Capuchino (KumiShiho)

Capuchino (KumiShiho) : SP

SP : April Fool’s Day

fbaa6d6da3cb5de4709b1eec8834d-02


          10:25 น.

          1 เมษายน

          ร่างของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมดัดลอนสีช็อคโกแลตที่ยาวเกือบถึงกลางหลังกำลังหลับตาพริ้มซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ถึงแม้ว่านี่จะเป็นหน้าร้อนแต่อุณภูมิภายในห้องกลับเย็นเฉียบ ลมเย็นจากแอร์ที่ตกลงมากระทบผิวเนียนทำให้หล่อนดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงคอ ขยับตัวเข้าหาอีกร่างที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน อีกคนก็เหมือนจะรู้ว่าโดนคุกคามจากเจ้าของห้องซะแล้วถึงได้เอื้อมมือไปดึงร่างนั้นมากอดแนบตัวเอาไว้ คิดว่าหล่อนคงหนาว

คาโต้ร้องอือเบาๆยอมให้เขากอดแต่โดยดี หล่อนยังไม่อยากตื่น เพราะวันนี้เป็นวันหยุดด้วย จะตื่นสายเท่าไหร่ก็ได้ พวกเธอสองคนถึงได้นอนอุดอู้อยู่บนเตียงแบบนี้ทั้งๆที่ตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นมาอยู่กลางหัวในอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว

          “ชิโฮะ” เสียงเขาเรียกเบาๆที่ข้างหู หมอนข้างจำเป็นของคาโต้เริ่มขยับตัวแล้ว หล่อนเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่หัวเตียงมาเปิดดูเวลาด้วยท่าทางสลึมสลือ ดูเวลาเสร็จก็อยากจะฟุบลงไปนอนต่อแต่ติดอยู่ที่ว่ามันสายมากแล้ว คงต้องปลุกตัวนอนกินบ้านกินเมืองไปกินข้าวก่อน ซาซากิกลัวเหลือเกินว่าชิโฮะจะเป็นโรคกระเพาะ อีกฝ่ายชอบกินข้าวไม่ตรงเวลา บางวันกินไม่ครบสามมื้อด้วย น่าเป็นห่วง

          “ตื่นได้แล้ว ชิโฮะ จะสิบเอ็ดโมงแล้วนะ”

          “…..ขออีกห้านาที”

          เจ้าตัวยืนกรานแบบนั้นคุมิเลยคิดว่าจะลุกไปอาบน้ำก่อน ปล่อยให้ยัยลูกแมวนอนซุกผ้าห่มไป แต่พอคนอายุมากกว่ากำลังจะก้าวลงจากเตียงก็โดนคว้าข้อมือเอาไว้ก่อน สายตาอ้อนๆถูกส่งมาจากคนที่นอนอยู่บนเตียง หล่อนออกแรงดึงข้อมือของซาซากิเบาๆราวกับอยากจะบอกว่าให้ลงมานอนต่อด้วยกัน คุมิเห็นแบบนั้นก็กลับมานอนลงข้างๆคนตัวเล็กกว่าเหมือนเดิมเพราะแพ้ลูกอ้อนของยัยเหมียว

          “ยังง่วงอยู่หรอ? นอนไปเยอะแล้วนะนั่น”

          เขาว่าพลางดึงรั้งอีกฝ่ายเข้ามากอด ซุกไซร้ไปตามลำคอระหงชวนให้หญิงสาวอีกคนออกอาการจั๊กจี้อยู่ไม่น้อย หล่อนเอามือดันหน้าเขาออกห่างๆจากคอตัวเองไวๆก่อนจะโดนกวนให้ไม่ได้นอนต่ออย่างสบายใจ แต่ดูเหมือนคนขี้แกล้งจะไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น มือซนสอดเข้าสาบเสื้ออีกฝ่าย ลูบผ่านเอวคอดทำให้ชิโฮะสะดุ้งตัววาบ รีบตะครุบมือซนๆนั่นเอาไว้ก่อนมันจะเลยเถิดไปไหนต่อไหน

          “คุมิ จะนอน” คาโต้พูดเสียงสะบัดติดงอนๆ มุ่ยหน้าคิ้วขมวดแล้ว หล่อนพลิกตัวหันไปนอนตะแคงข้างอีกด้านแทน หันหลังให้คุณแฟนขี้แกล้ง

          “ไม่งอนสิ” คุณเจ้าของร้านกาแฟจัดการย้ายตัวเองไปนอนดักหน้าอีกฝ่ายเหมือนเดิมเคลื่อนหน้าไปประทับรอยจูบลงบนมุมปากของคนรักเป็นการง้อ มือโอบเอวบางเข้ามาแนบตัว “ให้นอนก็ได้ แปปเดียวพอนะ”

          ดวงตาหวานช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่าย เหมือนจะหายงอนไปแล้วพอเขาบอกให้นอนต่อได้ หล่อนขยับแขนไปโอบรอบคออีกฝ่ายแล้วดึงรั้งลงมาประทับริมฝีปากเบาๆเป็นการขอบคุณแล้วก้มหน้างุดซุกซอกคอเขา ลมหายใจรดลงบนต้นคอของคุมิทำให้ยากที่จะอดใจไหว ยิ่งชิโฮะใส่ชุดนอนบางๆยิ่งทำให้สติคุณเจ้าของร้านสติแทบจะเตลิด

 

          มือเย็นไล้กลับเข้าไปในสาบเสื้อบางของหญิงสาวอายุน้อยกว่าให้เจ้าของร่างสะดุ้ง ดวงตาสีช็อคโกแลตลืมพรึบขึ้นมามองคนตรงหน้า ปากกำลังจะร้องประท้วงแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ริมฝีปากของหล่อนโดนปิดสนิทโดยริมฝีปากอีกคู่ที่ทาบทับลงมา สัมผัสเย็นวาบไปตามเรือนร่างของออฟฟิศเลดี้คนสวย มือของหล่อนบีบไหล่ของคนตัวสูงไว้แน่น ซาซากิขบกัดริมฝีปากล่างของคาโต้เบาๆ ให้เจ้าตัวครางลำคอเบาๆ

          “อื้อ..”

          สัมผัสจากมือของคนตัวสูงขยับทาบไปเรื่อยๆก่อนมาหยุดที่ก้อนเนื้อนุ่ม คุมิไล้ริมฝีปากไปกดจูบลงบนคอขาวของอีกฝ่าย พรมจูบลงไปเรื่อยก่อนจะขบกัดเป็นรอยแดงด้วยฟันคมของคนอายุมากกว่า เสียงเบาๆลอดออกมาจากคอของชิโฮะอีกครั้งพอดีกับที่มือเรียวของคุมินวดคลึงหน้าอกคู่สวยภายใต้สาบเสื้อบางที่ชิโฮะใส่เอาไว้

ซาซากิตัดสินใจละสัมผัสทั้งหมดออกแล้วพลิกขึ้นมาคร่อมร่างคนตัวเล็กเอาไว้ มือเชยคางน่ากัดนั่นให้เงยหน้าขึ้นมาสบตาก่อนเคลื่อนหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย ปิดริมฝีปากที่แดงเรื่อขึ้นเล็กน้อยเพราะรสจูบนั่นอีกครั้ง สัมผัสนุ่มนวลถูกถ่ายทอดให้อีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง สัมผัสเย็นจากมือของคุณเจ้าของร้านกาแฟไล่จากหน้าท้องแบนราบไปยังสะโพกผาย

          “คุมิ..”

          “เรียกพี่สิ..” ซาซากิช้อนตาร้องขอเหมือนลูกหมา นานๆทีจะแสดงด้านนี้ออกมาจนทำให้ชิโฮะลอบกลืนน้ำลายย่างยากลำบาก หล่อนหายใจติดขัดเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆที่ลูบผ่านขาอ่อนด้านในไป กางเกงขาสั้นที่ใส่นอนเหมือนจะไม่มีประโยชน์อีกแล้วเมื่อมันถูกร่นออก

          “พ..พี่คุมิ” หล่อนพูดอายๆ เบนหน้าไปมองทางอื่น นี่มันเพิ่งจะสายๆเองนะ แทนที่เธอจะได้นอนต่อดันกลายเป็นทำกิจกรรมเผาผลาญแคลอรี่ไปซะแล้ว  

          ถึงในใจจะคาดโทษเขาเอาไว้ต่างๆนานาแต่สองมือก็ดึงรั้งอีกฝ่ายลงมาประกบริมฝีปากด้วยกันอีกครั้ง ซาซากิรวบนิ้วเรียวทั้งสองกดเข้าไปในร่างเจ้าของห้อง หล่อนจิกเล็บลงบนหลังของเขาแน่น เสียงครางแผ่วเบาถูกเปล่งออกมาจากลำคอหลังทั้งสองผละริมฝีปากออกจากกัน คุมิค่อยๆทำรอยสีกุหลาบไปเรื่อยๆตามมุมอับตรงคอขาวของอีกฝ่าย

หญิงสาวใต้การปกครองหลับตาแน่น กัดริมฝีปากล่างกลั้นเสียงน่าอายของตัวเองเต็มที่ นิ้วเรียวที่ค้างอยู่ภายในก็เริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ ท้องน้อยของหล่อนร้อนวูบ ร่างกายบิดเกร็งสั่นไหวกับสัมผัสที่ได้รับมาจนสุดท้ายก็มีเสียงครางแผ่วเล็ดลอดออกมาจนได้

          ฮ๊า….แฮ่ก…แฮ่ก….

          ปลายเท้าของคาโต้จิกเกร็งลงกับเตียง เสียงเนื้อกระทบกันดังคลอไปกับเสียงหอบกระเส่าของหญิงสาวเจ้าของห้อง เหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาตามไรผมของหล่อนเมื่อรู้สึกได้ถึงนิ้วที่สามที่ถูดสอดแทรกเข้ามาจนคับแน่น หล่อนแทบสะอึก คืนก่อนยังไม่ขนาดนี้ สงสัยคุณเจ้าของร้านกาแฟคงอยากคิดบัญชีเต็มแก่แล้วกระมัง..

ดวงตาสีช็อคโกแลตปรือขึ้นมองคนรัก แอบหมั่นเขี้ยวพอเห็นคอของเขาอยุ่ตรงหน้า หล่อนโน้มคอของอีกฝ่ายลงมาใกล้ๆซึ่งเขาก็ยอมขยับเข้ามาหาแต่โดยดี เขี้ยวแหลมตรงมุมปากกดลงแนบต้นคอของคนด้านบนแต่หล่อนก็ต้องชะงักไปเมื่อสัมผัสร้อนตรงช่วงล่างกดลึกเข้ามาจนสุดจนเผลอปล่อยเขี้ยวที่กำลังกัดออก ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวเมื่อเขาขยับนิ้วออกจนเกือบสุดแล้วกระแทกกลับมาซ้ำๆ

          ก่อนที่ทั้งโลกจะกลายเป็นสีขาวโพลน

          .

          .

          .

          .

          11:32 น.

          หลังเสร็จกิจกรรมเรียกเหงื่อยามสายคุมิก็ปล่อยให้อีกฝ่ายนอนต่อตามสัญญา แต่ก็ไม่ได้นานมากนัก ให้นอนแค่พอหายเหนื่อย ระหว่างที่ปล่อยให้ชิโฮะนอนไปตัวเองก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปทำอาหารง่ายๆรอให้ลูกแมวแสนดื้อที่นอนอยู่บนห้องตื่นมานั่งกินด้วยกัน

          “ชิโฮะ ตื่นได้แล้ว ไปอาบน้ำเร็ว วันนี้มีนัดกับอายะป้งตอนบ่ายไม่ใช่หรอ”

          ซาซากิขึ้นมานั่งบนเตียง แตะแก้มนิ่มของคนรักเบาๆก่อนเขย่าไหล่เขาให้ตื่น ชิโฮะที่พอได้ยินคำว่า ‘นัด’ ก็เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ รีบเกาะแขนคุมิที่ยื่นมาประคองพาตัวเองไปอาบน้ำโดยเร็วก่อนที่จะไม่ทันกินข้าว ไหนจะแต่งหน้าโบ๊ะแป้งอีก ถ้าไม่รีบตื่นต้องได้เบี้ยวนัดอายากะแน่ๆ

 

          “คุมิ”

          “หืม?”

          “เกลียด”

          “เอพริลฟูลเดย์ล่ะสิ” พูดยิ้มๆ

          “ชิ ว่าจะหลอกซักหน่อย รู้ทันหรอกหรอ”

          คุมิหัวเราะเบาๆ ยีหัวยัยลูกแมวอย่างหมั่นเขี้ยว จะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ ก็เธอเป็นคนตื่นมาดูเวลาก่อนปลุกชิโฮะนี่นา

          “แล้ววันนี้อายะป้งมารับที่บ้านหรอ?”

          ช่วงนี้ชิโฮะตัวติดกับ ‘ทาคาโมโตะ อายากะ’ เป็นพิเศษ ถ่ายรูปด้วยกัน เที่ยว กินข้าว อยู่ด้วยกันตลอด เพราะคุมิเป็นเจ้าของร้านกาแฟเลยอยู่ติดร้าน ตอนเย็นๆก็ต้องเปลี่ยนกะกับ’มิเรย์’น้องรัก เลยขึ้นไปหาชิโฮะไม่ได้ แต่ถ้าแว้บขึ้นไปตอนเช้าก็จะเห็นคุยเล่นกับอายากะอยู่สองคน

          หมั่นไส้

          เป็นความรู้สึกแรกที่นึกถึงทันทีที่หล่อนเห็นภาพนั้น พยายามไม่เก็บมาคิดมาก แต่นานวันเข้าก็เหมือนจะสนิทกันมากเกินไป มีอยู่หลายครั้งที่คุมิอยากจะเข้าไปจับแยก ถ้าไม่ติดว่ากลัวโดนชิโฮะเหวี่ยงใส่ก็คงเข้าไปแยกแล้ว เธอยังไม่อยากนอนนอกห้องซักเท่าไหร่

พูดถึงอายากะแล้วก็นึกถึง ‘ไซโต้ เคียวโกะ’ คนรู้จักของชิโฮะที่เปิดร้านราเม็งอยู่ข้างๆบริษัทนั่นแหละ เห็นว่ากำลังตามจีบอายากะอยู่ แต่เหมือนสาวเจ้าจะไม่เล่นด้วยเท่าไหร่ ชิโฮะแอบกระซิบบอกมาว่าอายากะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ช่วงนี้คุมิถึงไปหาเคียวโกะบ่อยๆ คุยเรื่องอายากะบ้างชิโฮะบ้าง หรือไม่ก็เรื่องไร้สาระทั่วๆไปจนตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทคนนึงของคุมิแล้ว บางครั้งถ้าซาโตชิเพื่อนรักว่างก็จะชวนไปหาอะไรกินที่ร้านของเคียวโกะเหมือนกัน แต่ตอนที่ไปชวนก็ต้องคอยหลบสายตาทิ่มแทงของฟุยุกะที่มองมาตลอด

          โคตรน่ากลัวเลย ชิโอริทนได้ไงเนี่ย..

          วันนี้ทั้งชิโฮะและอายากะก็จะออกไปข้างนอกด้วยกันทั้งๆที่นานๆทีจะได้อยู่ด้วยกันทั้งวันแท้ๆ ซาซากิคิดแล้วก็แอบน้อยใจ

          “อื้อ อีกไม่เกินห้านาทีก็คงถึงแล้วแหละ”

          ฝ่ายคาโต้หลังพูดจบก็เห็นอาการนอยด์ๆของคุณแฟนเลยขยับไปหอมแก้มเขาเบาๆเหมือนจะขอโทษที่วันนี้ไม่ได้อยู่ด้วย รู้หรอกว่าคิดอะไรอยู่

          เขากลายเป็นคนคิดมากแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ..

          “รีบกลับมานะ..”

          กอดร่ำรากันอยู่บนโซฟาซักพักก็มีเสียงออดดังขึ้นพอดี ชิโฮะรีบหยิบกระเป๋า จุ้บปากคุมิไปอีกทีนึงแล้วยิ้มหวานให้ก่อนจะเดินไปที่หน้าประตูบ้าน อายากะรออยู่ข้างนอกอยู่แล้ว ที่จริงชิโฮะอยากให้อายากะไปช่วยเลือกของขวัญครบรอบที่คบกับคุมิครบสามปีแล้วต่างหาก

          เวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกิน

          หล่อนคิดขณะทักทายเพื่อนสนิทและพากันเดินไปเรียกรถจะได้นั่งไปห้างใหญ่ๆแถวย่านการค้า ที่นั่นน่าจะมีของให้เลือกเยอะกว่าห้างแถวบ้านของเธอ

          หลังจากวันที่คบกันก็จะสามปีแล้วสินะ

          ระหว่างนั้นก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เป็นเรื่องวุ่นๆภายในบริษัท เดี๋ยวแผนกนู้นก็มีคนย้าย เดี๋ยวแผนกนั้นก็มีคนยื่นเรื่องลาออก กว่าจะจัดการให้ลงตัวได้เหมือนเดิมก็เล่นหลายๆคนหัวหมุนไปตามๆกัน แต่ก็คงไม่เท่าคุณประธานบริษัทซักเท่าไหร่ เห็นหล่อนนั่งทำงานอยู่ในห้องทั้งวันแบบนั้น ที่จริงหัวหมุนยิ่งกว่าพนักงานทุกคนเสียอีก

          แต่เรื่องที่หนักสุดๆที่ชิโฮะมีส่วนร่วมก็คงเป็นเรื่องของชิโอริล่ะมั้ง

          รายนั้นกว่าจะสมหวังก็เกือบๆสี่ปี เพราะไม่ยอมบอกความรู้สึกตัวเองออกไปจนสุดท้ายไซโต้ซังถึงต้องย้ายกลับมาอยู่ด้วยเหมือนเดิม ชิโอริก็โดนคุมิเสี้ยมทุกวันว่าให้ลองบอกตอนหลับสิ แถมดูเหมือนเขาจะทำแบบนั้นจริงๆจนตอนนี้สองคนนั้นก็คบกันเป็นแฟนเรียบร้อยแล้ว

          นับเป็นเรื่องดีๆเรื่องนึงก็คงจะได้

          “ชิโฮะอยากได้ของแบบไหนให้ซาซากิซังหรอ?” เป็นเสียงของอายากะที่เข้ามาฉุดชิโฮะออกจากภวังค์ของตัวเอง หญิงสาวเจ้าของเรือนผมลอนขมวดคิ้วคิดหนัก คิดแล้วคิดอีกจนสุดท้ายก็ตอบออกไป

          “เอาเป็น……”


          16:04 น.

          “กลับมาแล้ว”

          เสียงล้าๆของคาโต้ดังขึ้นที่หน้าประตูบ้าน หล่อนค่อยๆปิดประตูเสียงเบา ในมือหิ้วของพะรุงพะรังไปหมด ตอนแรกเธอคิดว่าจะซื้อแค่ของวันครบรอบ แต่ไปๆมาๆดันได้เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง และอื่นๆอีกมากมายก่ายกองกลับมาด้วย

          “กลับมาแล้วหรอ? แล้วนี่ซื้ออะไรมาเยอะแยะ หืมม?” ถึงปากจะพูดดุแต่มือนี่เข้าไปรับของที่อีกฝ่ายส่งมาให้ช่วยถือแล้ว หน้าตาหล่อนดูเหนื่อยสุดๆเลยด้วย คงปวดไหล่น่าดู

          “ก็นานๆทีจะได้ออกไปช็อปบ้างอะไรบ้าง..มันเลยเผลออะ”

          คุมิได้แต่ส่ายหน้าคล้ายจะเอือม คนตัวสูงรับของทั้งหมดที่ชิโฮะถือมาไว้ในมือ ยกไปเก็บไว้บนห้องนอนให้ วางอย่างระมัดระวังเพราะของบางอย่างจากที่แอบดูแบรนด์แล้วก็ค่อนข้างแพง ถ้าแตกหักหรืออะไรขึ้นมาต้องได้นอนนอกห้องเป็นเดือนแน่ๆ

          “ปวดไหล่มั้ย?” หลังเก็บของเสร็จแล้วซาซากิก็ลงมาข้างล่าง เห็นคนรักกำลังรินน้ำเย็นใส่แก้วอยู่บนโซฟาตัวโปรดเลยถามออกไปก่อนเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วออกแรงนวดไหล่ให้ ชิโฮะพูดขอบคุณเบาๆ เธอนั่งนิ่งให้คุมินวดไหล่อย่างเต็มใจ เพราะอาการเหนื่อยล้าสะสมจากเมื่อเช้า แถมได้พักแค่แปปเดียวก็ต้องออกไปซื้อของอีก ไม่แปลกที่จะเหนื่อยแบบนี้

          “จริงสิชิโฮะ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะบอก”

          “? อะไรหรอ?”

          จู่ๆคุมิก็หยุดมือที่กำลังนวดไหล่ของอีกฝ่ายแล้วย้ายตัวเองลงมานั่งข้างๆเขา ดึงมือนิ่มของชิโฮะมากุมเอาไว้ ตอนนี้เองที่หญิงสาวเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล คุมิจะบอกอะไร? ทำไมถึงต้องทำหน้าแบบนั้น?

          “คือว่านะ..”

          “เราเลิกกันเถอะชิโฮะ”

          ราวกับมีฟ้าผ่าลงที่กลางใจ มือของหล่อนเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ ทำไมถึงต้องเป็นตอนนี้…

          แต่เดี๋ยว วันนี้มันเอพริลฟูลเดย์นี่นา?

          “คุมิ..พูดโกหกแบบนี้ไม่ตลกนะ”

          “…ไม่เคยได้ยินหรอว่าถ้าโกหกในวันเอพริลฟูลหลังเที่ยงแล้วมันจะเป็นจริงน่ะ?”

          “…”

          หล่อนพูดไม่ออก มันจุกไปหมดจนเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง ดวงตาคู่สวยยังมองไปที่คนตรงหน้า อยากให้เขาบอกว่าล้อเล่น ไม่ได้คิดที่จะเลิกจริงจัง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิดให้เขาบอกเลิกแบบนี้ มือที่ถูกมือของเขากุมเอาไว้บีบแน่น

          “ทำไม..” คาโต้พูดเสียงสั่น หล่อนก้มหน้าลง หยดน้ำใสๆที่ไหลออกมาจากดวงตาสีช็อคโกแลตนั่นหยดลงบนหลังมือของคุมิ ชิโฮะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง มืออีกข้างที่ไม่ได้ถูกกุมปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ แต่เช็ดเท่าไหร่ก็เช็ดไม่หมดเสียที หล่อได้แต่คาดโทษตัวเองอยู่ในใจที่มาร้องไห้ต่อหน้าเขาแบบนี้

          “อย่าร้องไห้สิคนดี เงยหน้าขึ้นมาก่อน”

          “ชิโฮะ..”

          เสียงนุ่มของคุมิเรียกพร้อมกับสัมผัสอุ่นๆที่โอบรัดตัวของหญิงสาวเจ้าของบ้าน เธอซบหน้าลงกับบ่าของเขา ให้เสื้อของเขาซับน้ำตา นี่อาจจะเป็นกอดครั้งสุดท้ายระหว่างตัวเธอกับเขาแล้วก็ได้..

          “เลิกร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่สวยหรอก” คุมิพูดที่ข้างหูพลางลูบหลังอีกฝ่ายไปด้วย ริมฝีปากไล่จูบซับน้ำตาบนใบหน้าสวยนั่น แววตาของเขายังคงมีความรักใคร่ผู้หญิงตรงหน้าอยู่เต็มเปี่ยม ใครดูก็รู้ แต่คงไม่มีใครคาดเดาความคิดของคุมิได้ว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่

          “ฟังให้จบนะชิโฮะ” หล่อนผงกหัวเบาๆ นิ่งฟังว่าคุมิจะพูดอะไร

          “เราเลิกกันเถอะ..เลิกเป็นแฟนกัน”

          “แล้วเรามาคบกันใหม่ในฐานะสามีภรรยาดีกว่า”

          “…เอ๊ะ?” นี่เธอฟังไม่ผิดใช่มั้ย…ไม่ผิดแน่ๆใช่มั้ย

          อยู่ๆน้ำตาที่เริ่มหยุดไปแล้วก็กลับมาไหลอีกครั้ง หากแต่คราวนี้มันเป้นน้ำตาแห่งความปิติ ชิโฮะกอดคุณเจ้าของร้านกาแฟแน่นๆ เธอนึกว่าจะต้องจบความสัมพันธ์แสนมีค่าของตัวเองในวันก่อนวันครบรอบเพียงแค่ไม่วันเสียแล้ว

          “คำตอบล่ะ?”

          “…อื้ม”

          เป็นคำตอบสั้นๆง่ายๆ เหมือนกับวันที่หล่อนตกลงคบกับเขา คุมิดันร่างหญิงสาวออกเล็กน้อย แกะมือที่กอดตัวเองออก ตอนแรกเหมือนชิโฮะจะงอแงไม่ยอมปล่อย แต่พอเห็นสิ่งที่คุมิหยิบออกมาสวมเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอก็ยอมแต่โดยดี นั่งเป็นลูกแมวหงอยเงียบๆอยู่บนตักเขา สัมผัสเย็นของเนื้อแหวนบนนิ้วนางทำให้หัวใจของหล่อนพองโตอย่างบอกไม่ถูก

          “หงอยเป็นลูกแมวอีกแล้ว..ขอโทษนะที่ทำให้ร้องไห้”

          “คุมิอยากเซอร์ไพรส์ใช่มั้ยล่ะ..เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก..แล้วก็นะ..”

          “?”

          คนอายุมากกว่าทำหน้าฉงน แต่สัมผัสเย็นที่รอบคอก็เหมือนเป็นคำตอบ สร้อยเงินที่ห้อยจี้อเมทิสต์เอาไว้ถูกสวมใส่โดยคนที่ซื้อมันมา หล่อนดูพอใจกับมันมาก คิดไว้ไม่ผิดว่ามันคงเข้ากับคุมิ

          “สร้อยคู่น่ะ ที่จริงกะจะให้วันครบรอบ แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว..ให้เลยแล้วกัน”

          “ซื้อมาวันนี้หรอ?”

          “อื้อ..”

          ออฟฟิศเลดี้คนสวยก้มหน้างุดกับบ่าของเขาเขินๆ ยกแขนขึ้นโอบกอดร่างสูงเหมือนเมื่อครู่ หล่อนชอบกอดเขา มันอบอุ่น เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ค่อยถูกเท่าไหร่นัก คงจะเหมือนที่เขาชอบจูบเธอบ่อยๆเหมือนกัน

          “คุมิ”

          “ว่าไง?”

          “รักนะ”

          “รักเหมือนกัน”

 

Capuchino (KumiShiho)

Capuchino (KumiShiho) : 03 [END]

03 : My lips taste like capuchino

39791a727cb2173fbbbda7c2368ed-02


          “ชิโฮะ…”

          พอเสียงอ่อนแรงของเขาถูกเปล่งออกมาจากทำคอพร้อมสัมผัสอ่อนโยนที่คุ้นชินทำให้ชิโฮะรีบช้อนตาขึ้นมอง สบตากับอีกฝ่ายเพียงชั่วขณะก่อนที่หลอนจะหลบสายตาด้วยการมองไปทางอื่น เป็นเพียงชั่วครู่ที่เหมือนความรู้สึกจะชัดเจนขึ้นมามากกว่าปกติ

          แต่หล่อนก็ยังไม่มั่นใจกับมันมากนักเท่าไหร่

          มือเรียวยกขึ้นจับมือของอีกฝ่ายออกจากศีรษะของตัวเอง นิ้วของซาซากิไล้ผ่านเรือนผมสีช็อคโกแลตไปจนถึงมือนิ่มของชิโฮะ เธอมองมือของตัวเองและอีกคนที่สัมผัสกันอยู่ กำลังคิดตัดสินใจว่าจะทำตามใจตัวเองดีมั้ย หรือจะปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไปอีก แต่คงไม่มีการบุกบ้านครั้งต่อไปอีกแล้วถ้าหากปล่อยโอกาสนี้ไป แต่ก่อนที่คุมิจะได้พูดอะไรก็เป็นชิโฮะที่ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

          “ข..เข้าไปนั่งข้างในก่อนมั้ย?..”

          .

          .

          .

          .

          .

          กึก

          เสียงแก้วน้ำกระทบกับพื้นโต๊ะตรงหน้าหญิงสาวเจ้าของบ้านนี่เอง หล่อนนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นที่หันหน้าเข้าทีวี เพราะบ้านนี้หล่อนอยู่คนเดียว นานๆทีพ่อกับแม่จะมาหาเลยมีโซฟายาวเพียงตัวเดียว ทำให้คุมิต้องมานั่งข้างๆ ต่างคนต่างเงียบโดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ลอบมองกันเป็นระยะ ไม่มีคำพูดใดเล็ดรอดออกมา

          “ถ้าไม่รีบดื่มมันจะเย็นก่อนนะ” ซาซากิว่าพลางยกแก้วชาขึ้นจิบ หล่อนเป็นคนอาสาไปชงมาให้เองถึงในตอนแรกเจ้าบ้านจะปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่เพราะชาที่คุมิชงมีรสถูกปากกว่าเจ้าตัวถึงได้ยอมมานั่งรออยู่ที่โซฟา

          อย่างกับลูกแมวหงอยๆเลย

          คุมิคิด ตาก็เหลือบมองอีกฝ่ายที่ยกแก้วชาขึ้นมาจิบบ้างแล้ว หล่อนเบะปากน้อยๆเพราะชาที่ยังร้อนอยู่ก่อนที่จะวางแก้วลงบนโต๊ะเหมือนเดิม ท่าทางเมื่อกี้เห็นแล้วคุมิก็อยากจะกระโดดฟัดจริงๆ ถ้าอยู่ที่ร้านไม่มีทางได้เห็นอะไรแบบนี้แน่ๆเพราะชิโฮะสั่งแต่คาปูชิโน่เย็น เห็นเคยพูดว่ามันสดชื่นช่วนให้ตาสว่างทำโอทีต่อได้

          “แล้ว..คุมิมาถึงบ้านเลย มีอะไรรึเปล่า?..” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่าถาม ยังคงก้มใบหน้างุดๆมองถ้วยน้ำชาที่ยังคงมีไอร้อนลอยออกมา ตอนนี้หล่อนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าพอหลบหน้าไปนานๆแล้วจะโดนบุกมาถึงบ้านแบบนี้ ปกติคุมิไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา…

          “ก็….” พูดได้แค่นั้นแล้วก็เงียบไปเหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดใหม่อยู่ “เห็นชิโฮะไม่ค่อยไปที่ร้านเลยเป็นห่วงน่ะว่าเป็นอะไรรึเปล่า..”

          คาโต้ชะงักไปก่อนที่จะหันกลับไปมองซาซากิ เธอไม่คิดว่าตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วงถึงขั้นมาหาที่บ้านได้ อย่างมากก็คงแค่โทรมา แต่นี่ไม่โทรไม่ส่งข้อความมาก่อนล่วงหน้า แต่กลับดิ่งมาหาเลย

          เธอจะคิดเข้าข้างตัวเองได้มั้ยนะ..

 

          “ฮื่อ..เปล่าหรอก แค่ช่วงนี้งานมันเยอะๆน่ะเลยลงไปซื้อเองไม่ค่อยได้..”

          “กลับบ้านด้วยกันก็ไม่ได้หรอ?”

          พอโดนสวนกลับมาด้วยประโยคนี้ชิโฮะก็แทบสะอึก ใช่ หลังจากเริ่มหลบหน้าคุมิทั้งสองคนก็ไม่ได้กลับบ้านด้วยกันอีกเลย ชิโฮะมักจะกลับก่อนเสมอ คุมิเองก็มักจะเห็นหญิงสาวเดินผ่านหน้าร้านไปตลอด หล่อนไม่แม้แต่จะหันมายิ้มให้เหมือนอย่างที่ทำเป็นปกติ รีบร้อนก้าวออกไปก่อนที่หญิงสาวเจ้าของร้านกาแฟจะร้องทักด้วยซ้ำ

          “…” ชิโฮะพูดไม่ออก ตอนนี้ก็นั่งเงียบจนรู้สึกถึงสัมผัสที่โอบรอบตัวเอง ดึงรั้งให้ขยับกายไปชิดเจ้าของอ้อมกอดนั้น เงยหน้าขึ้นไปก็ต้องผงะออกเพราะใบหน้าที่ใกล้กันเกินไป ขยับไปเอาหัวพิงไหล่เขาเอาไว้แทน บรรยากาศน่าอึดอัดเริ่มหายไปทีละน้อยหลังออฟฟิศเลดี้คนเก่งยอมรับอ้อมกอดจากคุณเจ้าของร้านกาแฟ

          “ฉันก็แค่เป็นห่วง…ช่วงนี้เธอทำตัวแปลกๆเหมือนหนีหน้าฉันนี่นา..”

          คุมิว่าพลางก้มลงฝังจมูกลงกับเรือนผมสีช็อคโกแลตตรงหน้า กลิ่นแชมพูที่หอมติดจมูกของชิโฮะ เธอจำมันได้ดีเพราะมักจะได้กลิ่นแชมพูนี่ตอนที่ชิโฮะเข้ามาใกล้ๆตัว เป็นกลิ่นที่ตัวเธอเองชอบมากๆ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

          “..เปล่านะ ไม่ได้หนีซักหน่อย..” ประโยคหลังหล่อนผ่อนเสียงลงราวกับไม่แน่ใจในคำพูดของตัวเอง อยากยกแขนขึ้นไปกอดตอบ แต่ก็แข็งใจเอาไว้ ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าเขากอดเพราะความรู้สึกยังไง เพื่อน? คนที่ชอบ? คนสนิท?

          “แล้วทำไมไม่ยอมกลับบ้านด้วยกัน?”

          “ก็…”

          หล่อนจนคำพูดอีกครั้ง เป็นเหตุให้คุมิคลายกอดออก ตอนแรกชิโฮะก็แอบเสียดาย หล่อนยังอยากอยู่ในอ้อมกอดนั่นให้นานกว่านี้ แต่แล้วสองมือของคุมิก็จับไหล่หญิงสาวอีกคนให้หันมามองหน้ากันตรงๆ ตาสบตา อยู่ๆใบหน้าของคาโต้ก็ร้อนวูบก่อนหลบสายตาไปมองทางอื่นอย่างเช่นเคย

          “อย่าหลบตาสิชิโฮะ”

          มือเรียวเชยคางคนที่เพิ่งหลบตาให้เงยหน้าขึ้นมา คนตัวสูงกว่าเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งใบหน้าของทั้งสองห่างกันไม่ถึงคืบ มีช่องให้แสงลอดผ่านได้เพียงเล็กน้อยก่อนที่จะไม่เหลือช่องว่างใดๆอีกเลย  คุมิทาบทับริมฝีปากลงไป คราวนี้ไม่มีแผ่นกระดาษมากั้นเอาไว้อีกแล้ว หล่อนอยากจะพิสูจน์คำถามที่ชิโฮะเคยถามเอาไว้ว่า ‘จูบแรกของคนเราเป็นกลิ่นเลม่อนงั้นหรอ?’

ยังไงชิโฮะก็อายุน้อยกว่าคุมิอยู่ดี ประสบการณ์อะไรแบบนี้ก็คงจะน้อยตามอายุไปด้วย หล่อนเลยนั่งนิ่ง ไม่กล้าจูบตอบทำให้ซาซากิเป็นฝ่ายเริ่มนำด้วยการบดเบียดริมฝีปากลงไปเบาๆจนอีกฝ่ายเริ่มตั้งหลักได้และจูบตอบกลับมา เป็นสัมผัสที่ไม่ได้มีความเร่าร้อนอะไร เป็นเพียงจูบที่ใช้ยืนยันความรู้สึกของคนเริ่มเท่านั้นว่าคิดยังไงกับหญิงสาวอีกคน

          “คิดมากเรื่องจูบวันนั้นเลยหลบหน้าใช่มั้ย?” ซาซากิถามหลังจากทั้งสองผละจูบออก นิ้วเรียวเกลี่ยเอาปอยผมออกจากแก้มของอีกฝ่าย แขนอีกข้างโอบกอดรอบตัวหญิงสาวเอาไว้ กลัวหล่อนจะหนีไปแบบคราวที่แล้วอีก

          “อ..อื้อ..ที่จริงก็ใช่..” อีกฝ่ายตอบกลับเสียงแผ่ว ซุกๆมุดๆหน้ากับซอกคอคนตัวสูง เอื้อมมือไปกอดกลับหลวมๆเหมือนไม่ค่อยกล้าที่จะกอดตอบเท่าไหร่ ถึงเขาจะจูบเป็นการยืนยันแล้ว แต่ก็อยากได้ยินคำยืนยันออกมาจากปากของเขาชัดๆมากกว่าใช้การกระทำแบบนี้ “แล้ว..ที่จูบเมื่อกี้..”

          “..รัก”

          “?”

          “จูบเพราะฉันรักชิโฮะไง..”

          จากที่ซุกเขาอยู่ก็แทบจะมุดหายไปเสียตอนนี้ ใบหน้าของคาโต้ร้อนผะผ่าว มือกำชายเสื้อของเขาแน่น ปากเม้มเข้าหากัน หล่อนพูดอะไรไม่ออกพอเขาพูดออกมาตรงๆแบบนี้ เลยได้แต่นิ่งเงียบในอ้อมกอดของคนอายุมากกว่าอยู่แบบนั้น

          “จูบเมื่อกี้…เป็นกลิ่นอะไรหรอ?” คุมิก้มลงถามที่ข้างหูอีกฝ่ายที่ซุกหน้างุดพยายามหลบซ่อนใบหน้าที่แดงระเรื่อเอาไว้ไม่ให้ตัวเองเห็น เธอมองอย่างเอ็นดู ไม่ว่าเวลาไหนชิโฮะก็เป็นคนเดียวจริงๆที่คุมิชอบมอง จะอยู่ในอากัปกิริยาไหนก็น่ารักน่าเอ็นดูในสายตาคุมิทั้งนั้น

เมื่อได้ยินคำถามนี้ หญิงสาวเจ้าของดวงตาสีช็อคโกแลตเหมือนเรือนผมของตัวเองก็ผละตัวออกมาเล็กน้อยให้พอเห็นหน้าอีกฝ่าย หล่อนเผยอปากขึ้นเล็กน้อย พยายามคิดว่ากลิ่นมันเหมือนอะไร

          คงจะเป็นกลิ่นเลม่อนอย่างที่เขาว่า

 

          “เลม่อน..ล่ะมั้ง?”

          “ทีนี้ได้คำตอบของคำถามที่เคยถามไว้รึยัง?”

          ชิโฮะชะงักไปก่อนจะพยักหน้าเบาๆ จากที่เคยกอดเขาเอาไว้หลวมๆ หล่อนขยับแขนขึ้นมาโอบรอบคออีกฝ่ายแล้วดึงลงมาทาบทับจูบอีกรอบ เธอชอบสัมผัสของเขา มันไม่ได้วาบหวามอย่างที่เคยคิดแต่กลับอบอุ่น ทุกครั้งที่ถูกสัมผัสเหมือนถูกสะกดให้มองแต่เขาเพียงแค่คนเดียว

          จูบครั้งแรกที่เป็นกลิ่นเลม่อน

          จูบครั้งที่สองที่เป็นกลิ่นกาแฟ

          ครั้งนี้เนิ่นนานกว่าครั้งที่แล้ว จูบดำเนินไปอย่างเรียบง่าย กลิ่นของกาแฟที่ติดตัวคุมิลอยมาแตะจมูกทำให้หล่อนเผลอเผยอปากขึ้นเป็นช่องว่างให้ลิ้นร้อนของอีกฝ่ายเข้ามาฉกชิงความหวาน ผ่านไปไม่นานหล่อนก็บีบไหล่เขาเบาๆและเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกมาเสียเอง แต่คุมิเหมือนจะไม่ยอมหยุดแค่นั้น หลังจากให้ชิโฮะพักสูดอากาศเข้าปอดไปได้ครู่นึงคนตัวสูงก็ดึงหญิงสาวอีกคนเข้ามาหมายจะประกบปากอีกครั้งแต่ก็โดนดันไหล่เอาไว้เสียก่อน

          “อืออ ค..คุมิ พอก่อน ห..หายใจไม่ทันแล้วนะ”

          เจ้าของร้านกาแฟทำหน้าเสียดาย แต่หล่อนก็ยอมหยุดแต่โดยดี ตาไล่มองไปยังใบหน้าสวยของอีกฝ่ายที่ตอนนี้แต่งแต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อ ปากที่ช้ำเล็กน้อยเพราะรสจูบเมื่อครู่ และเสียงหอบหายใจเบาๆที่ออกมาจากปากของหญิงสาว

          “แล้วตอนนี้ตกลงเราเป็นอะไรกัน ฮึ?” ซาซากิถามออกไปขณะรวบตัวคนตัวเล็กกว่ามากอด ให้เขาพิงไหล่ตัวเองเพราะดูท่าแล้วตอนนี้อีกคนคงไม่กล้ามองหน้าเธอนานๆแน่นอน

          “..” ชิโฮะเหมือนให้ความเงียบเป็นคำตอบของคำถาม หล่อนเม้มปากตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจพูดเสียงเบา “คุมิอยากให้เป็นอะไรล่ะ..ฉันรับได้หมดแหละ”

          “อืมม..นั่นสิ เป็นอะไรดีล่ะ?” เขายิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มร้ายๆเวลาที่นึกอยากแกล้งลูกแมวน้อยในอ้อมกอด แต่ตอนนี้ชิโฮะไม่เห็นหรอก ก็เล่นซุกหน้ากับบ่าของคุมิขนาดนี้ ฝ่ายคนขี้แกล้งเห็นเขาเงียบๆก็เลยพูดใส่ไฟไปอีก “พี่น้องดีมั้ย? ยังไงชิโฮะก็อายุน้อยกว่าฉันตั้งสองปี”

          “….”

          เหมือนตอนนี้คาโต้จช็อคไปแล้ว หล่อนเงียบเสียจนคุมิใจไม่ดี แต่ด้วยความที่นานๆทีจะได้แกล้งยัยลูกแมวหัวดื้อเลยจัดไปอีกประโยคซอฟท์ๆ ไม่ทำร้ายจิตใจกันมากเกินไปเพราะกลัวใจว่าชิโฮะจะวิ่งหนีขึ้นห้อง “ฉันอยากให้ชิโฮะเรียกฉันว่าพี่บ้างน่ะ”

          “…เอาจริง?”

          “ล้อเล่นหรอก ก็ต้องอยากให้เป็นแฟนสิ ไม่งั้นไม่ตามมาหาที่บ้านหรอก” พูดไปก็เอามือขยี้หัวอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว ตอนนี้สาวเจ้ายอมขยับผละออกจากไหล่คุมิออกมานั่งมองหน้ากันตรงๆแล้ว ริมฝีปากของหล่อนยังช้ำอยู่หน่อยๆ แต่คุมิเห็นแล้วก็ลอบกลืนน้ำลาย

          อยากจูบอีก

          “ชิโฮะตกลงมั้ย?”

          “..อื้อ”

          หลังคำตอบที่แสนเรียบง่ายนั่นจบลงคาโต้ก็ถูกปิดปากอีกครั้ง
          แต่คราวนี้คงไม่จบแค่จูบเฉยๆแล้วล่ะ

Capuchino (KumiShiho)

Capuchino (KumiShiho) : 02

02 : Fall in love

0835f7dd66b64dc1fe2503231f98d-02


          เฮ้อ…

          เสียงถอนหายใจดังแผ่วมาจากหญิงสาวที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง หล่อนนั่งเท้าคางมองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีที่มีสีสันของไฟต่างๆแต่งแต้มแทนดวงดาวที่พราวอยู่บนท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่างนั่น ในหัวคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่สามารถลืมสัมผัสนั้นได้เสียที นึกถึงทีไรก็อดที่จะหน้าแดงไม่ได้

หลังจากวันนั้นชิโฮะก็ไม่ได้ลงไปซื้อกาแฟที่ร้านกาแฟของคุมิอีกเลย มีแต่ฝากเพื่อนลงไป ไม่งั้นถ่างตาทำงานไม่ได้แน่ๆ ใจนึงก็อยากถาม อีกใจก็กลัวที่ว่าถ้าถามไปแล้วเขาจะตอบกลับมาเหมือนก่อนหน้านั้นว่า ‘แค่ล้อเล่น’ เรื่องความรักที่ชิโฮะกะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว เจ็บมาก็เยอะกับเรื่องแบบนี้ แต่สุดท้ายก็มาจมปลักกับมันอยู่ดี นิสัยแบบนี้แก้ยังไงก็แก้ไม่หาย เหมือนเป็นนิสัยเสียที่ติดตัวตลอดเวลาไปเสียแล้ว

ระหว่างที่กำลังจมอยู่ในห้วงภวังค์ของตัวเองจนไม่ได้ทำงานทำการเพราะเรื่องที่ชอบโผล่เข้ามารบกวนสมาธิบ่อยๆอยู่นั้นก็มีมือมาแตะเข้าที่ไหล่ของคาโต้ทำให้เจ้าตัวสะดุ้งเบาๆแล้วรีบหันกลับไปมอง เผื่อบอสยังไม่กลับบ้านแล้วมาเดินตรวจ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะหายโหง

แต่ปรากฏว่าเป็น ‘อุเอมุระ รินะ’ เพื่อนต่างแผนกที่ชิโฮะสนิทด้วยต่างหาก

          “เป็นอะไรไปชิโฮะ? เห็นนั่งเหม่อมาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวงานไม่เสร็จก็โดนบอสบ่นอีกหรอก” หญิงสาวอีกคนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้เลื่อนข้างๆโต๊ะทำงานของชิโฮะ เหมือนหล่อนจะเอาเอกสารจากอีกแผนกมาส่งเลยแวะมาคุยด้วย อาจเพราะช่วงนี้ชิโฮะเหม่อลอยบ่อยๆจนเพื่อนๆเป็นห่วงก็ได้

          “เปล่าหรอก.. ก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยน่ะ” รอยยิ้มแหยๆถูกส่งไปให้คู่สนทนา สีหน้าเหนื่อยอ่อนแสดงออกมาชัดเจน จะว่าเป็นเพราะงานก็ไม่ใช่ ก็คงจะเป็นเรื่องของคุณเจ้าของร้านกาแฟข้างล่างนั่นแหละ เจ้าตัวลังเลว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้อุเอมุระฟังดีมั้ย เพราะเพื่อนคนนี้ก็เป็นคนที่เก็บความลับเก่งอยู่พอสมควร น่าจะปรึกษาได้….ล่ะมั้ง

          “คือว่า…มีเรื่องกลุ้มใจนิดหน่อยน่ะ ปรึกษาหน่อยได้มั้ย?” แล้วก็พูดออกไปจนได้

          รินะเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ปกติชิโฮะมีกลุ้มใจเรื่องอะไรบ้างล่ะนอกจากเรื่องงาน แต่ที่จะปรึกษานี่คงไม่ใช่เรื่องงานแน่ๆ เพราะงานรอบนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรใหญ่โตจนต้องเก็บมานั่งเครียดแล้วก็เหม่อลอยแบบนั้น หล่อนเลยพยักหน้าตอบไปเพื่อรอฟังให้เจ้าตัวเขาไขข้อสงสัยที่ตัวเองตั้งขึ้นมาในใจ

หลังจากนั้นชิโฮะก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้รินะฟังโดยตัดทอนรายละเอียดบางอย่าง เล่าไปก็กุมหัวไป ทั้งชีวิตไม่เคยเครียดกับเรื่องความรักขนาดนี้มาก่อน ยิ่งอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงด้วยแล้ว เรื่องแบบนี้มันก็ค่อนข้างที่จะละเอียดอ่อนอยู่พอสมควรทีเดียว

ฝ่ายอุเอมุระ พอได้ยินชื่อของคุมิแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น กอดอกหมุนเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่ไปมา ใบหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ชื่อนี้มันคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินมาก่อนจากใครซักคน..

          ใครซักคน…

          อ้อ รู้แล้ว

          มานากะกับริสะ!

          รินะแทบจะถลาเด้งตัวออกจากเก้าอี้ ถ้าจำไม่ผิดมานากะกับริสะสนิทกับคุมิอยู่พอสมควรเหมือนกันนะ โดยเฉพาะริสะ น่าจะสนิทเป็นพิเศษด้วย คิดถึงตรงนี้ก็ทุบมือลงกับมืออีกข้างคล้ายกับนึกอะไรดีๆออก หญิงสาวเจ้าของโต๊ะก็ได้แต่มองตามงงๆว่าเพื่อนสาวคนนี้เขาเป็นอะไรของเขากัน

          “ชิโฮะรู้จักมานากะกับริสะมั้ย ชิดะ มานากะ กับ วาตานาเบะ ริสะ” พอได้ยินชื่อที่คุ้นๆหูก็พยักหน้าตอบไป ก็เคยคุยกันอยู่หรอกแต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น เพราะอยู่คนละแผนกด้วย สองคนนั้นเขาอยู่แผนกเดียวกับรินะ ที่คุยกันส่วนใหญ่ก็เพราะเรื่องงานด้วย “ทำไมหรอ?”

          “เหมือนสองคนนี้จะสนิทกับคุมินะ ลองไปคุยด้วยดูสิ”

          คาโต้ครางรับงึมงำในลำคอ เหมือนตัวเองจะกลับเข้าสู่ห้วงภวังอีกครั้งจนไม่ได้สนใจอุเอมุระที่ลุกออกไปหลังจากพูดจบแล้ว หล่อนคงอยากปล่อยให้ชิโฮะได้คิดอะไรหลายๆอย่างก่อนตัดสินใจลงมือทำ ท่าทางงานนี้น่าจะสนุกไม่น้อย หลังจากนี้รินะคงทำตัวเป็นคนดีมองจากมุมมองคนนอกแล้วล่ะนะ


หลังจากวันที่ได้คุยกับอุเอมุระ ชิโฮะก็เริ่มมีสมาธิทำงานมากขึ้น ตอนนี้หล่อนกำลังจัดเวลาของตัวเองใหม่ เวลาทำงานก็โยนเรื่องรักๆใคร่ๆทิ้งไปเพื่อตั้งใจทำงาน เดี๋ยวไม่มีเงินกินข้าว ยิ่งเป็นพนักงานกินเงินเดือนแล้วต้องขยันทำงานเป็นปกติ โดนบอสเอ็ดมาคงไม่สนุกซักเท่าไหร่

หญิงสาวหอบกองเอกสารที่เพิ่งปริ้นท์ออกมาจากเครื่องปริ้นท์เพื่อไปส่งยังอีกแผนกที่อยู่ชั้นล่าง แผนกที่อุเอมุระประจำอยู่นั่นแหละ ที่จริงจะให้คนอื่นลงไปส่งให้ก็ได้แต่คาโต้กลับเลือกที่จะลงไปส่งเอง อาจเพราะหวังว่าจะได้เจอกับริสะหรือไม่ก็มานากะ  ขาพาตัวเองเดินมาอยู่ตรงหน้าประตูแล้วก็เอื้อมมือเปิดเข้าไป สิ่งแรกที่เข้าสู่สายตาคือร่างที่คุ้นตากำลังยืนคุยอยู่กับคนอีกสองคนที่ชิโฮะคาดว่าน่าจะเป็นมานากะกับริสะที่รินะพูดถึง หล่อนแอบหน้าถอดสี ไม่คิดว่าจะมาเจอกันในแผนกคันจิแบบนี้ เลยรีบเดินเอาเอกสารไปวางไว้ที่โต๊ะรวมเอกสารแล้วรีบเดินออกมาเร็วๆ กะไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นตัวเอง

          ทำไมต้องมาเจอในตอนที่ไม่อยากเจอด้วยนะ

          ทางด้านคุมิที่กำลังคุยอยู่กับคนรู้จักทั้งสอง ทีแรกหางตาก็เหลือบเห็นผู้หญิงเดินไวๆผ่านหลังไปแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร จนกระทั่งเขาเดินออกไปนั่นแหละถึงได้รู้ว่าเป็นชิโฮะ พลันหัวใจก็สั่นไหว เพราะเธอทำให้เเขาต้องถ่อขึ้นมาจากร้านกาแฟเพื่อขอคำปรึกษาจากเพื่อนทั้งสองคนเลยนะ ถึงจะโดน ‘ไซโต้ ฟุยุกะ’ เขม่นบ้างเป็นบางทีเพราะเธอไม่ชอบให้คนนอกแผนกเข้ามายุ่งก็เถอะ แต่ทำยังไงได้ ตอนนี้จนปัญญาสุดๆ

          “เมื่อกี้มันคาโต้ซังที่แกพูดถึงไม่ใช่หรอ?” มานากะพูดขึ้นมาก่อนหลังจากมองตามสายตาของคุมิไปแล้วก็เห็นหลังไวๆของออฟฟิศเลดี้คนสวยจากแผนกฮิรากานะที่เพิ่งเดินออกไป คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างแปลกใจก่อนหันมามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆที่มีอาการไม่ต่างกัน ปกติเคยเห็นคุมิขึ้นมาจากร้านกาแฟของตัวเองที่ไหนล่ะ มีแต่จะสิงไม่ยอมไปไหน เรื่องที่ทำให้คนขี้เกียจออกจากร้านออกมาได้นี่ต้องเป็นเรื่องที่คอขาดบาดตายมากแน่ๆ

          แต่ที่ไหนได้มันดันเป็นเรื่องผู้หญิง

          “ชอบเขาก็บอกไปดิ๊” คนหัวบ๊อบที่ทรงเหมือนไปทะเลาะกับช่างทำผมมาก็ยังคงพูดต่อ ไม่เว้นให้เพื่อนตัวสูงพูดต่อเลยซักนิด ตัวเจ้าของปัญหาก็อ้าปากจะพูดแต่ก็หุบลงไปอีก อึกอักๆอยู่แบบนี้จนวาตานาเบะเริ่มรำคาญ

แต่ก่อนที่ริสะจะได้พูดอะไรออกไปก็มีเสียงโทรศัพท์ที่อยู่อีกฝั่งดังขึ้นเสียก่อน

          กริ๊งงง!!!!

          เป็นฟุยุกะที่คว้ามารับสายก่อนที่มันจะแผดเสียงดังไปมากกว่านี้ หล่อนยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู นั่งบนเก้าอี้เลื่อนหมุนไปหมุนมาก่อนที่จะหยุดโดยหันหน้ามาทางมานากะแล้วตะโกนเรียกจากอีกฝั่งของห้อง

          “โมนะ! เปจังให้ไปช่วยหาอาโอโกะให้หน่อย!”

          นั่นไง ตูว่าละ..

          โทรศัพท์ออฟฟิศดังที่ไรต้องให้ไปช่วยหาอาโอโกะตลอดเลยสิน่า..

          “เอ้อ..งั้นฉันไปก่อนนะ แกนั่งคุยกับริสะไปก่อนก็ได้”

          แล้วชิดะก็เดินออกไป ปล่อยให้คุมิทิ้งตัวลงนั่งแทนที่ ถอนหายใจอย่างอ่อนล้า สองสามวันมานี้ชิโฮะก็หนีหน้าเหลือเกิน ไม่ยอมลงมาซื้อคาปูชิโน่เหมือนปกติ มีแต่ฝากเพื่อนมาซื้อ ซาซากิก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าพอไม่มียัยลูกแมวตัวน้อยมายืนเกาะเคาท์เตอร์ดูเธอชงกาแฟแล้วมันจะรู้สึกเบื่อขนาดนี้ เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง

          “แล้วจะทำยังไง? ฉันคิดเหมือนโมนะนะว่าให้บอกเขาไปตรงๆ” ริสะเอนหลังพิงพนัก ยกมือขึ้นกอดอก ปัญหาของคุมิตอนนี้คล้ายกับปัญหาของตัวเธอเองเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีนั่นแหละ แก้ปัญหาด้วยการบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปตรงๆ แค่นี้เอง

          แต่คุมิจะกล้าทำรึเปล่า นี่คือปัญหา

          เห็นกล้าทำอะไรแบบนั้นแต่ที่จริงป๊อดจะตาย เรื่องความรู้สึกตัวเองน่ะ

          “ฉันก็คิดว่าจะบอก แต่ชิโฮะหนีหน้าฉันตลอดเลย..”

          ตามไปเท่าไหร่เขาก็มีแต่จะหนีหน้า ดูซิ เมื่อกี้ยังรีบเดินออกจากห้องไปเลย ไม่รู้ว่ากลัวโดนฟุยุกะเขม่นหรือไม่อยากเจอหน้าเธอกันแน่ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว พอคิดจะไปหาที่แผนกก็เหมือนกับว่าชิโฮะจะเร่งทำงานให้เสร็จเร็วขึ้นแล้วรีบกลับก่อน ช่วงนี้ก็คงไม่ได้ทำโอทีด้วยเลยไม่ได้อยู่ดึกอย่างที่เคย

          “หืม…รู้ไม่ใช่หรอว่าบ้านเขาอยู่ไหน”

          “ก็ไปบุกบ้านเขาเลยดิ”

          .

          .

          .

          .

          และเพราะคำพูดนั้นของริสะก็ทำให้ซาซากิ คุมิมายืนอยู่ที่หน้าบ้านของชิโฮะจนได้ หวังจะได้คุยกันให้จบๆไป หล่อนจะได้เลิกหนีหน้าเขาเสียที ถ้าความรู้สึกไม่ตรงกัน จะได้จบกันดีๆ แล้วก็คงไม่ได้ยุ่งกันอีก

คุมิชั่งใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจกดออด ได้ยินเสียงเหมือนวิ่งลงมาจากบันได ใกล้ประตูขึ้นมาเรื่อยๆจนในที่สุดประตูก็แง้มออก หญิงสาวเจ้าของดวงตาสีช็อกโกแลตโผล่หน้าออกมาดูแล้วก็แทบจะปิดประตูใส่ เธอยังไม่พร้อมเจอหน้าเขาตอนนี้ แล้วก็คิดว่าคงไม่พร้อมไปอีกนานเลยด้วย

          “ชิโฮะ..” เสียงอ่อนแรงถูกเปล่งออกมาจากลำคอคนอายุมากกว่า มือค้ำยันประตูไว้ไม่ให้ปิดแล้วถือวิสาสะแทรกตัวผ่านเข้าไปในบ้านของอีกฝ่าย ปกติก็แค่มาส่งที่หน้าบ้าน ไม่เคยเข้ามาข้างในเลยเพราะต่างคนก็ต่างแยกกลับบ้าน ดึกแล้วด้วย แต่ตอนนี้คุมิก็ได้เข้ามาข้างในแล้ว ตาจับจ้องอยู่กับใบหน้าสวยที่ก้มงุดๆอยู่ตรงหน้า มือเลื่อนลงมาจับลูกบิดแล้วปิดประตูบ้านจนสนิท

ทำไมถึงหนีหน้า ทำไมถึงไม่ยอมคุยกันดีๆเหมือนก่อน คำเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของซาซากิจนถึงเมื่อครู่ อยากจะพูดออกไปแต่ก็ได้แต่กลืนมันลงไป ชิโฮะเอาแต่ก้มหน้าเงียบ ไม่ยอมคุยด้วย แล้วก็เป็นคุมิเองที่เผลอถอนหายใจออกมา ยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเคยชิน ดวงตาอ่อนโยน สัมผัสจากมืออุ่นๆของคุมิเป็นสิ่งที่คาโต้คิดถึง คิดถึงมากเสียด้วย

          ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ปล่อยให้เจ้าของร้านกาแฟคนนี้เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิต

          ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่อยากจะเจอหน้าเขาทุกวันๆ


          ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เผลอหลงรักคุณเจ้าของร้านกาแฟ

Capuchino (KumiShiho)

Capuchino (KumiShiho) : 01

01 : Does your lips taste like a lemon?

c2d55phvqaaedts


          วันถัดมาชิโฮะก็ลงมาซื้อกาแฟตามปกติ ครั้งนี้ก็มาคนเดียวอีกแล้วเพราะเมื่อวานหล่อนเผลอคุยกับคุณเจ้าของร้านนานไปหน่อยจนเลยเวลาโอที ยังดีที่มีเพื่อนร่วมงานคนนึงทำงานเสร็จก่อนแล้วเลยเข้ามาทำแทนในส่วนของชิโฮะจนเสร็จ ครั้งนี้เลยได้ซื้ออย่างอื่นที่ไม่ใช่คาปูชิโน่ขึ้นไปไถ่โทษด้วย

“วันนี้เพิ่มเอสเปรสโซ่เย็นแก้วนึงด้วยนะคะ”

          ทีแรกคุมิก็ค่อนข้างแปลกใจที่อยู่ๆลูกค้าคนสวยก็สั่งเมนูเพิ่มขึ้นมา แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานตัวเองเพิ่งแนะนำเมนูอื่นให้เขาไป จะสั่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ทำไมถึงสั่งสองแก้วเลยพลั้งปากถามออกไป

“ทำไมวันนี้สั่งสองแก้วล่ะคะ? มีคนฝากมาซื้อ?”

                “ค่ะ เพื่อนฝากมาซื้อน่ะ” หญิงสาวเรือนผมสีช็อกโกแลตพยักหน้าเบาๆขณะกำลังเท้าแขนกับเคาท์เตอร์ ถ้ามีหางแมวก็คงส่ายไปส่ายมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนแทบจะข้ามเคาท์เตอร์เข้าไปอยู่แล้ว ภาพนั้นทำให้คนที่กำลังชงกาแฟอยู่ลอบยิ้มกับตัวเอง

“มิน่า ปกติคุณซื้อแค่คาปูชิโน่แก้วเดียว”

                “อ้อ ฉันชื่อซาซากิ คุมินะคะ” เธอแนะนำตัวเองกับอีกฝ่ายอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ บางทีก็คุยเพลินเกินไปจนลืมหลายๆเรื่องเหมือนกับที่ฝั่งนั้นเขาลืมกลับขึ้นไปทำโอทีเมื่อวาน ถ้าเดาไม่ผิดที่ลงมาซื้อกาแฟสองแก้ววันนี้ก็เพื่อไถ่โทษเพื่อนที่ทำงานแทนเมื่อวานแหงๆ

          คิดอะไรไปเพลินๆไม่ได้สังเกตสีหน้าของหญิงสาวอีกคนซักเท่าไหร่นักจนกระทั่งตัวเองยกแก้วกาแฟทั้งสองแก้วมาวางตรงหน้าของเขาและกำลังยื่นมือไปรอรับเงินที่อีกฝ่ายจ่ายมา แต่ยังไม่ทันที่มือจะแตะแบงค์ ข้อมือของคุมิก็ถูกดึงเข้าหาตัวคาโต้โดยไม่ทันตั้งตัว

ปลายเท้าเขย่งขึ้นกระซิบชื่อของตัวเองที่ข้างหูคุณเจ้าของร้านอย่างแผ่วเบา

“คาโต้ ชิโฮะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

.

.

.

.

.

          เวลาค่อยๆล่วงเลยไปพร้อมกับความไว้ใจที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นทุกวันๆระหว่างชิโฮะและคุมิ คุยกันไปคุยกันมาก็เพิ่งจะรู้ว่าบ้านอยู่ห่างกันไปแค่หนึ่งบล็อกเท่านั้นเอง หลังจากนั้นทุกครั้งหลังเลิกงานแล้วชิโฮะมักมารอคุณเจ้าของร้านกาแฟปิดร้านและกลับบ้านพร้อมกัน บางทีก็แวะซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิด24ชั่วโมงบ้าง

วันนี้ก็เหมือนเช่นวันอื่นๆ ออฟฟิศเลดี้เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลลอนผลักประตูเข้ามาในร้าน กลิ่นของเมล็ดกาแฟคั่วที่อบอวลอยู่ภายในร้านลอยมาแตะจมูก หญิงสาวสูดลมหายใจลึกๆแล้วเดินไปลากเก้าอี้มานั่งที่หน้าเคาท์เตอร์มองหน้าด้านข้างของคุมิที่กำลังเช็คข่าวสารอยู่ในโซเชี่ยลที่มีสัญลักษณ์เป็นนกสีฟ้าอย่างใจจดใจจ่อ

มุมนี้ก็ดูดีแหะ..

                “คุมิกำลังอ่านอะไรอยู่หรอ?” เขย่งปลายเท้าชะโงกหน้าเข้าไปดูที่หน้าจอแล็ปท็อปตัวเก่งของซาซากิ มือค้ำยันกับตัวเคาท์เตอร์เอาไว้ มองสายตาอยากรู้อยากเห็นเสียเต็มประดา ปกติแล้วคุมิไม่ใช่คนที่จะสนใจกับอะไรในโซเชี่ยลนานๆนอกจากว่ามันจะเป็นบทความเสริมความรู้อะไรทำนองนั้น

ดวงตาสีดำเลื่อนมาพร้อมกับเจ้าตัวที่หันหน้ามามองหญิงสาวผู้บุกรุกคาเฟ่ตอนที่เธอกำลังอ่านบทความอยู่ เลื่อนเก้าอี้มานั่งประจันหน้ากับหล่อนพร้อมกับมือที่กดไหล่อีกฝ่ายให้นั่งลงเหมือนเดิม ชิโฮะไม่มีทางรู้หรอกว่าท่าทางอยากรู้อยากเห็นเมื่อกี้มันน่ารักขนาดไหนในสายตาของคุมิ

                “บทความเกี่ยวกับเรื่องจูบน่ะ” เจ้าของร้านเผยยิ้มบางส่งให้กับคู่สนทนาพร้อมลุกขึ้นไปชงคาปูชิโน่เหมือนอย่างเคย ถึงวันที่คุยกันครั้งแรกคุมิจะแนะนำกาแฟอย่างอื่นไปแล้วก็ตาม แต่ชิโฮะก็ยังยืนยันที่จะสั่งคาปูชิโน่เหมือนเดิม มีหรือเจ้าของร้านจะขัดใจลูกค้าได้ ?

ฝ่ายคาโต้เองพอได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายพูดก็ตาโต ไม่ใช่ว่าตกใจหรืออะไร แต่แปลกใจต่างหาก ไม่คิดว่าเขาจะสนใจเรื่องแบบนี้ เห็นวันๆก็หมกตัวอยู่ในร้านกาแฟไม่ไปไหนนอกจากซื้อของเข้าร้านกับไปซุปเปอร์ฯซื้อของมาทำกับข้าว

“คุมิสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรอ?”

                “ก็ต้องสนใจสิ เธอนี่ถามแปลกๆ” เสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากหญิงสาวที่กำลังชงกาแฟอยู่อย่างขมักเขม้น ชิโฮะฟุบหน้าลงกับแขนมองคุมิชงกาแฟพลางคิดถึงเรื่องที่คุมิเพิ่งพูดมาเมื่อครู่อยู่เงียบๆ

จูบงั้นหรอ.. จูบ….เอ….

อ๊ะ!!..

                “ฉันเคยได้ยินมาล่ะว่าจูบแรกของคนเราจะมีรสคล้ายเลมอน จริงรึเปล่า?” หลังสิ้นเสียงของออฟฟิศเลดี้คนเก่ง ราวกับดวงตาของคุณเจ้าของร้านกาแฟจะพราวระยับขึ้นเล็กน้อยกว่าเก่าโดยที่คนพูดเองไม่ได้สังเกตเลยซักนิดเดียว เหมือนตกหลุมพรางที่ถูกขุดเอาไว้โดยเจ้าของร้านกาแฟคนเก่ง

“ไม่รู้สิ เธอต้องมาพิสูจน์เองนะชิโฮะ”

          หล่อนพูดพร้อมกับวางแก้วคาปูชิโน่ที่ตีฟองขึ้นมากกว่าปกติไว้ตรงหน้าเคาท์เตอร์ แต่ที่ไม่ปกติเหมือนกับฟองนมนั่นก็คือมันมีผงโกโก้ที่ถูกโรยไว้เป็นรูปหัวใจเล็กๆอยู่ด้วย

แต่แค่นั้นก็พอที่จะทำให้ชิโฮะหน้าแดงเรื่อได้ไม่ยาก

         ผมลอนพริ้วไปตามแรงเบือนหน้าหนีของเจ้าของ มือทั้งสองถูกยกขึ้นมาลูบหน้าเล็กน้อยกลบอาการเขินอายที่ออกค่อนข้างชัดเจนของเธอ แต่ก่อนที่จะละมือออกจากหน้าตัวเองก็มีสัมผัสนุ่มนวลค่อยๆแกะมือเธอออกเสียเอง ดวงตาอีกคู่นั้นทอดมองลงมาอย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่เขามองเธอ

                “เขินทำไม? แค่พูดเล่นเอง” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีของคุมิยิ่งแทบทำให้สาวเจ้าอยากมุดดินหนีเป็นขอมดำดินไปเสียตอนนี้ ไอ้เราก็คิดจริงจัง เขาดันพูดเล่น บ้าเอ้ย …

                “แต่..ฉันก็อยากรู้นะ” เขากระซิบเบาๆพอให้ได้ยินกันเพียงสองคนพร้อมกับหน้าผากที่แตะกับหน้าผากของคนตัวเล็กกว่า ระหว่างทั้งสองมีเพียงเคาท์เตอร์คั่นเอาไว้เท่านั้น ฝ่ามือเรียวลูบแก้มของหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าอย่างแผ่วเบาขณะเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้

คาโต้หลับตาปี๋ ระหว่างที่หลับตาอยู่นั้นริมฝีปากก็สัมผัสกับสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่ริมฝีปากของอีกคนแน่ๆ ด้วยความสงสัยทำให้ชิโฮะลืมตาขึ้นมอง

ปรากฏว่าเป็นนิ้วชี้ของคุมิที่ทาบทับลงมาแทน

          คนตัวสูงตาฉายแววขบขันออกมาหน่อยๆ หล่อนเลื่อนนิ้วชี้ออกแล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยไปตามเรียวริมฝีปากอิ่มน่าจูบตรงหน้าก่อนที่จะหยิบกระดาษใบเล็กที่เอาไว้จดออเดอร์ลูกค้าขึ้นมากั้นระหว่างริมฝีปาก

แล้วจูบผ่านกระดาษแผ่นนั้นอย่างแผ่วเบา

          ดวงตาสีช็อกโกแลตเบิกโพลงพร้อมๆกับเจ้าตัวที่ก้าวถอยหลังผงะออกมาเล็กน้อยเป็นจังหวะให้ริมฝีปากขยับออกมาจากกระดาษแผ่นนั้นด้วย มองไปที่ด้านหลังกระดาษก็เห็นคุมิกำลังยิ้มอยู่ สัมผัสเมื่อครู่ แม้จะไม่ได้โดนตรงๆแต่ก็ทำให้หัวใจเต้นแรงได้ไม่หยุดหย่อน  

ชิโฮะยกมือขึ้นลูบริมฝีปาก คนทั้งคู่ตกอยู่ความเงียบไปชั่วขณะ ได้ยินเพียงเสียงนาฬิกาแขวนผนังที่เดินอยู่และเครื่องปรับอากาศ ไม่นานนักคนตัวสูงกว่าก็วางแผ่นกระดาษลงข้างแแก้วคาปูชิโน่ที่น้ำแข็งค่อยๆละลาย ไอน้ำรอบแก้วเริ่มไหลลงมาทำให้พื้นเคาท์เตอร์เปียก หลังจากนั้นหล่อนก็หันไปพับฝาแล็ปท็อปลงเพื่อพักเครื่อง เดี๋ยวมันจะกินไฟไปมากกว่านี้

กรุ๊งกริ๊ง..

          จนคุมิหันกลับมาอีกทีก็ตอนที่เสียงกระดึงจากประตูดังอีกรอบพร้อมกับหลังของพนักงานออฟฟิศคนสวยที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปโดยที่ไม่ลืมหยิบแก้วคาปูชิโน่และวางเงินไว้ให้ คนที่ชงกาแฟแก้วนั้นทอดมองเงินที่วางเอาไว้บนเคาท์เตอร์อย่างเลื่อนลอย เพราะได้ตัดสินใจทำสิ่งที่อยากทำไปแล้ว ถึงจะไม่ใช่การจูบโดยตรง แต่เธอก็พอใจกับมันทีเดียว

ยิ่งรู้จักยิ่งรู้ได้ถึงความรู้สึกที่มันเอ่อล้นออกมา มันไม่ใช่รักฉาบฉวยเพียงชั่วข้ามคืนหรือเดือน ความใกล้ชิดที่เพิ่มขึ้นเสมือนกำแพงที่พังทลายลง บทสนทนาที่แลกเปลี่ยนกันช่วยให้ต่างฝ่ายต่างทำความรู้จักกันมากขึ้นจนมีคนนึงรู้ใจของตัวเองแล้ว

แต่อีกคนเล่า จะรู้ใจตัวเองเมื่อไหร่กัน

Capuchino (KumiShiho)

Capuchino (KumiShiho) : Intro

Intro : When we first met

c5fbujlvuaedzh3


กลิ่นของกาแฟ…

          ไม่ได้หวานหอมน้ำตาลเหมือนชานมหรือนมเย็นปั่น มันเป็นกลิ่นที่ชวนให้ผ่อนคลาย ทุกครั้งที่ได้กลิ่นนี้มักทำให้จิตใจสงบ ไม่แปลกเลยถ้าหากพบพนักงานออฟฟิศเข้ามานั่งแช่ในร้านกาแฟเพื่อทำงานหรือนั่งพักหลังทำงานมาหนักๆ หรือจะพวกทำงานโอทีที่แวะเข้ามาหาเครื่องดื่มกันง่วงที่ไม่ใช่กระทิงแดงอะไรเทือกนั้น

หนึ่งในนั้นก็คือ ‘คาโต้ ชิโฮะ’

          เธอชอบแวะเข้าไปซื้อกาแฟจากคาเฟ่ที่อยู่ชั้นล่างสุดของบริษัท ดีหน่อยที่ร้านนี้เปิด-ปิดตามเวลาเปิด-ปิดบริษัท อาจเพราะอยู่ในตัวบริษัทด้วย ถือว่าเป็นโชคดีของพนักงานเงินเดือนที่ต้องอยู่ทำโอทีดึกๆดื่นๆอย่างเธอ

วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน หลังทำงานไปได้ซักพักชิโฮะก็เอ่ยปากหาเพื่อนลงไปชั้นล่างเพื่อซื้อกาแฟตามปกติ แต่น่าเสียดายที่วันนี้ไม่มีดันไม่มีใครอยากกาแฟเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนร่วมคนนึงต้องลงไปส่งงานพอดี ทั้งสองถึงได้ลงลิฟต์ไปด้วยกัน

อย่างน้อยก็ไม่ต้องลงมาคนเดียว…

          หลังแยกทางกันแล้วหญิงสาวผมลอนก็สาวเท้ายาวๆ รีบซื้อรีบขึ้นไปทำงานต่อให้เสร็จๆจะได้รีบกลับบ้านไปพักเสียที

กริ๊ง…

          เสียงกระดิ่งที่ห้อยไว้ตรงประตูร้านดังขึ้นทำให้สายตาของเจ้าของร้านเงยหน้าขึ้นละสายตาจากหน้าจอเครื่องแล็ปท็อปที่ตัวเองขนมาจากบ้านเพื่อเล่นตอนกลางคืนลูกค้าน้อยๆอย่างเช่นตอนนี้ หล่อนเป็นหญิงสาวตัวสูงราวๆร้อยหกสิบกว่าๆเห็นจะได้ ผมมัดรวบไว้อย่างหลวมๆที่ท้ายทอย คาโต้เคยเดินสวนผ่านเจ้าของร้านคนนี้ก็หลายครั้งในออฟฟิศ คนๆนี้คล้ายกับมีกลิ่นกาแฟที่ตัวชิโฮะชอบติดตัวอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่เจ้าของร้านคนนี้เดินผ่าน สายตามักจะมองตามเขาไปจนรู้ตัวอีกทีเขาก็ลับสายตาไปแล้ว

‘ซาซากิ คุมิ’ ยืนขึ้นต้อนรับลูกค้ายามดึกเหมือนเช่นทุกวัน เธอเห็นผู้หญิงคนนี้มาซื้อกาแฟทุกวันก็จริง แต่เพิ่งจะนึกได้วันนี้ว่าไม่เคยคุยกันเลย และอาจจะเป็นคนเดียวด้วยทีคุมิไม่เคยคุยด้วยแบบจริงๆจังๆ บทสนทนาที่คุยกันก็มีแค่

“วันนี้เหมือนเดิมนะคะ?”

“ค่ะ วันนี้เหมือนเดิม”

          แล้วต่างคนก็ต่างกลับมาเงียบ ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ชิโฮะยืนเกาะเคาท์เตอร์มองดูคุณเจ้าของร้านชงกาแฟตามปกติ เห็นมันเกือบทุกวันจนชินตา แต่ก็ไม่เคยที่จะเบื่อเลยซักครั้ง ทางด้านหญิงสาวตัวสูงกว่าก็เหลือบตามองอีกฝ่ายเป็นระยะเช่นเคย ทำแบบนี้จนไม่รู้ตัวว่ามันเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันของคนทั้งคู่ไปเสียแล้ว

ความเงียบเริ่มโรยตัวลงทั่วทั้งร้าน มีเพียงเสียงช้อนที่กระทบแก้วที่ดังอยู่ท่ามกลางความเงียบกลิ่นกาแฟนี้เท่านั้น และแล้วคนที่เอ่ยทำลายความเงียบที่เพิ่งโรยตัวลงมาได้เพียงครู่เดียวนั้นก็คือคุมิ

               “คุณไม่สั่งอย่างอื่นบ้างหรอคะ?” หญิงสาวเจ้าของร้านรินคาปูชินี่ลงแก้วพลาสติกสีขุ่นที่ใส่น้ำแข็งรอไว้ก่อนแล้ว ปิดฝาปักหลอดก่อนจะวางไว้บนเคาท์เตอร์ตรงหน้าลูกค้าประจำยามดึกคนนี้ เวลานั้นเองที่ทำให้คุมิได้มีเวลาสำรวจหญิงสาวคนนี้จริงๆจังๆ เริ่มตั้งแต่ผมที่ดัดเป็นลอนสีน้ำตาลคล้ายสีของช็อคโกแลต ดวงตากลมโตสีเดียวกันรับกับใบหน้าและแก้มน่าหยิกนั่นมากทีเดียว ยังไม่นับริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อเพราะลิปอีก

เพิ่งรู้ตัวว่าลูกค้าตัวเองน่ารักขนาดนี้ก็วันนี้นี่แหละ

          ชิโฮะยื่นมือไปรับแก้วกาแฟ คิ้วเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจที่อยู่ๆฝั่งนั้นเขาก็ทักมาก่อน ปกติแล้วชิโฮะเป็นคนพูดช้า และจะช้าลงไปอีกถ้าตื่นเต้นมากๆ ทำให้ปกติแล้วหล่อนจะไม่พูดมากนักเท่าไหร่

                “ค่ะ” คาโต้ตอบออกมาสั้นๆทำให้คุมิแทบไปต่อไม่ถูก เพราะเจอหน้ากันบ่อยก็จริง แต่ใช่ว่าจะรู้นิสัยใจคอการพูดคุยของอีกคนเสียเมื่อไหร่ แถมไม่ได้แอบไปดูเขาตอนคุยกับเพื่อนด้วย ท่าทางคงต้องทำความรู้จักกันอีกยาว..

“ไม่คิดจะลองอย่างอื่นบ้างหรอคะ? ที่นี่ก็มีอย่างอื่นนอกจากคาปูชิโน่นะ”

          เจ้าของร้านตัวสูงพูดติดตลก แต่มันก็จริง เห็นลูกค้าคนนี้สั่งทีไรก็สั่งแต่คาปูชิโน่จนเธอจำเมนูนี้ได้ขึ้นใจแล้วว่าคนนี้ต้องคาปูชิโน่เท่านั้นนะ อย่างอื่นไม่เอานะ แค่เห็นหน้าก็ต้องรุดไปชงให้ทันที และเจ้าตัวก็จะมาเกาะเคาท์เตอร์ดูหล่อนชงทันทีเหมือนกัน ดูเป็นความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดดีเหมือนกัน

ชิโฮะหยุดนิ่งคิดไปครู่นึงเรียบเรียงคำพูดที่จะพูดออกมาก่อนด้วยความที่เพิ่งจะได้คุยกันจริงๆจังๆครั้งแรก ที่จริงอยากจะคุยด้วยมานานแล้ว แต่ก็หาโอกาสคุยด้วยไม่ได้ซักที บางทีโอกาสอาจมาถึงแล้วก็ได้ ฝั่งนั้นเล่นเปิดประเด็นมาให้ทั้งที

                “อืม..งั้นคุณเจ้าของร้านช่วยแนะนำหน่อยได้มั้ยคะ?”  รอยยิ้มเริ่มเผยขึ้นมาเล็กน้อยตามแนวริมฝีปาก เหมือนจะลืมเรื่องงานโอทีที่ยังทำไม่เสร็จไปเรียบร้อยแล้ว

โดนกาแฟล้างสมองแล้วแน่ๆ

.

.

.

.

.

.

          กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เกือบถึงเวลาเลิกงานแล้ว หญิงสาวผมสีช็อกโกแลตสะดุ้งตัวเมื่อมองนาฬิกาในสมาร์ทโฟนของตัวเองขณะอยู่ในลิฟต์ สงสัยคุยกับคุณเจ้าของร้านกาแฟนานไปหน่อย

ไม่น่าเล้ย ชิโฮะ..

          แต่เมื่อนึกไปถึงตอนอยู่ในร้านแล้วก็อดที่จะอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เขาเป็นคนที่คุยสนุกทีเดียว แถมยังไม่อะไรกับอาการพูดช้าๆของเธออีก คาดว่าอีกไม่นานคงเข้ามาอยุ่ในลิสต์คนสนิทของเธอได้ไม่ยากแน่ๆ แต่ขณะที่คิดไปหัวใจก็เกิดความรู้สึกวูบวาบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เหมือนรอยยิ้มของเขาจะมีอิทธิพลกับตัวเธอเหลือเกิน

ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนะ?