Drabble · Original Fiction

Wisteria [ RisaMitsuki ]

     —กลิ่นดอกฟูจิ

     ริสะทำจมูกฟุดฟิด ดวงตาสีลูกโอ๊คปรายตาหาต้นตอของกลิ่นในกลุ่มคนมากมายที่กำลังนั่งพับเพียบทับส้นบนเสื่อทาทามิในห้องรับแขกของบ้านโมริยะ เด็กสาวนั่งเยื้องมาทางด้านซ้ายข้างหลังของโมริยะ เรย์กะผู้เป็นแม่ 

     “ริสะ”

     ระหว่างที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ เสียงทุ้มอย่างคนมีอายุของเรย์กะก็ดังขึ้น ดึงเจ้าตัวขึ้นมาสู่โลกแห่งความจริง ริสะขานรับเสียงฉะฉานด้วยความฉงน ในห้องนี้มีแค่เธอกับแม่เท่านั้นที่เป็นคนของโมริยะ ส่วนอีกฝั่งนั้น— เป็นคนของกลุ่มย่อยชิโรงาเนะ

     ความจริงเธอก็ไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาคนของชิโรงาเนะเท่าไหร่นัก ด้วยส่วนใหญ่ก็มักจะรู้จักกับคนจากกลุ่มย่อยลำดับสูงๆด้วยกันเสียมากกว่า ที่เธอพอจะจำได้คงมีแต่พ่อใหญ่เท่านั้นเอง แต่ถึงกระนั้นริสะก็จำชื่อของเขาไม่ได้อยู่ดี

     “นี่หลานสาวของฮิโรกิซัง” หล่อนเอ่ยพลางพยักเพยิดไปทางคนที่ถูกพาดพิงถึง “รู้จักกันเอาไว้แม่คิดว่าคงดีกับโมริยะของเรา”

     ตอนนั้นเอง— กลิ่นดอกฟูจิก็ตีฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง 

     —ชัดเจนในห้วงความคิด

     ใบหน้าสละสลวยของโอเมก้าสาวตรงหน้า ดวงตาและเรือนผมสีดำขลับ ท่าทางเรียบร้อยพร้อมรอยยิ้มบางที่ถึงแม้จะส่งมาตามมารยาท หากกระนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างกลับถูกตราตรึงลงในใจของเด็กสาวตระกูลโมริยะ 

     ไม่สามารถละสายตาออกไปได้เลย

     ราวกับกำลังเดินผ่านอุโมงค์ซึ่งเต็มไปด้วยสีม่วงและกลิ่นหอมชวนผ่อนคลายของดอกฟูจิ

     “ชิโรงาเนะ มิซึกิ ค่ะ” เธอว่าแบบนั้นพร้อมโค้งลงน้อยๆ ริสะเองก็ทำตอบเช่นกัน พร้อมทั้งแนะนำตัวตาม

     หลังจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรอีก ทว่าตาของริสะไม่สามารถละไปจากเด็กสาวอีกคนได้เลย

   

     อา—

     นี่หรือเปล่านะ..ที่คนอื่นชอบบอกว่าเจอคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองแล้ว

 

     โมริยะ ริสะ กำลังรู้สึกตกหลุมรักเป็นครั้งแรก

Drabble · Fiction · Original Fiction

Ears [ColleteRety]

     ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ดวงตาสีเฮเซลของเลธิเซียมักจะไปหยุดอยู่ที่หูของรุ่นน้องสาวคลาสเหยี่ยวอย่างช่วยไม่ได้

     ไม่ว่ายามที่กำลังฟังเด็กคนนี้เล่นเปียโน หรือยามที่อีกฝ่ายกำลังเอ่ยบทสนทนาด้วยน้ำเสียงน่าฟังนั่น ทว่าใจของเธอกลับไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เด็กสาวกำลังกระทำเลยแม้แต่น้อย

     วันนี้ก็เป็นอีกวันที่อาการของเลธิเซียยังคงเหมือนเดิม

     “พี่เลธี่คะ?” คำเอ่ยเรียกชื่อเล่นของตัวเธอจากริมฝีปากซึ่งหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มคล้ายหนึ่งในพันธุ์ของเจ้าหูตูบจากแดนอาทิตย์อุทัย 

     คอลเล็ตกำลังทำสีหน้าฉงนให้กับญิงสาวรุ่นพี่ที่ช่วงนี้รู้สึกจะไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเท่าไหร่นัก

     “คะ คอลเล็ต?” 

     เลธิเซียตอบกลับไปแบบนั้น

     เธอเห็นความลังเลฉายอยู่ในแววตาคู่ตรงข้ามอยู่ชั่วครู่ แต่ดูเหมือนมันน่าจะไม่มีทางหายไปง่ายๆเสียด้วย แม้กระทั่งยามที่เด็กสาวเอ่ยปากถาม

     “ช่วงนี้ฉันเห็นพี่ดูเหม่อๆ..” หล่อนเว้นช่วงไป “..เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”

     คอลเล็ตอาจจะคิดว่าเธอไม่สบาย

     “เปล่าค่ะ” 

     เลธิเซียตอบไปแทบจะทันที 

     “พี่แค่..คิดอะไรนิดหน่อย” เกี่ยวกับคอลเล็ต

     ใบหูคู่นั้น ยามที่พวกมันแดงระเรื่อจากการที่เธอสัมผัสกับเด็กสาวโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำไมถึงได้ดูน่ารักขนาดนี้กันนะ

     —อยากกัด

     อ๊ะ

     นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ..

     กลับมาปั้นหน้ายกยิ้มน้อยๆอย่างเช่นทุกครั้งให้เด็กสาวข้างกาย 

     ตอนนี้พวกเธอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้แกรนด์เปียโนของโรงเรียน ตามปกติที่เลธิเซียมักเอาเวลาว่างช่วงตอนเย็นของบางวันมาสอนคอลเล็ต

     เสียงเปียโนถูกบรรเลงขึ้นอีกครั้ง นิ้วเรียวไล่ลิ่มตามโน็ตซึ่งถูกตั้งเอาไว้ คุณหนูตระกูลเดอ แวร์มองดัวมองการกระทำนั้น—

     —แต่สุดท้ายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ใบหูน่ารักของคอลเล็ตอยู่ดี

     ดวงตาสีเฮเซลล่อกแล่กมองสลับระหว่างมือซึ่งกำลังพริ้วไหวไปตามจังหวะดนตรีกับหูของเจ้าตัว

     หญิงสาวอาศัยจังหวะที่เด็กสาวจดจ่อสมาธิอยู่กับการเล่นเปียโน ยันมือยังเก้าอี้เล็กน้อยเพื่อส่งตัว ริมฝีปากนุ่มแตะปลายหูของรุ่นน้องคลาสเหยี่ยวแผ่วเบา

     ติ๊ง!

     เสียงกดลิ่มที่ผิดคีย์ดังออกมา แน่นอนว่ามาพร้อมกับสีแดงเจือขึ้นที่ปลายหู

     ไม่ต่างกับเลธิเซียเท่าไหร่นัก

     “พี่..พี่ว่าวันนี้เราน่าจะพอกันแค่นี้นะคะ” เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก เบนสายตาไปมองยังกระเป๋าของตัวเองและคอลเล็ตซึ่งวางพิงกันเอาไว้ตรงขาเปียโน

     “เพลงนี้คอลเล็ตเล่นได้ดีแล้ว..ไว้เจอกันครั้งหน้านะคะ”

     และลี้ภัยไปอย่างรวดเร็ว

     ทิ้งให้คอลเล็ตนั่งค้างอยู่ที่เปียโนคนเดียว

Drabble

00:00 AM. (YukkaNen)

DCcnHOYUAAAmU1A


          22 : 50 PM.

          อีก 1 ชั่วโมงกับ 10 นาที จะหมดวันที่ 22 พฤศจิกายน

          เผลอกัดริมฝีปากจนห้อเลือดอย่างลืมตัว ข้อความซึ่งถูกพิมพ์เอาไว้โดนลบหายไปอีกครั้ง หล่อนเขียนๆลบๆแบบนี้มาซักพักใหญ่ๆแล้ว หัวคิ้วเรียวกดลงด้วยความเคร่งเครียด หัวสมองมันตื้อไปหมด สุดท้ายเลยตัดสินใจทิ้งตัวลงกับที่นอนนุ่มและโยนสมาร์ทโฟนคู่ใจเอาไว้ข้างๆ

          ยากนะ
          อวยพรวันเกิดแฟนเก่าเนี่ย

          “เห้อ..”

          คิดถึง คิดถึงจะแย่แล้ว แต่ก็รู้ รู้ว่าตัวเองไม่ได้มีสิทธิ์ในตัวเขาดังเช่นแต่ก่อน อากาเนะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำไมเธอต้องมาคิดมากกับอะไรแบบนี้ด้วยนะ..
เหล่สายตาไปมองยังเครื่องมือสื่อสารที่นอนตายอยู่ข้างๆด้วยความลังเล ท้ายที่สุดมือเรียวก็หยิบฉวยมันขึ้นมา เปิดหน้าประวัติการสนทนาระหว่างเธอและ’แฟนเก่า’ในโปรแกรมแชทยอดฮิตสีเขียว พิมพ์ข้อความสั้นๆ และกดส่งไป

          ‘HBDนะ ยูกะ🐎”

          หลังส่งข้อความนั้นไปไม่นานนักก็ขึ้น read อย่างรวดเร็ว ราวกับหล่อนกำลังรอข้อความนี้อยู่ยังไงยังงั้น แต่..มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก อากาเนะไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองซักเท่าไหร่นัก

          ‘จำได้ด้วยหรอคะ ว่าวันนี้วันเกิดเรา?’

          ทำไมจะจำไม่ได้ละ..
          วันเกิดของคนที่รักนี่นา..

          ‘อืม’

          แล้วพวกเธอทั้งคู่ก็เงียบไป ไร้ซึ่งบทสนทนาต่อจากนั้น อย่างน้อยตอนนี้โมริยะก็พอจะใจชื้นขึ้นมาบ้างที่สามารถกลั้นใจส่งคำอวยพรไปให้ยูกะได้ แม้มันจะสั้นแสนสั้นก็ตามที ถอนหายใจพลางกดปิดหน้าจอ

          ‘คอลได้มั้ยคะ?’
          ‘เรา..อยากได้ยินเสียงอากาเน็นนะ’

          อากาเน็น

          ชื่อเล่นที่เธอเกือบลืมไปแล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้ยังจำได้ เวลามันก็ผ่านเลือนมาสามปีกว่าๆแล้วแท้ๆ ดวงตาสีเปลือกอัลมอนด์หรี่ลงเล็กน้อยอย่างชั่งใจ เธอจะตอบกลับไปยังไงดีนะ ความกระอักกระอวนภายในจิตใจนั้นเพิ่มขึ้นมายิ่งกว่าตอนกลั้นใจส่งคำอวยพรเสียอีก

          ‘…’
          ‘จะคอลกับเธอจนกว่าจะหมดวันนี้แล้วกัน’

          23 : 10 PM.

          เหลือเวลาอีก 50 นาที
          สุไก ยูกะ
          ฉันจะให้เวลาเธอแค่นี้เท่านั้น

          ‘กดคอลมาสิ’

          ฝ่ามือของอากาเนะเริ่มชื้นเหงื่อเมื่ออีกฝ่ายกดคอลมาตามที่หล่อนบอกจริงๆ สไลด์ปัดหน้าจอกดรับไป ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ความเงียบโรยตัวลงมา ปลายสายไม่ยอมเอ่ยเอื้อนคำพูดใดให้เธอได้ยิน เนิ่นนานจนเวลาผ่านไปเกือบสิบนาที หล่อนจึงยอมปริปากเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้น

          “ไม่ได้คุยกันนานเลยนะคะ”
          “อืม”
          “อากาเน็นเป็นยังไงบ้างคะ? สบายดีมั้ย?”
          “ก็ดี เธอล่ะ?”
          “ก็..ดีล่ะมั้งคะ..”
          “กับคนนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ ไปได้ด้วยดีมั้ย?”

          คู่สนทนาเงียบไปซักพักให้อากาเนะเริ่มเอะใจ
          เกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ?

          “..เลิกกันไปแล้วล่ะค่ะ”

          ได้ยินประโยคนี้แล้วหัวใจของหญิงสาวผมสีอ่อนก็กระตุกวูบ เป็นคำที่เธอเคยอยากให้ยูกะพูดกับคนๆนั้นเมื่อนานมาแล้ว แต่มาทบทวนดูมันคงไม่ทีทาง ยูกะรักเขาจะตาย

          รัก..ยิ่งกว่ารักเธอด้วยซ้ำ

          “หื้ม? ทำไมล่ะ ก็เห็นรักกันดีนี่นา”
          “คงผิดที่เราเองแหละค่ะ”
          “ผิดที่เธอ?”
          “เรายังตัดใจจากอากาเน็นไม่ได้นี่คะ”
          “เรายัง..รักอากาเน็นอยู่”

          พูดอะไรไม่ออก
          น้ำท่วมปาก

          โมริยะเหลือบตาไปยังนาฬิกาดิจิตอลที่วางอยู่ตรงหัวเตียง เผลอตัวแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากแห้งผากคล้ายขาดการดูแลมาเป็นระยะเวลานาน

          23 : 45 PM.

          อีก 15 นาที

          ตาย ตายแน่อากาเนะ

          มือถูกยกขึ้นมานวดขมับ ดวงตากลอกไปมาระดมสมองอย่างหนักหน่วงเมื่อปลายสายพูดจบ เธอจะเชื่อได้ยังไงว่ายูกะยังรักเธออยู่จริงๆ

          จะเชื่อได้ยังไง ว่ายูกะต้องการเธอ
          และจะเชื่อได้อย่างไร..ว่าเธอจะไม่ถูกทิ้งอีก

          “ฉันเชื่อเธอได้หรอ”

          น้ำเสียงสั่นเครือถูกเปล่งตอบออกไป

          “เธอจะให้ฉันไว้ใจเธออีกครั้งหลังจากเธอทิ้งฉันไปงั้นหรอ?”
          “อย่าเห็นแก่ตัวไปหน่อยเลยยูกะ”
          “อากาเน็น…”
          “ถ้าจะขอคอลเพราะเรื่องแบบนี้ งั้นฉันวาง—“
          “อากาเน็น! ห้ามวางนะคะ ห้าม! ห้ามเด็ดขาดเลยนะ!”
          “….”
          “อย่างน้อย..ก็ขอให้เราได้พูดความรู้สึกของเราก่อน..”

          โมริยะผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ พยายามใจเย็นเพื่อฟังคำอธิบายของคุณหนูใจร้ายที่ทิ้งเธอไปโดยไม่อธิบายอะไรเลย

          “เรารู้ว่าเราผิด เราขอโทษที่ทำเป็นเมินเฉยกับความรู้สึกของอากาเน็น..”
          “ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ว่าอากาเน็นเจ็บปวดแค่ไหน แต่ตอนนั้นเราจำเป็นจริงๆ..”
          “กว่าเราจะรู้ว่าเรากำลังจะเสียความรักที่อากาเน็นมีให้มันก็…”
          “…อะไร? พูดต่อสิ”
          “สายไป..รึเปล่านะ?”

          23 : 55 PM.

          “อากาเน็น เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้มั้ยคะ?”
          “ถือเป็นของขวัญวันเกิดเราก็ได้ นะคะ…”

          เสียงของหล่อนเริ่มสั่นเครือ ขาดช่วง นั่นทำให้โมริยะเริ่มใจหาย ความรู้สึกเก่าๆตีฟุ้งขึ้นมาราวกับกล่องกระดาษซึ่งเก็บความทรงจำต่างๆไว้ระเบิดออกมา

          เธอ..ควรเชื่อยูกะ ใช่มั้ย?

          “ยูกะ”
          “คะ?”
          “เจอกันพรุ่งนี้..ที่ร้านเดิม”
          “ฉันจะให้คำตอบเธอ”

          00 : 00 AM.

          สายถูกตัดไป

          มุมปากยกขึ้นน้อยๆ

          ขอให้วันเกิดปีนี้เป็นวันที่ดีนะ

          สุขสันต์วันเกิด สุไก ยูกะ
          หญิงสาวผู้เป็นที่รักของฉัน

Drabble

Underneath your clothes (J.K.)

F3IN.K & PANCHIE001

DKYweyEU8AARwGS


          “พี่แจน หลังไปโดนไรมาอะ?”

          เจตสุภาเอี้ยวตัวหันไปมองต้นเสียง เลิกคิ้วใส่เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับ มีเพียงรอยยิ้มที่มุมปากถูกส่งไปให้พัศชนันท์เท่านั้น เสื้อเซเลอร์สีขาวปกน้ำเงินถูกสวมลงมาปิดบังรอยแผลซึ่งเริ่มตกสะเก็ดเป็นทางยาวตั้งแต่ไหล่ไปจนถึงแถวสะโพก เจ้าของคำถามขมวดคิ้วมุ่นเมื่อคนโตกว่าไม่ยอมเอ่ยคำพูดใดออกมาเป็นเชิงตอบรับ น้ำเสียงต่อมาจึงกดเข้มเจือความหงุดหงิดอย่างไม่คิดจะปิดบัง

          “ยิ้มงั้นหมายความว่าไง?”

          “เปล่า”ถึงจะพูดไปอย่างนั้นแต่รอยยิ้มน้อยๆบนริมฝีปากกลับยังไม่ยอมคลายลง ดวงตากลมพราวระยับเหมือนจะนึกขำขันเมื่อเเกล้งปั่นหัวรุ่นน้องในวงได้สำเร็จ อันที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจไม่ตอบ แต่เหตุผลพวกนั้นใครจะสามารถมานั่งประกาศปาวๆได้กัน แจนเลยนึกป่วนให้อีกฝ่ายเบี่ยงเบนความสนใจจากมันไปเสียเอง

          “ไม่รีบแต่งตัวล่ะ แล้วนั่นอะ ทำไมเล็บฉีกแบบนั้น?”

          คราวนี้คนถามกลับเป็นฝ่ายเงียบแทน

          “ว่าไง? หื้มมม?”ลำแขนเรียวท้าวลงบนขอบอ่างล้างมือทั้งที่ไม่ยอมติดกระดุมชายเสื้อให้เรียบร้อยนัก เอียงคอน้อยๆเมื่อเริ่มรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายชักจะรู้ทันเธอมากขึ้นไปทุกที

          “ไม่มีอะไรแล้ว…”

          “แน่ใจ?”ยังมิวายหยอกเย้าจนอีกฝ่ายต้องลงมือฟาดเพี๊ยะลงบนเเผ่นหลังพอให้เจ้าตัวร้องโอดโอย เมื่อความรู้สึกเเสบเเล่นปราดไปทั่ว แจนส่งค้อนวงใหญ่ให้อรอย่างไม่ปิดบัง มือลูบหลังตัวเองป้อยๆ ปากก็เริ่มบ่นกระปอดกระแปดไม่ยอมหยุด ในห้องน้ำเหลือพวกเธออยู่กันแค่สองคน แก้ว เนย และน้ำหนึ่งออกไปรอข้างนอกกันหมดแล้ว อรยังจะมานั่งสงสัยอะไรเธออีก

          “เจ็บนะโว้ย! ฟาดมาได้!”

          “เอ้า งั้นก็บอกมาก่อนว่าไปโดนอะไรมา” พัศชนันท์พูดพลางพยักเพยิดหน้าไปยังหลังของอีกฝ่าย เเต่ก็ได้รับเพียงท่าทีอึกอักไม่ยอมตอบเรื่องที่ค้างคาอยู่กลับมาอีกตามเคย ตากลมโตหรี่ลงอย่างตั้งแง่กับคนเป็นพี่ “ถ้าไม่มีอะไรพี่ก็ตอบมาสิ”

          “…โดนแมวข่วน”

          “แมว? จริงเร้อ….เเล้วทำไมไม่เคยบอกอรว่าพี่เลี้ยงแมว

          “เลี้ยง ตัวใหญ่มาก ดื้อมาก อารมณ์ร้ายด้วย” แจนกลอกตาไปมาก่อนจะพูดเสริมเข้าไปอีกเป็นการบอกกลายๆ ถ้าเรื่องแค่นี้อรคิดไม่ออกก็คงไม่ใช่น้องของเชเช่แล้ว มือขยับติดกระดุมเสื้อให้เรียบร้อย เช็คสภาพตัวเองในกระจกพลางจัดปกเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง นึกถึงเมื่อคืนวานที่เจ้าเหมียวของเธอเอาแต่ข่วนหลังจนมันกลายเป็นยันต์ห้าแถวไปแล้ว รู้สึกมีความสุขอยู่หรอกที่ได้เห็นแมวยักษ์ยอมจำนนแต่แลกมาด้วยการโดนข่วนแบบนี้ช่างไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย

          “ไปกันเถอะ ป่านนี้ป้าบ่นใหญ่แล้ว”

          “ค่า”

          .

          .

          .

          “ชักช้า”

          ขายังไม่ทันก้าวพ้นจากประตูห้องน้ำก็มีเสียงทักไล่มาแต่ไกล ณัฐรุจายืนกอดอกมองหญิงสาวตัวสูงกว่าทั้งสองคนซึ่งส่งยิ้มแหยๆมาให้ แก้วก้าวเข้ามาประชิดตัวคนซึ่งอายุเท่ากันแต่ดันชอบทำตัวเป็นเด็กอยู่เรื่อย ตากวาดไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าสำรวจความเรียบร้อยของเขา มือเรียวแตะลงบนไหล่ของอีกฝ่ายแล้วดันกลับเข้าไปในห้องน้ำ

          “พี่ขอตัวแจนแปปนึงนะ พวกเธอไปก่อนเลย”

          สิ้นคำพูดนั้นหญิงสาวตัวเล็กก็ได้หาสนใจอีกสามคนที่เหลือไม่ แก้วจับมือแจนพาเดินไปยังห้องน้ำห้องสุดท้าย หลังจากล็อกประตูแล้วหล่อนจึงลองแตะมือลงบนหลังของคนตังสูงแผ่วเบา ใบหน้าของเขาแสดงออกชัดเจนถึงความเจ็บปวดซึ่งยังหลงเหลืออยู่ แมวยักษ์แอบหน้าเสียเล็กน้อย ดีที่เธอพกยามาด้วย รู้อยู่แล้วว่าคนอย่างเจตสุภาต้องไม่ยอมทายามาแน่ๆ

          “แจน เลิกเสื้อขึ้น” แก้วออกคำสั่งเสียงเบา มือควานหาหลอดยาในกระเป๋ากระโปรง เงยหน้าขึ้นมาอีกทีอีกฝ่ายก็ยังคงไม่ขยับตัว อิดออดไม่ยอมทายาโดยง่ายให้คนตัวเล็กกว่าต้องถอนหายใจออกมาเบาๆกับความดื้อดึงเอาแต่ใจของคนอายุเท่ากัน

          “เร็วแจน เดี๋ยวก็ทำคนอื่นเขาสายกันหมด..” ถ้อยคำติดดุทำให้ท้ายที่สุดเจตสุภาก็ต้องยอมเลิกเสื้อขึ้นจนได้ ณัฐรุจาบีบยาออกมาเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆบรรจงแตะแต้มมันลงไปทีละนิดๆอย่างเบามือ เจ้าของแผ่นหลังสะดุ้งโหยงทันทีที่ผิวขาวส่วนที่เกิดร่องรอยตำหนิเป็นทางยาวสัมผัสกับเนื้อยา ความเย็นวาบไล้ไปตามทุกจุดที่มีบาดเเผลชวนให้เจตสุภาสูดปาก กรามถูกกัดเเน่นพยายามไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปมากกว่าการกระซิบ ถึงเเม้มันจะช่วยอะไรไม่ได้มากนักในสถานการณ์แบบนี้ก็ตาม

          “ยังแสบอยู่หรอ?..”

          “แสบสิ..ใครใช้ให้ป้าข่วนหนูมาซะเต็มแรงล่ะ” เพราะคำพูดนี้ของเขาแท้ๆทำให้มีสีแดงระเรื่อแต่งแต้มบนใบหน้าของแก้ว หล่อนยิ่งกดเเรงป้ายยาเพิ่มไปอีกด้วยความหมั่นไส้ เรียกเสียงร้องโอดโอยจากแจนได้เป็นอย่างดีจนคนตัวสูงต้องไล่จับเเขนของอีกฝ่ายเป็นพัลวันไม่ให้ทำร้ายร่างกายเขาไปมากกว่านี้

          “เงียบไปเลย..”

          “แต่เมื่อคืนป้าไม่เจ็บใช่มั้ย?”

          “อือ..”

          แก้วหย่อนหลอดยาลงเก็บยังกระเป๋าประโปรงที่เดิม ค่อยๆดึงเสื้อของแจนลงมาไม่ให้มันเปื้อนเนื้อยาที่หล่อนเพิ่งทาลงไปให้เขา ทีนี้จะได้รีบไปที่ตู้ปลาซักที แต่ยังไม่ทันได้ปลดล็อกกลอนประตู คนตัวสูงก็คว้ามือของเธอไปเสียก่อน เขาหลุบตาลงอยู่ครู่หนึ่ง แจนไม่ได้ปล่อยมือออกไปอย่างที่แก้วคิด ทว่ากลับก้มลงจรดริมฝีปากลงบนหลังมืออย่างแผ่วเบา สัมผัสนุ่มนวลค่อยๆเเตะจูบไล่ไปทีละนิ้วเล่นเอาหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเริ่มทำตัวไม่ถูก ใบหน้าเห่อร้อนผะผ่าว

          “ทำอะไรเนี่ย..”

          “หนูว่า..” เว้นคำพูดเอาไว้เพื่อที่ตัวเองจะได้เงยหน้าขึ้นมาช่วงชิงริมฝีปากจากอีกฝ่ายโดยที่หล่อนไม่ทันได้ตั้งตัว เเรงชะงักเล็กๆกับพวงเเก้มที่ขึ้นสีระรื่อทำให้เจตสุภาหัวเราะคิกอย่างถูกอกถูกใจกับปฏิกิริยาตอบกลับของณัฐรุจาก่อนจะพูดต่อ “..ป้าน่าจะตัดเล็บบ้างนะ หนูตัดให้มั้ย?”

          “ก็เพิ่งตัดไปไง”

          “แต่มันยังยาวอยู่เลย”

          “อะไรนักหนาเนี่ย ฮึ?” แก้วเลิกคิ้ว มือถูกดึงออกมาจากการเกาะกุม เปลี่ยนเป็นประคองใบหน้าคนตัวสูงเอาไว้แทน หล่อนเขย่งปลายเท้าขึ้นไปมอบจูบแผ่วเบาเป็นการเอาคืนคนที่ชอบทำเป็นฉวยโอกาสอยู่เรื่อย “ยุ่งจัง จะตัดก็ตัด”

          พอแมวยักษ์อนุญาตแล้วเจตสุภาก็ลอบยิ้ม

          จะตัดให้เหี้ยนเลยคอยดู

Drabble

Mine (NN.K.)

New Canvas


          “ทำไมวันนี้ใส่เสื้อตัวนี้มา?”

 

          เสียงนุ่มทุ้มที่มาพร้อมกับการทาบทับเสื้อคลุมตัวนอกลงมาบนไหล่มนที่โผล่พ้นเสื้อสีโอลด์โรสตุ่นๆของแก้ว คนอายุมากกว่าเลื่อนสายตาซึ่งกำลังจดจ่อกับสมาร์ทโฟนไปมองเจ้าของเสื้อ เอียงคอเล็กน้อยก่อนจิ๊ปากขัดใจ

 

          “ซื่อบื้อ”

 

          ถามว่าใส่มาทำไม

          ก็ใส่มาอ่อยหล่อนเนี่ย!!

 

          มิลินเลิกคิ้วมองพอโดนสวนด้วยคำว่า ‘ซื่อบื้อ’ แต่เจ้าตัวไม่ได้คิดมากอะไรกับคำพูดของหญิงสาวอายุมากกว่าตรงหน้าอยู่แล้ว แค่แปลกใจนิดหน่อยที่วันนี้คุณณัฐรุจาดูอารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ มือแตะลงบนเอวบางของหล่อนเมื่อพวกเธอทั้งสองเดินออกมายังที่ปลอดคนแล้ว รั้งคนตัวเล็กเอาไว้ก่อนยังไม่ให้ขึ้นรถเพื่อกลับบ้านหลังพวกเราสองคนนัดออกมาเจอกันเพื่อช็อปปิ้งนอกรอบหลังแยกกับเพื่อนๆในแก็งค์

 

          “ไม่ได้ซื้อบื้อซักหน่อย ที่จริงก็รู้หรอกน่า”

          “รถอ้อยคว่ำแล้วค่ะคุณแก้ว”

 

          ในแววตาคนตัวสูงมีแววขบขันอยู่ไม่น้อย คนอะไรทำไมตะแง้วๆได้เหมือนแมวขนาดนี้นะ แต่เพราะแววตานั่นมันแสดงออกมาชัดเจนไปหน่อยน้ำหนึ่งเลยได้ค้อนวงใหญ่กลับมาแทน

 

          “รู้แล้วก็ยังทำเฉย!” กระแทกกระทั้นเสียงประชดเต็มที่

          “หนูเปล่า ก็กำลังจะชวนพี่ไปนอนค้างที่บ้านนี่ไง”

 

          แก้วชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘นอนค้างที่บ้าน’ เจ้าหล่อนยิ้มกริ่ม อารมณ์เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือทันที ดีขึ้นผิดหูผิดตาให้มิลินนึกหมั่นไส้ในใจ

 

          “แลกกับห้ามใส่เสื้อตัวนี้อีก..” คนน้องหยุดเว้นช่วงไปครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “อืม.. คิดอีกทีห้ามใส่ตัวที่มันเผยเนื้อเผยหนังเยอะไปด้วยแล้วกัน”

          “ก็พี่จะใส่ น้ำหนึ่งมีสิทธิ์อะไรมาห้ามพี่ล่ะคะ หื้มมม?”

 

          ยิ่งพอพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้นทำให้ความน่าหมั่นไส้ทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก มิลินจัดการก้มลงทาบริมฝีปากลงยังที่เดียวกัน ปิดกั้นไม่ให้เสียงของอีกฝ่ายหลุดหลอดออกมาอีก  จงใจบดขยี้รุนแรงเล็กน้อยให้คนเอาแต่ใจเสียหลักแล้วจึงผละออก เคลื่อนใบหน้าไปกระซิบเสียงแผ่วให้ได้ยินเพียงแค่สองคน

 

          “เพราะพี่เป็นของหนูไงคะ”

Drabble

Come back to sleep (CanNoey)

– Dawn –

DIYcV40UMAASW9K


          “แคน กลับมานอนเถอะ..”

          เสียงงัวเงียดังมาจากทางเตียงนอนภายใต้ไฟสลัวๆของโคมไฟตรงโต๊ะทำงาน เจ้าของชื่อหันกลับมามอง มือละจากแป้นคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ ลุกขึ้นไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆหญิงสาวที่นอนอยู่ก่อนหน้าแล้ว

          “วันนี้แคนมีประชุมเช้า นอนไม่ได้หรอก”

          “แต่นี่มันยังมืดอยู่เลยนะ..?”

          สัมผัสแผ่วถูกประทับลงบนหน้าผาก ตัวของหญิงสาวในชุดนอนถูกรวบเข้าไปกอด นายิกาพยักหน้ารับคำพูดนั้นเบาๆ

          “อื้อ แคนก็แค่อยากให้งานมันเสร็จเร็วๆ”

          “ทำอย่างกับจะไม่มีเวลาอย่างงั้นแหละ..”

          เสียง ชู่วว เบาๆถูกส่งมาพร้อมกับรสหวานๆที่ริมฝีปากเพื่อเป็นการบังคับไม่ให้หล่อนพูดต่อ

          “กลับมานอนกับเนยเถอะ งานน่ะยังมีเวลาอีกเยอะ นะ?”

          “ก็ได้ๆ..”

Drabble

Fate (CanCher)

– You told me goodbye –

gHWjRkd2


          เธอไม่ได้เป็นคนที่เชื่ออะไรง่ายขนาดนั้น

          มือของเฌอปรางกำแน่น ได้แต่มองแผ่นหลังอันสั่นเทาของอดีตคนรักที่กำลังเดินจากไป ดูจากตรงนี้ยังไงก็รู้ว่าหล่อนกำลังร้องไห้

          เฌอปรางรู้ว่าสาเหตุมาจากตัวเอง

          เฌอปรางรู้ว่า..ความจริงแล้วแคนไม่ได้อยากเลิกกับเธอ

          ความรัก หากปราศจากคนสองคนก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้

          หล่อนลูบแหวนวงเล็กที่ถูกสวมใส่เอาไว้บนนิ้วนางข้างซ้าย สัมผัสช่างต่างกับวงที่เพิ่งโดนถอดไปเหลือเกิน

          แหวนวงนั้นเต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย

          เต็มไปด้วยช่วงเวลาของเขาและเธอ

          “แคน”

          “พี่ก็รักเธอ”

          พูดออกไปตอนนี้เขาก็ไม่ได้ยินอีกแล้ว เธอเดินมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับไปยังที่เก่าได้อีก

          ในซักวันหนึ่ง หากว่ามีโอกาสล่ะก็

          พี่ก็อยากจะพบ และได้รักเธออีกครั้ง

          หยาดน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มไม่ได้ช่วยลบล้างความรู้สึกโศกเศร้าหดหู่ใจนี้ลงไปเลย

          เพียงเพราะเราสองคนเจอกันเร็วเกินไป

          “ลาก่อน”

          คนรักที่แสนเดียวดายที่สุดบนโลกใบนี้

Drabble

Loneliest Lover (CanCher)

– We met each other too early –

iR7Evx_l.jpg


          “แคนรักพี่เฌอนะ”

          คำเอื้อนเอ่ยแสนอ่อนโยนหลุดลอยออกมาจากปากของนายิกา

          ฝ่ามือที่แตะแนบบนแก้มของคนรัก เฌอปรางว่ามันแปลกๆ แคนไม่ใช่คนที่จะมาพูดอะไรแบบนี้ ไม่สิ เพราะอารมณ์อินดี้ๆเลยไม่ยอมพูดมันออกมามากกว่า

          สิ่งที่แฟนสาวพูดต่อมาทำให้หัวใจกระตุกวูบ

          “เราเลิกกันเถอะ”

          รอยยิ้มที่ยากจะฝืนให้มันดูสดใสถูกส่งผ่านมาให้เฌอปรางได้รับรู้ด้วยสัมผัสและตาของตัวเอง แคนสวมกอดแน่นจนหายใจแทบไม่ออก คนอายุมากกว่าได้แต่มองอย่างสับสน หัวสมองว่างเปล่าไปหมด

          แม้ว่าจะกอดแน่บแน่นซักเพียงไหน ก็ไม่อาจจูบกันได้

          แหวนสีเงินดีไซน์เรียบๆที่นิ้วนางข้างขวาของเฌอปรางถูกถอดออกโดยเจ้าของ นายิกาหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้

          “ขอให้พี่มีความสุขกับคู่หมั้นนะคะ”

          โชคชะตาของเรามันคงคลาดไปในที่ใดซักแห่ง

          “ลาก่อนค่ะ”

          ช่างเป็นคนรักที่แสนเดียวดายที่สุดบนโลกใบนี้