะเลาะกับแฟนมาด้วยมั้ยนะ(?)

          แล้วใครมันจะไปกล้าถามล่ะคะ..

          ไซโต้หันไปหันมา หาคนช่วยพูดให้ทั้งสองคลายเครียดลง แต่เหมือนจะไม่มีใครช่วยได้เลยซักกะติ๊ด คุริทาโร่ก็โดนหักอกไปหมาดๆ บอสนากาฮามะที่ยังตามเต๊าะตามจีบเด็กไม่ติดซักที ส่วนตัวเธอก็…แฟนก็มีนั่นแหละ แต่เขาไม่อยู่ เพิ่งบินไปต่างประเทศเมื่อวานเลย..

          ‘อืม ก๊กนี้มีปัญหาหัวใจแทบจะทุกคนเลยแหะ’

          ‘เอ้อ ยังมีอีกคนนี้น่า’

          “ฉันไม่รู้ว่าพวกแกมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรอกนะ แต่ถ้าอยากระบายล่ะก็ ระบายกับพวกเราก็ได้นะ เก็บไว้มันอึดอัดออก”

          วาตานาเบะหันไปมองหน้าชิดะ ทั้งสองเหมือนจะคุยกันผ่านสายตารู้เรื่องยังไงยังงั้น ด้วยความที่ค่อนข้างสนิทกันเลยพอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายโดนอะไรมาบ้าง

          “จะให้พูดจริงๆหรอ?” วาตานาเบะถาม

          “เออ พูดออกมาเลย อย่างน้อยก็ทำให้สบายใจนะ”

          “…” มานากะพยักเพยิดมาทางคนที่นั่งข้างๆเป็นเชิงบอกว่าให้เขาพูดก่อนเลย

          “…ฉันไม่เคยบอกเลยใช้มั้ยว่าแฟนฉันนามสกุลอะไร บอกแค่ว่าชื่อยูกะ”

          “อ่าฮะ”

          “เธอเป็นลูกสาวของคุณสุไก”

          “…….” ทั้งโต๊ะเงียบกริบ ตะลึงกันไปแล้ว ไม่คิดไม่ฝันมาโลกมันจะกลมได้ขนาดนี้

          “ง งั้นก็แสดงว่า…”

          “เออ เธอโดนบังคับให้เลิกกับฉันเพราะเรื่องแต่งงานงี่เง่าทางธุรกิจ ถ้าฉันเดาไม่ผิดน่ะนะ”

          “ห๊ะ!!!?”

          “แต่ฉันก็พอรู้อยู่แล้วว่าทางบ้านของเธอคงไม่ยอมรับฉันหรอก”

          “เห้ย แกโอเคนะ ริสะ…”

          “อืม… ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มัน…บอกไม่ถูก…” ริสะค่อยๆเบาเสียงลง เพื่อนๆถึงเบนความสนใจไปหาคนผมสั้นอีกคนแทน ปล่อยให้วาตานาเบะนั่งซดเหล้าทำใจไปก่อน

          “แล้วแกล่ะมานากะทะเลาะกับแฟนมาเหรอ? ฉันเดาถูกมั้ย?”

          “เปล่า ไม่ได้ทะเลาะ…”

          “อ้าว!? แล้ว—”

          “ฉันพึ่งถูกแฟนบอกเลิกมา…”

          “ห๊ะ!!!? / ว่าไงนะ! / เห้ย!!!”

          ช็อคส์

          “เดี๋ยว พวกแกโดนบอกเลิกพร้อมกัน วันเดียวกันเลยหรอ!!?”

          “อืม / ใช่”

          “เห มันแปลกๆนะ อะไรจะเกิดขึ้นพร้อมกันขนาดนี้เนี่ย เป็นไปได้หรอ?” นานามิดันกรอบแว่นที่ตัวเองใส่อยู่ กอดอกนั่งพิงพนักโซฟส ก่อนจะหันไปขอความเห็นจากบอสของตัวเอง

          “อย่า – ปายเคด – มากนา – พวกแก แค่ผู้หญิงแค่คนเดียวเองนา อึก! หาแฟนหม่ายก็จบ – เรื่อง – อึ๊ก!”

          “…….” บอสคะ…

          “เอ่อ..ฉันว่าหาคนหิ้วบอสไปส่งที่รถแท็กซี่มั้ย..”

          “บอกคุณโอดะสิ เพื่อนบอสนี่”

          “โอเคๆ งั้นเดี๋ยวฉันมานะ บอสคะ ไหวมั้ยเนี่ย?” สุซุโมโตะอาสาเป็นคนพานากาฮามะไปหาโอดะเอง(หล่อนเพิ่งโดนโอดะหักอกไป แต่ก็ไม่เข็ด มาทีไรตามจีบอยู่เรื่อย) พอบอสคออ่อนถูกพาออกไปจากวงเหล้าแล้วโยเนะทานิก็พากลับเข้าเรื่องอีกครั้ง

          “เราคงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วล่ะ งั้นมาชนกันหน่อย ฉลองให้เพื่อนโสดอีกครั้งละกันนะ”

          “อืม”

          “เอ้า! ชน! เพื่อนโสดพร้อมกันแล้วค่า เย้!”

          – แกร๊ง!! –

          ‘เอ่อ แต่ฉันไม่โสดนะ..’ เอิ่ม เห็นแก่เพื่อนๆตามน้ำไปก่อนแล้วกัน ฟุยุกะคิดในใจ

          .

          .

          ดื่มกันไปได้ซักพักพวกคออ่อนก็เริ่มออกอาการ แน่นอนว่ารายแรกที่ไปเลยคือวาตานาเบะ ปกติหล่อนไม่ค่อยได้ดื่มอยู่แล้ว พอมาจัดชุดใหญ่แบบนี้เลยเมาง่ายกว่าพวกมานากะที่มาดื่มบ่อยกว่าอยู่มากทีเดียว

          “ยูก๊า ฮืออออ คิดถึงยูก๊าาาาาา ทำไมใจร้ายแบบนี้ ท่านสุไกใจร้าย ฮึก ฮืออออ”

          “อากาเนะจางงง… ทำไมทำกับมานากะแบบเน้ ฮึก เราคบกันมาตั้งนาน พอจะเลิกกัน แค่ ฮืออออ โทรมาแค่ ฮึก ไม่ถึง ฮืออออ ห้านาที ฮึก”

          “บังคับให้เลิกไม่พอ ฮือ เอาม แมวไปด้วย ฮึก..”

          “บ้า บ้าที่สุด ใจร้ายเกินไปแล้ว มานากะทำอะไรผิด ห้ะ! อากาเนะจัง บอกมาสิคะ!?”

          “โว้ย นี่ฟุยุกะย่ะ ไม่ใช่อากาเนะจังของแก๊ มานากะหยุ๊ด!!! หยุดเขย่าชั้นสักที๊!!!” บางทีฟุยุกะก็คิดนะคะว่าถ้าชิโอริที่รักมาเห็นจะโดนอะไรบ้าง..

          “อ่ะ! นี่ทิชชู่ เช็ดหน้าซะ พอมั้ย เดี๋ยวไปขอคุณโอดะเพิ่มดีมั้ย ดูเหมือนจะไม่พอเลยพวกแก”

          “ฉันว่าสองคนนี้เมาหนักแล้วเนี่ย ยิ่งริสะนี่พึ่งเคยเห็นออกอาการขนาดนี้นะ ฮ่าๆ ตลกจัง”

          “แกก็…สงสารเพื่อน อย่าไปขำมันสิ เอ้าาา!!! ร้องไห้หนักกว่าเดิมแล้วนั่น! คุริ!!!”

          “ขอโทษที งั้นฉันไปเรียกพนักงานมาช่วยหิ้วพวกนี้ก่อนนะ” เพราะพวกหล่อนทุกคนตัวแทบจะเตี้ยกว่าสองคนนี้ทั้งนั้น แรงน้อยกว่าด้วย เอ้อ พอเมาแล้วโคตรภาระเพื่อนเลย..

          “อืม ให้ไวเลยจะล้มลงไปนอนที่พื้นแล้วเนี่ย”

          สุซุโมโตะรีบวิ่งระริกระรี้ไปหาคุณโอดะเจ้าของร้าน ถ้ามีหูกับหางมันคงกระดิกไม่หยุดแล้ว พูดไปซักสองสามประโยคโอดะก็เรียกพนักงานคนสนิทสองคนไปช่วยหิ้วปีกสองคนนั้นกลับบ้าน


          “วันนี้ก็วุ่นวายอีกแล้วเนอะคุมิ” หลังหิ้วพาลูกค้าทั้งสองไปส่งแท็กซี่แล้วหนึ่งในพนักงานสองคนนั้นก็พูดขึ้น

          “อืม ว่าแต่ตัวเองกลับบ้านไปแล้วเค้าขออาบน้ำก่อนได้มั้ยอะ?”

          “อื้อ แล้วแต่สิ ใครห้าม”

          “เอ๊ หรืออาบด้วยกันดี?”

          “..” คู่สนทนาดันเงียบใส่คุมิซะงั้น

          “เงียบแปลว่าตกลงนะ♡” ซาซากิหัวเราะหึๆในลำคอ รวบเอวอีกฝ่ายมากอดแล้วขโมยหอมแก้มไปอย่างอารมณ์ดี

          วันนี้ก็ได้รางวัลจากชิโฮะอีกแล้ว

ใส่ความเห็น