– 08 : Marry –
Manaka S. x Akane M. x Risa W. x Yuuka S.
ค่ำคืนที่งานแต่งงานของหญิงสาวจากตระกูลมีอิทธิพลทั้งสองตระกูลถูกจัดขึ้นอย่างเรียบหรูทว่ามองจากภายนอกแล้วอาจจะติดอลังการไปซักนิด แต่เพราะฐานะของเจ้าสาวแล้วทำให้งานมันออกมาใหญ่โตแบบนี้ พิธีในงานดำเนินไปได้ด้วยดีไม่มีติดขัดจนกระทั่งถึงตอนกินเลี้ยง อากาเนะสอดส่องสายตาหามานากะที่วันนี้เธอเห็นเขาแค่ตอนเข้างานเท่านั้นเอง หลังจากนั้นก็หายไปไหนแล้วไม่รู้
“ยินดีด้วยนะอากาเนะ มีความสุขมากๆนะ” แต่คุณหนูโมริยะยังพอมีโชคอยู่บ้าง คนที่หล่อนกำลังตามหาได้เดินเข้ามาอวยพรถึงที่ รอยยิ้มแบบไม่ฝืนของมานากะทำให้หล่อนใจชื้นขึ้นบ้าง อย่างน้อยเขาคงจะโอเคขึ้นแล้ว ต้องขอบคุณคนที่ช่วยดูแลมานากะ ถึงเธอจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็เถอะ อาจจะเป็นวาตานาเบะคนนั้นก็ได้
“มานากะจะกลับแล้วหรอ” เธอถาม ยังไม่อยากให้เขากลับเท่าไหร่นัก ตอนนี้อากาเนะแยกกับยูกะไปพูดคุยกับแขกในงาน อันที่จริงแล้วควรจะไปด้วยกัน แต่ยูกะเป็นคนขอว่าตัวเองจะไปคุยกับคุณวาตานาเบะก่อน คุณหนูโมริยะเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆแล้วปล่อยหล่อนไป
“อืม”
“ไม่อยู่รอรับดอกไม้ก่อนหรอ”
“ไม่ล่ะไม่เอาดีกว่า” ชิดะส่ายหน้า วันนี้เป็นวันมงคลของอากาเนะก็จริงแต่เธอไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นานขนาดนั้น แค่อยู่จนจบพิธีก็สุดๆแล้ว งานแต่งของอดีตคนรักเนี่ย..
“อยู่ก่อนสิ สนุกดีออก ไม่รับดอกไม้ก็ได้นี่นา”
“แล้วนี่ใครโยน เธอเหรอ หรือคุณสุไก?” มานากะเลิกคิ้ว ปกติเวลาโยนดอกไม้เขาโยนกันคนเดียว แต่คนติสท์ๆแบบอากาเน็นจะโยนกี่คน.. หล่อนเดาไม่ถูกเลย แต่ก็นั่นแหละเสน่ห์ของหล่อนที่เธอชอบ เดาทางไม่ถูก เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งอีกต่างหาก หวังว่าคุณหนูสุไกจะทนอากาเนะได้นะ
“โยนทั้งคู่นั่นแหละ”
“เห…” นั่นไง เดาผิดที่ไหนล่ะ
.
.
.
“ริสะมากับคุณชิดะเหรอคะ” ในขณะที่โมริยะกำลังคุยอยู่กับชิดะ คุณหนูสุไกเจ้าของงานก็ได้เข้าไปคุยกับคนที่เดินมากับมานากะ หล่อนดูดีใจที่เห็นเขามา ทีแรกยูกะนึกว่าริสะจะไม่มาซะแล้วเพราะเห็นว่าเขากำลังยุ่งอยู่กับงานใหม่ที่คุณนากาฮามะเจ้าของบริษัทมอบหมายให้หลังทำงานที่ครอบครัวเธอจ้างวานเสร็จ
“อื้ม แต่ดูเหมือนมานากะอยากจะกลับแล้วล่ะ เค้าไม่ชอบคนเยอะๆน่ะ” พูดพลางพยักเพยิดไปทางหญิงสาวที่แยกตัวไปคุยกับคุณหนูโมริยะ เห็นงอแงมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วว่าอยากกลับบ้านแถมกอดแขนเธอไม่ยอมปล่อยอีก ชอบทำตัวเหมือนลูกแมวให้น่าหมั่นไส้จริงๆ
“เดี๋ยวสิ รอรับดอกไม้ก่อนสิคะ”
“ฮะๆ ฉันคงรับไม่ได้หรอกยูกะ คนอยากได้ออกจะเยอะ แย่งคนอื่นเค้าไม่ทันหรอก”
“ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับดวงสิค่ะ” ยูกะยังคงรบเร้าให้ริสะมารับช่อดอกไม้ให้ได้ อีกอย่างคุณชิดะก็เหมือนจะโดนอากาเนะชวนให้อยู่ด้วย ถ้าคุณชิดะอยู่ริสะก็ต้องอยู่นั่นแหละ เขามาด้วยกันนี่นา
“อืม…งั้นจะลองดูก็แล้วกันนะ”
“งั้นฉันจะโยนมาทางริสะละกันนะคะ”
“เอ๋…แต่แบบนั้นมันออกจะโกงไปหน่อยไหมนะ ฮะๆ”
“เอาน่า น่าสนุกดีออกค่ะ”
“อืม”
.
.
.
“หลบไปสิมานากะ ตัวสูงก็ไปยืนข้างหลังนู่นไป๊” พอถึงช่วงสำคัญสำหรับสาวๆในงาน พวกหล่อนก็รีบมาออกันเตรียมรอรับช่อดอกไม้ โชคดีที่งานนี้โยนสองช่อพวกเธอเลยไม่ต้องเบียบดแย่งกันมาก แน่นอนว่ามานากะกับริสะก็มายืนรอกับเขาด้วยตามคำชักชวน
“อะไรของพวกแก เป็นบ้าเหรอ กับอีแค่รับช่อดอกไม้ตามธรรมเนียมเนี่ยนะ”
“แกไม่อยากได้ก็ถอยไปดิ มาเกะกะทำไมยะ” บางทีฟุยุกะก็ควรจะใจเย็นๆบ้าง..แถมหล่อนไม่ต้องรับก็ได้แต่งอยู่แล้วมั้ย? แฟนหล่อนยืนหน้าสลอนอยู่นั่นแล้วโว้ย!
“….”
“ริสะล่ะ”
“เอ่อ ฉันไม่แย่งพวกเธอหรอก เชิญตามสบายเลย”
“งั้นพวกตัวสูงอย่างพวกเธอก็ถอยไป” แล้วก็โดนเบียดไปอยู่ข้างหลังตามระเบียบ แขกรับเชิญทั้งสอบลอบถอนหายใจ ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่ายังไงก็รับไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนหนึ่งมันก็จากเพื่อนตัวเองที่มารอแย่งช่อดอกไม้กันนี่ไง..
“….”
“มานากะไปยืนด้านหลังกันเถอะ”
“อืม” คนผมสีอ่อนพยักหน้ารับเบาๆ สีหน้าเบื่อหน่ายถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจนโดยไม่ปิดบังเมื่ออยู่ต่อหน้าวาตานาเบะ
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น เบื่อเหรอ”
“ใช่ ฉันไม่ชอบที่คนเยอะๆน่ะ” ริสะพยักหน้าเข้าใจ เอื้อมมือไปลูบหัวเขาเบาๆอย่างนึกเอ็นดูแต่ก็เพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนเขาเลยลดมือลงจากที่เพิ่งลูบไปได้แค่นิดเดียวเอง ความเสียดายถูกฉายชัดออกมาทางแววตาให้มานากะสังเกตเห็นโดยง่าย
“งั้นเราไปหาที่อยู่กันสองคนมั้ย”
“พูดอะไรเนี่ย” หญิงสาวผมสีอ่อนขึ้นเสียงเล็กน้อย ใครใช้ให้เขาพูดจาสองแง่สองง่ามแบบนั้นล่ะ
“หมายถึงไปหาที่นั่งไกลๆแถวนี้ไง นี่ใครๆเค้าก็อยากมารับดอกไม้ทั้งนั้นแหละ คนเยอะก็ไม่แปลกหรอก”
“อืม งั้นก็ได้”
– ผั๊วะ – เสียงบางอย่างกระแทกโดนหัวของชิดะโดยตรง ทำเอาเจ้าตัวถึงกับเกือบทรุดทีเดียว
“โอ้ย! อะไรเนี่ย” หัวไปทำตาขวางใส่วาตานาเบะที่เดินตามหลังแต่ปรากฎว่าอีกฝ่ายก็ทำหน้ามึนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แถมในมือยังถือช่อดอกไม้อีก อ้าว ดอกไม้มาได้ไง…
“….” เพราะดอกไม้เจ้ากรรม ที่สาวๆตบตีแย่งชิงกันตอนที่เจ้าสาวโยนมาดันลอยมาโดนหัวมานากะเข้า ทำเอาริสะตกใจทำอะไรถูก สุดท้ายเลยรับไว้ให้ พออีกฝ่ายหันหน้ายุ่งๆมา เธอก็เลยยื่นให้เจ้าตัว
“กรี๊ดดดด ดอกไม้ของชั้น!!!!!”
“ทำไมมันลอยไปตรงนั้นล่ะ ไม่นะ!!!”
“นี่แสดงว่าปีนี้ก็คงแห้งเหมือนเดิมใช่มั้ย…เศร้า…” และคำพูดอื่นๆอีกมากมายโดยส่วนใหญ่ก็มักเป็นเพื่อนสาวทั้งหลายที่อุตส่าห์ถ่อมายืนรับกับเขา แต่เวรกรรมที่มันตกไปโดนหัวคนที่เพิ่งโดนไล่ให้ไปยืนที่อื่นซะอย่างงั้น ไม่วายมานากะก็โดนเพื่อนๆมองตาเขียวปั๊ด อิจฉา ทำไมฉันไม่ได้บ้าง!
“เธอเอาดอกไม้ฟาดฉันเหรอริสะ” เจ้าตัวลูบหัวตัวเองป้อยๆ แยกเขี้ยวใส่หญิงสาวอีกคนที่ถือช่อดอกไม้เอาไว้อย่างนึกคาดโทษ ไม่ได้สนใจว่าจริงๆแล้วมันตกลงมาใส่หัวเธอดดยบังเอิญต่างหาก
“ปะ เปล่านะคะ ฉะ ฉันรับมันไว้ให้มานากะนะ มันตกโดนหัวมานากะไง ฉันเปล่าฟาดนะ”
“…..”
“นี่ไง รับไปสิ” ว่าแล้วก็ยื่นช่อดอกไม้ให้ อย่างกับสุนัชที่ทำดีรอให้เจ้าของชมยังไงอย่างงั้น มานากะเห็นแล้วก็อยากเข้าไปยีหัวด้วยความหมั่นเขี้ยวหมั่นไส้ซักทีสองที
“ไม่เอา เธอถือนั่นแหละ”
“อ้าวแล้วสรุปใครได้ดอกไม้ ริสะเหรอ”
“หูย ริสะได้ดอกไม้ ไม่ยุติธรรมเลยอ่ะ!!!” โวยวาย เกรี้ยวกราด โมโห
“แต่เค้าโยนสองช่อไม่ใช่เหรอ แล้วอีกช่อไปไหนแล้วล่ะ”
“นู่นไง อยู่โน่น” ต่างคนต่างชี้กันไปอย่างพร้อมเพรียง จุดหมายก็คือฮิราเตะน้องเล็กของบริษัทที่ยืนถือช่อดอกไม้ทำหน้าเด๋อด๋า กะพริบตาปริบๆอย่างขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง
“… / … / …”
“หนูเปล่านะคะมันตกลงตรงนี้เอง” เธอส่ายหัวดุ๊กดิ๊กปฏิเสธว่าเธอยืนอยู่ดีๆมันก็ตกลงมานะ เลยรับเอาไว้ไม่งั้นดอกไม้ก็เสียหมด คนในานก็ได้แต่เอ็นดู ช่างเป็นเด็กที่น่ารักจริงๆ ต่างจากคู่ที่กำลังกัดกันเพราะคนนึงโดนช่อดอกไม้ตกใส่หัวอยู่ลิบลับเลย
“อ้าว เทะจิได้ล่ะมานากะ”
“เห็นแล้ว จะมาบอกฉันทำไม” พูดด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิด พอจะได้หลีกไปที่ๆคนน้อยๆก็โดนวาตานาเบะรั้งไว้ให้ดูนู่นดูนี่ เธออยากกลับบ้านเต็มแก่แล้ว อยู่ในงานแต่งที่ตัวเองไม่ได้อยากมาขนาดนั้นนี่มัน..
“แล้วมานากะไม่เอาช่อนี้หรอ มันของมานากะนะ”
“ตกใส่หัวชาวบ้านก็ถือเป็นของเค้าแล้วงั้นเหรอ”
“ที่ไม่อยากได้เพราะช่อนี้ยูกะเป็นคนโยนใช่มั้ยล่ะ คิก” วาตานาเบะหัวเราะคิกคักด้วยรู้สึกดีขึ้นที่ได้แกล้งแซวมานากะซักที เห็นวางมาดมานานแล้ว น่าหมั่นไส้จริงๆ
“ห๊ะ! ไม่ใช่นะ!!! ฉันไม่ได้อิจฉา ระ หรือหมั่นไส้อะไรสักหน่อย!”
“ลิ้นพันกันแล้ว ฮะๆ”
“หึ้ย หุบปากไปเลย”
“มานากะ…” ริสะเรียกมานากะด้วยเสียงแผ่วๆ โชคดีที่งานตอนนี้ยังชุลมุลอยู่ทำให้ไม่ค่อยมีคนสนใจพวกเธอเท่าไหร่ หลังช่วงโยนช่อดอกไม้ก็แบบนี้แหละนะ
“อะไร!” คนกำลังหงุดหงิดทำไมต้องมาเซ้าซี้ด้วยเนี่ย มานากะไม่เข้าใจ
“แต่งงานกับฉันมั้ย?” อีกฝ่ายกระซิบเบาๆให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน แต่นั่นมันใช่เวลามาพูดอะไรแบบนี้มั้ย ริสะ!
“ห๊ะ! เธอจะบ้าเหรอ พูดอะไรเนี่ย” แล้วก็สวนกลับไปทันควัน ใบหน้าของหล่อนขึ้นสี แต่เหมือนจะมีคนแถวนั้นได้ยินอยู่บ้าง ขนาดริสะพูดเสียงเบาแล้วยังได้ยิน พวกหล่อนมีหูทิพย์กันหรอ?!
“หืม แต่งงานเหรอ?” นากาฮามะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆโมโนโทน แต่นั่นกลับเรียกความสนใจของแขกเหรื่อในงานให้หันมาสนใจคู่หญิงสาวผมสั้นทั้งสองเป็นจุดๆเดียว
“เปล่าค่ะไม่มีอะไร” พูดปัดไปงั้น
“ว่าไงริสะ” แต่คุณท่านเนรุเนรุเนลก็ยังคงเซ้าซี้ถามต่อ
“….” ยิ้มหวานแต่ไม่ตอบอะไร
.
.
.
“เหนื่อยจัง แต่งงานนี่มันเหนื่อยขนาดนี้เลยเหรอ” เสียงบ่นเป็นหมีกินผึ้งของอากาเนะยังไม่หยุดลงเลยตั้งแต่เข้าห้องมา หล่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียวทั้งที่ยังไม่ได้จัดการเปลี่ยนชุดตัวเองให้เรียบร้อย คุณหนูสุไกก็ได้แต่มองยิ้มๆ นึกเอ็นดูอยู่ในใจ
“งั้นก็เปลี่ยนชุดแล้วก็ไปอาบน้ำเข้านอนได้แล้วค่ะ”
“ฮือ ยูกะไม่เหนื่อยเหรอ”
“เหนื่อยสิคะ” เธอพูดตอบไปด้วยน้ำเสียงปกติ เพราะอยู่ในสังคมแบบนี้มานาน การเข้าสังคมหรืองานใหญ่ๆไม่ใช่ปัญหาอะไร ต่างกันแค่คราวนี้มันเป็นงานของเธอเลยอาจจะเหนื่อยกว่าปกติซักเล็กน้อยเท่านั้นเอง ยูกะค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งข้างๆอากาเนะ ถอดถุงมือสีขาวที่ตัวเองใส่ออยู่ออกมาวางเอาไว้ เตรียมตัวไปอาบน้ำเต็มที่แล้ว
“ยูกะ”
“งอแงทำไมคะ หืม”
“เหนื่อย…”
“โอ๋ มานี่สิคะ” เหมือนเป็นสัญญาณไฟเขียวให้โมริยะเข้าไปกอดอ้อนคุณหนูสุไกได้เต็มที่ ในงานเธอทำตัวเด็กๆแบบนี้ไม่ได้เลย เป็นอะไรที่น่าขัดใจที่สุดในงานแล้ว ต้องเก๊กหน้ายิ้มแย้มให้แขกที่มางาน ทั้งที่จริงๆไม่เห็นต้องมีพิธีก็ได้นี่นา จดทะเบียนเอาเฉยๆก็ได้ ไม่รู้คุณท่านสุไกกับคุณพ่อคิดอะไรอยู่
“งือ พรุ่งนี้ไม่ไปทำงานได้มั้ยคะ” แล้วอากาเนะก็หาเรื่องหยุด
“….”
ที่จริงแล้ว แค่อยากจะอู้งานสินะคะ…
“อืม…ดูเหมือนจะมีวันหยุด 2 – 3 วันนะคะ ก่อนจะกลับไปเคลียร์งาน”
“เอ๋? หยุดหรอ เย้!” ท่าทางดีใจเหมือนเด็กๆของอากาเนะทำให้ยูกะยิ้มได้อีกแล้ว หล่อนเผลอหัวเราะออกเสียงเบาๆ ถ้าได้อยู่กับอากาเนะนานๆล่ะก็อาจจะทำให้ลืมริสะไปได้ก็ได้…
“คิก แค่อยากหยุดเองเหรอคะ โถ เด็กน้อย” เธอลูบหัวอีกฝ่ายแปะๆ แถมจุ๊บแก้มไปทีนึง เอาใจเขาหน่อย เดี๋ยวจะน้อยใจ
“ไม่ใช่เด็กสักหน่อย โตแล้ว”
“ถ้าโตแล้วก็อย่างอแงสิ หืม ใช่มั้ย”
“ชิ ไปอาบน้ำแล้วดีกว่า” โมริยะมุ่ยหน้า อยากกัดคุณหนูคนนี้ให้จมเขี้ยวจริงๆ บอกว่าโตแล้วก็คือโตแล้วสิ อาจจะเด็กในสายตาเธอแต่สำหรับคนอื่นเธอโตแล้วนะ!
“อ้าว งอนเหรอ เดี๋ยวสิคะอากาเนะ”
.
.
.
“ยูกะจะเข้ามาทำไมเนี่ย ออกไปค่ะ เดี๋ยวก็ไม่ได้อาบน้ำซักทีสิ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย อาบด้วยกันก็ได้นี่นา มันดึกแล้วนะคะ เราจะได้รีบเข้านอนไง”
“….”
แล้วใครมันจะไปทนอาบน้ำเฉยๆกับเจ้าสาวตัวเองได้เล่า บ้าไปแล้ว ยูกะคิดอะไรอยู่!!!
“ถอดสิคะ ทำไมช้าจัง เดี๋ยวน้ำก็เย็นหรอก” ถ้าอากาเนะไม่ยอมถอดเธอเนี่ยแหละะถอดให้ คุณหนูตระกุลสุไกคิดไปมือก็จับที่ชายเสื้อของอีกฝ่ายแล้ว ฮึ่ม
“หา อ่า เอ่อ ตอนนี้เหรอ”
“ใช่ เร็วๆค่ะ”
“ค่ะๆ เดี๋ยวนี้แหละค่ะ” เพิ่งแต่งไปยังไม่ทันข้ามคืนเลย กลายเป็นชิบะหงอยเมียไปแล้ว
.
.
.
ทางด้านมานากะกับริสะ พวกเธอออกมาก่อนงานจะจบแบบเฉียดๆ เพราะบอสนากาฮามะดันปากสว่างให้เพื่อนๆคนนู้นคนนี้แวะเวียนเข้ามาถามเรื่องแต่งงานไม่ขาดรวมทั้งเจ้าภาพงานอย่างอากาเนะกับยูกะยังเข้ามาถาม เรื่องนี้มันไม่ธรรมดาแล้ว กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ก็นานโขเลย
“ริสะ” มานากะเรียก หลังกลับมาถึงคอนโดของเขาพวกเธอก็รีบอาบน้ำทันที เหนียวตัวจะแย่ แต่ตอนนี้กำลังนั่งเอื่อยเป่าผมรอผมแห้งกันอยู่
“หืม…” ตอนนี้วาตานาเบะกำลังบริการเช็ดผมให้คุณนายเขาอยู่ นั่งสบายเชียวเนี่ย ตอนนี้มานากะไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่คุณหนูสุไจะรักริสะมากขนาดนั้น เอาอกเอาใจเป็นที่หนึ่ง แถมแคร์มากๆอีกต่างหาก
“ที่พูดไปเมื่อตอนเย็น เธอ…เอ่อ…พูดจริงเหรอ” ชิดะถามถึงเรื่องที่เขาขอแต่งงานด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ถ้าริสะพูดเล่นขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ? แต่นิสัยของริสะไม่ใช่คนชอบพูดล้อเล่นซักหน่อยนี่
“หืม…อ๋อใช่ ฉันอยากเลี้ยงหมา” ตอบมาไม่ได้ตรงกับที่คิดเลยซักนิด
“….” มานากะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกระฟัดกระเฟียดอยู่ในใจแต่ไม่แสดงออก อยากรู้จะตายแล้วว่าริสะพูดจริงรึเปล่าแต่เขาดันมาเฉไฉไปเรื่องหมาเฉยเลย หนอย..
“จะเลี้ยงพันธุ์อะไรดีล่ะ มานากะช่วยคิดหน่อยสิ” เขาพูดพลางหยิบไดร์มาเสียบปลั๊ก เปิดแล้วเป่าผมให้มานากะจะได้แห้งเร็วๆ ไปงานแต่งของยูกะกับอากาเนะวันนี้กว่าจะได้กลับเหนื่อยสายตัวแทบขาด อยากทิ้งตัวเอนหลังลงนอนเต็มแก่แล้ว
“เฮ้อ~” อยู่ๆชิดะก็ถอนหายใจออกมาให้วาตานาเบะงงเป็นไก่ตาแตก ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
“อ้าว ถอนหายใจทำไม หรือมานากะไม่ชอบหมาหรอ งั้นฉันเลี้ยงแมวก็ได้นะ”
“เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก จะเลี้ยงอะไรมันก็เรื่องของเธอสิ นี่มันห้องเธอนะ” ใช่ จะเลี้ยงอะไรก็เลี้ยง มานากะไม่มีสิทธิ์ไปชี้นิ้วสั่งหรอกว่าอยากเลี้ยงอะไรหรืออยากได้พันธุ์ไหน
“ไม่ได้หรอก ก็มานากะเป็นแฟนฉันนี่”
“….” พูดไม่ออกเลยค่ะ เขิน…
“มานากะอยากเลี้ยงพันธุ์อะไรคะ”
“แล้วแต่ริสะเถอะ พันธุ์อะไรก็ได้ฉันได้หมดแหละ”
“ฉันอยากเลี้ยงโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เธอว่าไง?” เขาพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงสุดแสนดี๊ด๊า ใครมาฟังก็รู้ว่าเจ้าตัวอยากเลี้ยงมากขนาดไหนแถมดูจะมีความสุขมากเสียด้วย ตอนนี้ริสะเลยอารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะจะได้เลี้ยงหมาสมใจอยาก
“ก็ดี น่ารักดี” ถ้าเลี้ยงจริงต้องเหมือนมีริสะอีกคนแน่ๆ…
“นี่…แต่ว่าเรื่องที่เธอถามฉันตอนเย็นอีกเรื่องนั่นล่ะ” ในที่สุดมานากะก็ทำให้บทสนทนาวกกลับมาเรื่องเดิมได้ซักทีหลังออกทะเลไปเรื่องหมาเรื่องแมวอยู่พักใหญ่ๆ หล่อนพูดเสียงแผ่วลงจากเดิมไปมากทีเดียว คาดว่าเพราะความไม่แน่ใจ ไม่แน่ใจว่าริสะพูดเล่นหรือว่าจริงจังกับเรื่องนั้นมากน้อยแค่ไหน
“หืม…อีกเรื่องนึง? อ๋อ”
“เธอพูดจริงใช่มั้ย”
“ใช่ ฉันอยากบอกให้บอสกับทุกๆคนรู้นะว่าเราคบกัน แต่ถ้ามานากะยังไม่พร้อมเราคบกันเงียบๆก็ได้ค่ะ ไม่เป็นไรฉันรอได้” คราวนี้วาตานาเบะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง มือที่กำลังถือไดร์เป่าผมของเขาชะงักนิ่งไป เริ่มให้ความสนใจกับหญิงสาวที่นั่งหันหลังให้ตรงหน้ามากกว่าการเป่าผมของหล่อนให้แห้ง
“….” เงียบแบบนี้แสดงว่าปฏิเสธสินะ..รู้อยู่แล้วแหละ
“ทำไมหรอ”
“เปล่า ขี้เกียจพูดแล้ว เป่าเสร็จก็หวีผมให้ฉันด้วย”
“คิก มานากะ” อยู่ๆก็หัวเราะขึ้นมาซะงั้น ช่วงนี้มานากะเดาใจริสะได้ยากเหลือเกิน หรือเพราะความจริงแล้วที่เห็นในอออฟฟิศนั่นริสะสร้างภาพ? ตัวจริงมันร้ายกว่าเห็นๆ
“อะไร!”
“ถ้าอะไรๆมันเข้าที่กว่านี้ เธอจะแต่งงานกับฉันไหม?”
“ริสะ…”
“คุณหนูอากาเนะตื่นเถอะครับ สายแล้วนะครับ”
“!!!!” โมริยะสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะสัมผัสมือสากๆที่ไหล่ หล่อนปรือตาขึ้นมองยังผู้ที่เข้ามาปลุกเธอ ไม่ใช่ยูกะภรรยาสุดที่รักอย่างเช่นทุกวันนี้แต่ดันเป็นคุณหัวหน้าพ่อบ้าน เป็นคุณเซบาสเตียนซะอย่างงั้น
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“ทะ ทำไมคุณเซบาสเตียนถึงมาปลุกฉันล่ะคะ ละ แล้วยูกะ…” เธอกวาดสายตาไปทั่วห้องแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของหญิงสาวผมยาวสีเข้ม จะเห็นก็มีแต่ก้อนขนสามก้อนอยู่ในห้องนั่นแหละ
“พอดีคุณทอมป่วยน่ะครับ คุณหนูยูกะเลยพาไปพบคุณหมอครับ”
“คุณทอม? ทอม… อ๋อ เจ้าแมวนั่นน่ะหรอ”
แมวอ้วนนั่นป่วยเหรอ ชิ! แกแย่งยูกะไปจากฉันอีกแล้ว หนอย แทนนี่ฉันจะได้นอนกอดยูกะทั้งวัน หึย เจ้าแมวอ้วน!!!
“ขอบคุณที่มาปลุกฉันนะคะคุณเซบาสเตียน”
“ด้วยความยินดีครับ งั้นผมขอตัวนะครับ”
“ม๊าวววว” เสียงร้องสามเสียงแทบจะประสานกันทันทีที่คุณเซบาสเตียนออกไป อากาเนะหันไปมองยังต้นเสียงถึงได้เห็นตาแป๋วๆสามคู่จ้องมองมาทางตัวเอง
“หืม…ว่าไงเจ้าเหมียว เหมือนเรารู้จักกันมาก่อนเลยนะ” อาจจะเป็นตอนเด็กๆที่เธอมาเล่นบ้านสุไกบ่อยๆทำให้รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับเจ้าเหมียวพวกนี้ก็ได้..
“ม๊าววว” แมวน้อยสามตัวเดินตรงมาคลอเคลียแฟนใหม่เจ้านาย(?) ราวกับรู้ว่าถ้าไม่ผูกมิตรกับมนุษย์คนนี้ไว้ พวกมันจะต้องลำบากแน่
“หืม ชื่ออะไรกันบ้างเนี่ยเจ้าตัวยุ่ง” พูดด้วยน้ำเสียงอยากขยี้ขนเจ้าพวกก้อนนี่ให้หมด มือไวๆของโมริยะคว้าตัวเปอร์เซียสีขาวขนฟูมาไว้ได้ ตาสีฟ้าสว่างของมันดูสวยจนอากาเนะไม่อยากเชื่อว่าแมวจะมีแววตาที่สวยขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าแหละ แมวของตระกูลสุไกต้องดูดีอยู่แล้ว ยกเว้นเจ้าลูกชิ้นนั่น..
.
.
.
“กลับมาแล้วค่ะ” ทันทีที่เสียงของคุณหนูสุไกดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง โมริยะที่กำลังนอนจมอยู่ในกองก้อนขนสามก้อนแทบเด้งตัวขึ้นมารับไม่ทัน
“ยูกะ~ กลับมาแล้วเหรอคะ~”
“ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอคะ ฮะๆ” เจ้าของบ้านรีบปล่อยแมวอ้วนอย่างทอมลงไปนอนบนเตียง ซึ่งมันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เดินอุ้ยอ้ายไปหามุมของตัวเองแล้วนั่งด้วยท่าประหลาดๆที่ไม่ว่าอากาเนะจะเห็นกี่ครั้งก็หมั่นไส้มันทุกครั้ง
“ก็เล่นกับแมวจนเบื่อแล้ว”
“แล้วนี่ทอมเป็นอะไรเหรอ”
“ทอมท้องผูกน่ะค่ะ”
“ท้องผูก…”
“อื้ม”
“แมวก็ท้องผูกได้ด้วยเหรอ”
“ได้สิคะ”
“อ๋อ…” กินเยอะเอง แล้วอึไม่ออกล่ะสิเจ้าอ้วน เหอะ สมน้ำหน้า
.
.
.
“ยูกะแล้วหลังจากกลับไปเคลียร์งานแล้วราจะไปฮันนีมูนที่ไหนดีคะ” โมริยะที่กำลังอุ้มเจ้ามิ้ลค์ขึ้นมาแปลงขนถามขึ้น ดูเธอจะชอบเจ้าเปอร์เซียขนฟูนี่เป็นพิเศษ อาจเพราะมันดูเป็นมิตรที่สุดแล้วในบรรดาแมวทั้งสี่ตัวของยูกะ
“หืม นั่นสิคะ แต่ฉันยังไม่ได้ปรึกษาท่านพ่อกับท่านแม่เลยนะคะ เอ…อากาเนะอยากไปที่ไหนเป็นพิเศษมั้ยคะ” หญิงสาวผมสีเข้มตอบกลับ ตอนนี้เจ้าทอมมานอนแหมะอยู่บนตัก เธอจะขยับไปหาอากาเนะก็ขยับไม่ได้เพราะเกรงใจทอม เห้อ ชีวิตทาสแมว..
“ที่ไหนก็ได้ที่มียูกะค่ะ”
“แหม…อ้อนจังเลยนะคะ”
“ฮันนีมูนเนี่ยคนทั่วไปเขาไปที่ไหนกันน๊าาาาา อืมมมมมม” อากาเนะคิดไม่ตก จะเที่ยวทะเลก็น่าเบื่อ ญี่ปุ่นมีทะเลล้อมรอบอยู่แล้ว หรือจะไปต่างประเทศดี.. อันนี้ก็น่าสนใจ เพราะเธอไม่ได้ไปต่างประเทศนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่ายูกะจะอยากไปหรือเปล่า
“ยูกะงั้นเราไปมัลดีฟกันมั้ย”
“เอ๋ อากาเนะอยากไปเหรอคะ” คุณหนูสุไกเลิกคิ้ว มัลดีฟก็ไม่ได้แย่อะไรเท่าไหร่นัก ว่าแต่ไปมัลดีฟนี่เอาแมวสี่ตัวของเธอไปด้วยได้มั้ยนะ?
“อื้ม”
“งั้นก็ได้ค่ะ”
“เย้~ รักยูกะที่สุดเลย”
“หืม แต่ว่าพาแมวไปด้ว—-” ยังไม่ทันจะพูดจบก็โดนอีกฝ่ายพูดขัดขึ้นเสียก่อน
“พวกแมวฝากคุณเซบาสเตียนไว้แล้วกันนะ” อากาเนะอุ้มเจ้าก้อนขนสีขาวลงจากตัก พอดีกับที่เห็นขนมันร่วงกราวอยู่บนตักตัวเองแล้วก็อยากกลอกตา ถึงมันจะน่ารักแต่ขนร่วงแบบนี้ไม่ไหวนะ
“เอ๋ ทำไมล่ะคะ พวกมันก็เหงาแย่สิ ฉันก็ด้วย คงเหงาแย่เลย”
“มีกันตั้งสี่ตัวไม่เหงาหรอก แล้วยูกะจะเหงาได้ไงคะ ยูกะมีฉันทั้งคนนะ” งอน… แมวสำคัญกว่าฉันอีกเหรอ เจ้าพวกก้อนขนนั่นมันน่าสนใจตรงไหนกัน ชิ!
“แต่ว่าช่วงนี้ฉันไม่ค่อยมีเวลาให้พวกเค้าเลยนะคะ”
“….”
“เอาไปด้วยไม่ได้จริงๆหรอคะ เด็กๆทุกคนไม่ซนหรอกนะคะ”
“….” ไม่ซนแต่เกะกะน่ะสิ แล้วยูกะก็จะเอาแต่อยู่กับเจ้าพวกนั้น.. คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เธออาจจะลืมไปว่ายูกะคงไม่ได้ให้ความสนใจเธอเท่าเจ้าแมวสี่ตัวนี้เท่าไหร่ ตอนนี้ชีวิตเธอรันทดขนาดที่ยังสำคัญน้อยกว่าแมว..
“….”
“อากาเนะ…”
“….” เงียบ
“งอนเหรอคะ”
“….” ก็ยังเงียบ
“ฉันขอโทษ ไม่พาพวกน้องแมวไปด้วยก็ได้ อย่างอนเลยนะคะ” เหมือนเจ้าลูกชิ้นทอมจะรู้ใจทาส(?)ของตัวเองอยู่บ้างเลยยอมลุกออกจากตักของยูกะ ให้หล่อนขยับตัวเข้าไปกอดอากาเนะได้หลังจากที่นั่งจนเหน็บกินเพราะทอมไม่ยอมลุกบวกกับน้ำหนักที่มากกว่าแมวปกติของมัน
“ไม่ได้งอน แค่น้อยใจ…บู่” มันก็สมควรจะน้อยใจอยู่หรอก ยูกะควรจะสนใจเธอมากกว่าแมวพวกนั้นซักหน่อย หรือเท่าๆกัน นี่จะไปฮันนีมูนแล้วยังจะเอาแมวไปด้วย หมดกันเวลาส่วนตัว
“น้อยใจอะไรคะ หืม ไม่เอาสิ หันมานี่หน่อยนะ โอ๋”
“จะเอาแมวไปด้วยจริงๆเหรอ…”
“เอ่อ…” ยูกะอึกอัก ในนึงก็อยากเอาแมวไป อีกใจก็กลัวว่าอากาเนะจะนอยด์มากกว่าเดิมถ้าเอาเหมียวทั้งสี่ไปด้วย
“งั้นตัวเดีย–”
“ไม่!” พอโมริยะยื่นคำขาดแล้วคุณหนูสุไกก็เหมือนจะหงอยลงไปถนัดตา เหมือนมีเสียง‘หงิง’เบาๆออกมาเลย อย่างกับลูกหมา หล่อนซบหน้าลงกับบ่าของหญิงสาวอีกคนด้วยท่าทางออดอ้อนเผื่อว่าเขาจะใจอ่อน
“ยูกะอยากจะเอาแมวไปด้วยจริงๆเหรอ” อากาเนะยกแขนขึ้นกอดตอบอีกคนเอาไว้หลวมๆ ถามย้ำอีกครั้งเพื่อตัวเองจะได้ไม่มาหงุดหงิดทีหลังถ้ายูกะจะเอาแมวไปด้วย
“ถ้าอากาเนะไม่อยากให้พาไปด้วย ก็ไม่เป็นไรค่ะ ฝากคุณเซบาสเตียนไว้ก็ได้”
“พอเถอะ ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว เลิกพูดถึงแมวพวกนั่นซะที” โมริยะเบื่อจะพูดเรื่องแมวกับคนรักของเธอเต็มทนแล้ว ถ้ายูกะจะพาพวกมันไปด้วยจริงๆเธอก็คงห้ามไม่ได้ แต่เธอก็มีวิธีกำจัดพวกเสี้ยนหนามขนปุยพวกนี้ในแบบของเธอเหมือนกัน ยูกะผละกอดออกมามองหน้าอีกฝ่าย หน้าตายังหงอยอยู่เหมือนเดิมจนอากาเนะอยากจับฟัดให้หายหมั่นเขี้ยว
ตอนนี้จูบอย่างเดียวแล้วกัน
.
.
.
– ติ้งต่องๆๆ –
“ค่าาาาา มาแล้วค่ะ” มานากะรีบตรงไปที่ประตูบ้านทันทีที่ได้ยินเสียงออดกดย้ำๆ ในใจคิดว่าใครกันมากดออดตอนดึกดื่นแบบนี้ คงไม่มีเหตุเร่งด่วนอะไรใช่มั้ยเนี่ย? หรือบอสเรียกไปบริษัท? แต่ก็ไม่น่า นี่มันมืดมากแล้วนะ..
“เอ่อ..ไง..” แต่พอเปิดประตูบ้านกลับพบว่าคนที่มากดออดคือริสะนั่นเอง
“เดี๋ยว! มานากะ เฮ้! อย่าพึ่งปิดประตูหนีสิ” อีกฝ่ายยังไม่ทันทำอะไร แต่มานากะก็จงใจปิดประตูทิ้งอีกฝ่ายทันที ทำให้ริสะต้องรีบดันประตูเอาไว้ก่อนเธอจะถูกทิ้งไว้นอกบ้านคนเดียว
“มาทำไมดึกดื่น นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วริสะ ไปดื่มมาเหรอ กลับไปเลยนะ ถึงว่าสิไม่ตอบไลน์” ชิกะตอบเสียงงอนๆ เธอไลน์ไปหาเขาตั้งแต่หัวค่ำยันจะสี่ทุ่มแล้วยังไม่ตอบเลย มันน่านัก
“ไม่ใช่นะมานากะ ฉันไม่ได้ตอบเพราะมัวแต่เก็บของต่างหาก”
“เก็บของ?” เจ้าของบ้านถามเสียงสูง ริสะจะเก็บของทำไม? เขาจะไปต่างจังหวัดหรอ? แต่ถ้าไปเขาต้องบอกเธอก่อนสิ นี่ไม่บอกอะไรเลย
“เอ่อ… ของพวกนี้น่ะ” ริสะชี้ไปประเป๋าเดินทาง 2 – 3 ใบ และกล่องใหญ่อีกกล่องนึงที่วางอยู่บนพื้น ถัดจากที่เธอยืนไปเล็กน้อย มานากะมองด้วยสายตางุนงง แล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน
“แล้วไง เธอจะไปเที่ยวเหรอ ทำไมเตรียมของมาเหมือนจะย้ายบ้านแบบนั้นล่ะ?” เดี๋ยวนะ..พูดถึงย้ายบ้าน ริสะจะย้ายบ้านไปที่ไหนหรือเปล่าเนี่ย??? กระทันหันไปมั้ย!
“ย้ายมาอยู่กับมานากะไง”
“….”
“ห๊ะ?”
“ย้ายมาอยู่กับมานากะ”
“ย้าย…มาอยู่กับฉัน…” มานากะทวนช้าๆอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง จ้องอีกฝ่ายนิ่ง
“อื้ม”
“….”
“ฉันเข้าไปในบ้านได้รึยัง?”
“ใครอนุญาตให้เธอย้ายมาเล่า ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาฉันสักคำ ไม่! อย่าเข้ามานะ! อย่า!”
“….” ริสะขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆของมานากะ ยิ่งเจ้าตัวแสดงทีท่าราวกับรังเกียจเธอนักหนานั่นยิ่งทำให้รู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก ทีก่อนหน้านี้ทำตัวอย่างกับลูกแมว หนอย..
มานากะทำเหมือนฉันจะทำมิดีมิร้ายอะไรเธอสักอย่างเลย ทั้งๆที่ฉันแค่ขอเข้าบ้านเธอแค่นี้เองนะ…
“มานากะจะไม่ให้ฉันอยู่ด้วยจริงๆหรอคะ จะไล่ฉันไปนอนที่อื่นจริงเหรอ”
“….”
“ให้ฉันอยู่ด้วยเถอะนะ นะ นะ”
“แล้วทำไมเธอไม่อยู่คอนโดเธอล่ะ มันสะดวกสบายกว่าบ้านฉันตั้งเยอะ”
“เอ่อ…ฉันขายห้องฉันไปแล้วล่ะ” วาตานาเบะพูดเสียงเบา กระอักกระอวนอยู่ไม่น้อย ที่จริงมันเป็นการมัดมือชกมานากะทางนึง หนึ่งในแผนร้ายๆของริสะที่อีกฝ่ายน่าจะคาดไม่ถึง
“ห๊ะ!? เธอว่าไงนะ ขายไปแล้ว!”
“อื้ม”
“แล้วทำไมถึงขายล่ะ งั้นตอนนี้เธอก็ไม่มีที่อยู่งั้นเหรอ”
“ใช่”
“….”
“งั้นให้ฉันอยู่กับมานากะนะ” ไม่พูดเปล่า คราวนี้มาทั้งลูกอ้อนทั้งจับไม้จับมือทำตาปิ๊งๆใส่ มานากะเห็นแล้วอยากลงไปแดดิ้น ที่จริงอยากให้เข้ามาตั้งนานแล้ว แต่แค่เล่นตัวไปเท่านั้นแหละ
“ก็..ก็ได้”
.
.
.
ชิดะช่วยวาตานาเบะย้ายของเข้ามาในบ้าน ตอนแรกก็คิดว่าถ้าริสะมาอยู่ที่นี่จะให้นอนห้องไหน แต่ก็มานึกได้ทีหลังว่าริสะต้องอยากนอนที่ห้องเธอแหงๆ เลยไม่ได้ถามอะไรออกไป ถึงบางครั้งเขาจะยอมเธออยู่บ้าง ทว่าบทจะเอาแต่ใจก็สุดๆไปเลย เหมือนอย่างตอนนี้ มานากะล่ะปวดหัวจริงๆ
“ขอบคุณนะ เหนื่อยมั้ยมานากะ” เมื่อจัดการวางของอะไรเข้าที่เรียบร้อยแล้ววาตานาเบะก็รีบเข้าไปปรนนิบัติพัดวีให้หญิงสาวผมสั้นทันที ถ้ามีใครผ่านมาเห็นคงต้องหมั่นไส้มานากะแน่ๆ
“เหนื่อยสิ เนี่ยเมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้ว” พอได้ยินแบบนั้นริสะก็ลงมือนวดไหล่ให้อีกฝ่ายอย่างเอาอกเอาใจ เดี๋ยวถ้ามานากะเปลี่ยนใจขึ้นมาจะแย่เอา
“มานากะ…”
“หืม อะไร”
“เรื่องแต่งงานน่ะ คือ…”
“เราพึ่งคบกันเองนะริสะ อย่าเพิ่งรีบสิ”
“แต่ว่า…”
“ทำไมถึงอยากแต่งงานแล้วล่ะ ฮึ ว่าไงเจ้าหมา” หญิงสาวผมสีอ่อนย่อตัวลงนั่งเล่นกับเจ้าลูกหมาโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ที่ริสะเพิ่งซื้อมาเลี้ยงได้ไม่นาน เจ้าหนูขนปุกปุยวิ่งกระดิกหางมาหามานากะทันทีที่มันเห็นหล่อน คงจะจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนของเจ้านาย
“โฮ่ง โฮ่ง”
“ซนจังเลยนะแกเนี่ย เหมือนเจ้าของเลย”
“ฉันเปล่าซนนะ” นี่คิดผิดรึเปล่า ที่เอาเจ้าหมาน้อยนี่มาเลี้ยง เพราะนอกจากมันจะดึงความสนใจในตัวเธอจากมานากะไปแล้ว เจ้าหมานี่ยังชื่อคล้ายเธอด้วย…
นั่นก็เพราะฉันให้มานากะเป็นคนตั้งชื่อมันน่ะสิ
“ริจจังห้ามกัดขาโต๊ะนะ ริสะไปจับริจจังไว้ซี๊ เร็ว!!!” และตามคำสั่งของเจ้าบ้าน ริสะตรงเข้าไปอุ้มตัวแสบออกมาจากโต๊ะไม้ทันที สงสัยเพราะว่าอยู่ในวัยเด็กเลยทำให้เจ้าตัวน้อยนี่ชอบไปแทะนู่นแทะนั่นลับเขี้ยวล่ะมั้ง..
“โฮ่ง!”
“อย่าซนน่า ห้ามทำลายข้าวของบ้านมานากะเด็ดขาดเลยนะ รู้มั้ย ฮึ!” เขาพูดเสียงดุ ริจจังที่ว่าหงอยลงไปถนัดตา หางลู่หูตกน่าสงสารจนชิดะต้องเข้ามาห้าม
“ริสะจะเสียงดังทำไม!!! สงสารริจจัง อย่าพูดแบบนั้นกับลูกหมาสิ”
“อ้าว..ก็เธอ…”
“ห้ามเถียง!”
“ค่ะ…”
“มานี่ฉันอุ้มเอง โอ๋ไม่ต้องกลัวริสะหรอกนะ ฉันไม่ได้ใจร้ายแบบริสะหรอก”
“หงิงๆ”
“….”
ใครว่าอากาเนะมีปัญหากับสัตว์เลี้ยงบ้านสุไก
ตอนนี้ริสะก็เริ่มเป็นแบบนั้นแล้วเหมือนกัน..
.
.
.
“ริสะ…”
“….”
“ริสะ”
“….”
“เป็นอะไรทำไมไม่คุยกับฉัน หืม” ชวนคุยก็แล้ว หาอะไรมาทำก็แล้วแต่ริสะก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมาซักอย่าง มานากะเริ่มใจแป้ว จนกระทั่งปล่อยให้ริจจังเข้ากรงไปนอนแล้วถึงได้เข้ามาคุยด้วยอีกครั้ง
“น้อยใจ…”
“ห๊า!?”
“ก็มานากะเอาแต่เล่นกับริจจัง ไม่สนใจฉันเลย” ริสะตัดพ้องอนๆ ริจจังนี่มันตัวดึงความสนใจจากมานากะชัดๆ หรือเพราะว่ามันเหมือนเขามากเกินไปมานากะเลยสนใจเจ้าลูกหมานี่มากกว่า??
“โถ่ ก็นึกว่าเรื่องอะไร ก็นั่นมันลูกหมานะ ริจจังยังเด็กอยู่เลย ต้องการเพื่อนเล่น ฉันไม่สนใจริสะตรงไหน”
“….”
“ตกลงจะไม่พูดกับฉันใช่มั้ย”
“….”
“ก็ได้!” ชิดะกระชากเสียง หลังจากนั้นหล่อนก็เป็นฝ่ายเงียบกลับบ้าง เกรี้ยวกราด
“….” ก็ได้ของมานากะนี่มันหมายความว่ายังไงกันนะ…
“ถ้างั้นก็นอนนอกห้องนะคืนนี้” หล่อนพูดเสียงเรียบๆ ดีไม่ดีนอกจากริสะจะได้นอนนอกห้องแล้วเธออาจจะเอาริจจังเข้าไปนอนแทนเจ้าของก็ได้ ฮึ เล่นตัวดีนัก
“มานากะ อย่าทำแบบนั้น ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว”
“หึ! แล้วทีแบบนี้ถึงจะพูดนะ”
“ขอโทษ ขอโทษนะ” ตอนนี้วาตานาเบะไม่ได้ต่างไปจากริจจังตอนกำลังหงอยเลยซักนิด น่าจะเรียกว่าเป็นริจจังร่างคน หางตาตกๆ คิ้วที่ย่นลงเพราะรู้สึกผิดอีก ดูไปดูมายังไงมันก็เจ้าตูบชัดๆ
“จูบฉันสิ”
“อะไรนะ…”
“บอกให้จูบไง ไม่ได้เหรอ!” ไม่เล่นใหญ่ไม่ใช่มานากะ หล่อนยืนกอดอกทำหน้ามุ่ย พร้อมที่จะเดินเข้าห้องแล้วลงกลอนทันทีถ้าริสะไม่ทำตามใจ อารมณ์แปรปรวนจนบางทีริสะก็คิดว่าตอนนี้มานากะมีรอบเดือนอยู่รึเปล่า
“มานากะ เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งล็อค ให้ฉันเข้าไปก่อน!”
“ชิ! ริสะจะเสียงดังทำไมเดี๋ยวริจจังก็ตื่— อื้อ” พูดไม่ทันจบก็โดนขโมยจูบไปซะแล้ว ทีแรกหล่อนก็แอบตกใจเพราะไม่ได้ตั้งตัว หัวสมองโล่งไปหมดเลยตอนริสะประกบปากลงมา
“จูบแล้ว หายโกรธนะ”
“แค่นี้น่ะ ไม่พอหรอก” ไม่ว่าเปล่า มานากะคว้าตัวเขาเข้ามาในห้องโดยที่มือข้างหนึ่งจับลูกบิดประตู ดึงมันปิดลงเสียงดังปังและตามมาด้วยเสียงล็อคห้อง
เธอเสร็จฉันแน่ริสะ!
.
.
.
นี่ก็ผ่านมาเกือบสองสามเดือนแล้วที่ยูกะกับอากาเนะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ความจริงคือนอกจากพวกเธอสองคนแล้วยังมีแมวอีกสี่ตัว คุณเซบาสเตียน แล้วก็ม้าตัวโปรดของยูกะอีกตัวด้วย อากาเนะจำชื่อมันไม่ได้แต่ที่แน่ๆคือชื่อหรูมากจนไม่น่าเชื่อว่ามันเป็นชื่อม้า
“ตื่นได้แล้ว” แรงเขย่าเบาๆที่หัวไหล่ทำให้โมริยะซึ่งปกติเป็นคนตื่นง่ายรู้สึกตัวขึ้นมา แต่พอนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ต้องไปทำงานแล้วเธอเลยแกล้งทำเป็นหลับต่อ ไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น
“….”
“ตื่นได้แล้วค่ะ” คุณหนูสุไกก็ยังคงไม่ละความพยายามในการปลุกอีกฝ่าย ตอนนี้แทบจะขึ้นมานั่งทับอากาเนะอยู่แล้ว คนอะไร ตื่นยากตื่นเย็นจริงๆ ทั้งๆที่ปกติก็ออกจะตื่นง่ายแท้ๆ แกล้งหลับรึเปล่าเนี่ย?
“….”
“อากาเนะ ฉันรู้ว่าอากาเนะตื่นแล้วนะคะ”
“อ้าว ทำไมถึงรู้ล่ะ ไม่ยุติธรรมเลย” โมริยะค่อยๆลืมตาขึ้นมามองหน้าหญฺงสาวผมสีเข้ม ตอนนี้หล่อนขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงแล้ว สงสัยกะว่าถ้าเธอไม่ตื่นคงกระโดดทับแหงๆ ซึ่งก็ดีแล้วที่อากาเนะตื่นก่อน เธอไม่อยากโดนทับแบนหรอก เห็นตัวบางๆผอมๆแบบนี้ที่จริงยูกะตัวหนักจะตายไป
“ถ้าตื่นแล้วก็ลุกสิคะ ทำไมต้องแกล้งหลับด้วยล่ะ”
“ก็อยากนอนอยู่แบบนี้นานๆนี่นา”
“ลุกเลยค่ะ เดี๋ยวสายนะคะ”
“วันนี้ไม่ทำงานทำไมเรานอนต่อไม่ได้ล่ะคะ” หล่อนว่าพร้อมส่งสายตาอ้อนๆไปให้อีกฝ่าย กระพริบตาปิ๊งๆอ้อนวอนสุดฤทธิ์เพื่อจะได้นอนต่อ เธอยังพักไม่เต็มอิ่มเลยนี่นา ไม่มีความจำเป็นต้องตื่นเช้าเลยซักนิด
“ทำไมวันนี้อากาเนะแปลกๆล่ะคะ หืม เป็นอะไรไปคะ”
ฉันอยากเรียกร้องความสนใจจากเธอไงล่ะ เลิกสนใจแมวพวกนั้นได้แล้ว
“ยูกะจะไปไหน” ยังไม่ทันได้ทำอะไรแม่คุณก็ลุกออกจากเตียงอีกแล้ว มาเร็วเคลมเร็วจริงๆ อากาเนะมุ่ยหน้าเล็กน้อย เอื้อมแขนไปกอดรอบเอวหล่อนเอาไว้แล้วดึงกลับขึ้นมานั่งแปะบนเตียงเหมือนเดิม
“มันสายแล้ว ก็ต้องลุกไปอาบน้ำสิคะ” แม่แมวค่อยๆหันมาบีบแก้มอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้ เนี่ยจะเน่าอยู่แล้ว ขืนยังจมอยู่กับเตียงมากไปกว่านี้มีหวังงัดออกจากเตียงไม่ได้อีกแน่ๆ
“สายตรงไหนนี่เพิ่ง 8 โมงเอง”
“แต่ว่า…” ตอนนี้สุไกกำลังทำท่าจะลุกหนีออกไปอีกแล้ว โมริยะเลยเริ่มงอแง กอดเอวหล่อนเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม อยากจะดึงเข้าผ้าห่มแล้วคลุมโปงจริงๆ
“อย่าเพิ่งไป มานี่ก่อนนะ ยูกะ งือ” ถ้าจะอ้อนกันขนาดนี้…
“หืม เป็นอะไรคะเนี่ย เหมือนกับตอนเด็กเลยนะ” ในที่สุดแล้วยูกะก็ต้องยอมเจ้าหมาชิบะตัวนี้จนได้ หล่อนดูอ้อนกว่าปกติจนน่าแปลกใจ คุณหนูค่อยๆเชยคางอีกฝ่ายให้เชิดขึ้นเล็กน้อย พอเขาทำหน้ามุ่ยคิ้วขมวดไม่พอใตแบบนี้แล้วมันดันดูน่ารักเสียอย่างนั้น ยูกะพ่นลมหายใจเบาๆก่อนจะทาบริมฝีปากลงไปยังที่เดียวกันเป็นการเอาอกเอาใจคนที่กำลังงอแง
“อือ ยูกะ เอาอีก” พอผละจูบออกมาแล้วเจ้าชิบะที่วันนี้เหมือนจะกลายเป็นลูกหมาไปวันนึงก็เรียกร้องขออีก ซุกไซร้ริมฝีปากไปตามซอกคออีกฝ่ายพอหล่อนเผลออย่างเอาแต่ใจตัวเอง ยูกะเพิ่งเคยเห็นอากาเนะอ้อนตัวเองขนาดนี้ก็วันนี้นี่แหละ ปกติใช้แต่กำลังบังคับ พูดดีๆเป็นที่ไหน
“พอแล้วค่ะ ลุกได้แล้ว”
“….” หน้าบูด
“ม่ายยยย ตั้งแต่แต่งงานเรายังไม่ได้ทำอะไรที่เหมือนคู่แต่งงานเค้าทำกันเลยนะ” แล้วก็ตามคาด อากาเนะโวยวายชุดใหญ่ ก็เห็นอยู่หรอกว่าน่าจะงอแงเพราะเรื่องนี้แต่แรกแล้วไม่ใช่เรื่องที่มาปลุกเช้าๆ
“ก็ปลุกอากาเนะนี่ไงค่ะ หน้าที่หลักของคนรักเลยนะ” หญิงสาวผู้ที่อายุมากกว่าพูดตอบกลับไปตรงๆตามที่ตัวเองคิด แต่เหมือนว่าอีกคนจะช็อคไปแล้วกับคำพูดนี้
“….”
“แต่ว่าฉันต้องการยูก—”
“ม๊าววววว”
นั่นไง! มัน! มันอีกแล้ว! เจ้าแมวอ้วนเอ้ย!!! จะขัดความสุขฉันไปถึงไหนนะ!
โมริยะกลอกตาไปมา คลายมือที่กอดหญิงสาวอีกคนเอาไว้ออก เจ้าลูกชิ้นนั่นร้องแบบนี้แล้วเธอไม่เคยห้ามยูกะจากการไปอุ้มแมวนั่นได้ซักครั้ง รอบนี้เลยยอมปล่อยแต่โดยดี หล่อนมุดตัวกลับเข้าไปในกองผ้าห่มโดยไม่สนใจเสียงทักท้วงของสุไกซักนิด ตอนนี้อากาเนะง่วงเกินกว่าจะมาเถียงอะไรแล้ว แถมหงุดหงิดที่โดนแมวอ้วนมาขัดขวางความสุขอีกต่างหาก
ทางด้านคุณหนูสุไกที่โดนงอนก็ได้แต่มองตาปริบๆ หล่อนเดินลงไปอุ้มทอมขึ้นมาอยู่บนเตียงด้วยกัน เกาคางมันไปพลางมองอากาเนะที่ถึงตัวจะมุดหายเข้าไปใต้ผ้าห่มแต่ก็ยังมีปอยผมที่โผล่พ้นออกมาอยู่ดีด้วยความงุนงง
“ยูกะใจร้าย ไม่คุยกับยูกะแล้ว”
“….”
“งอน งอน งอน งอน”
“อากาเนะ เฮ้อ” แม่แมวถอนหายใจ ปล่อนสก็อตติชโฟลด์สีส้มขาวตัวกลมให้กระโดดลงไปนอนยังที่ประจำของมัน สงสัยเธอต้องจัดการคนเอาแต่ใจตรงหน้าซักหน่อยแล้วล่ะมั้งเนี่ย
นี่สามีหรือลูกสาวกันแน่คะ
อากาเนะเสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆก่อนที่พื้นที่บนเตียงข้างๆตัวเธอจะยุบยวบลงพร้อมกับผ้าห่มที่ถูกเลิกขึ้น ยูกะนั่นเองที่แทรกตัวเข้ามานอนกับเธอ ทีแรกหล่อนจะขยับหนีเพราะยังงอนอยู่ อันที่จริงไม่ต้องมาง้อก็ได้ เดี๋ยวเธอก็หายเองนั่นแหละ ทั้งๆที่รู้แต่ยูกะก็ยังเข้ามาง้อ ใครกันที่ว่าวันนี้เธอทำตัวแปลกๆ ยูกะก็ทำตัวแปลกๆเหมือนกันนั่นแหละ ร้อยวันพันปีเคยมาง้อหรอ มีแต่ปล่อยให้หายเอง
ยังไม่ทันทีจะได้ขยับตัวโมริยะก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมแขนของคุณภรรยาสุดที่รักไปซะแล้ว จะดิ้นก็ไม่ได้เดี๋ยวอารมณ์ง้อของนางหายหมด คนผมสีอ่อนเลยได้แต่กอดตอบไป ดูเหมือนอีกฝ่ายจะพยายามพูดง้อแต่คงคิดไม่ออกว่าจะพูดยังไงดีให้เขาหายงอน อากาเนะลอบยิ้มแล้วจัดการปิดปากหล่อน ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก แค่จูบนี้ก็พอแล้วสำหรับเธอ
.
.
.
.
“มานากะนี่ 11 โมงแล้วนะ”
“งือ ขออีก 5 นาที” มานากะรู้ดีว่านั่นเป็นเสียงของใคร และรับรู้ว่าตอนนี้มันเกือบจะเที่ยง แต่หล่อนก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกออกมาจากเตียงง่ายๆ กลับยิ่งเกาะเตียงหนึบให้คนมาปลุกถอนหายใจแรงๆ
“….”
“โฮ่ง” ไม่พอพาเจ้าโกลเด้นมาด้วย
“ตื่นเถอะนะมานากะ ลุกได้แล้ว เดี๋ยวฉันสระผมให้นะ”
“หืม?” พูดแบบนี้ค่อยน่าสนใจหน่อย ชิดะลืมตาข้างนึงขึ้นมามอง เห็นวาตานาเบะกำลังยืนค้ำอยู่ ถัดมาเป็นริจจังที่นอนอยู่ข้างๆเธอแล้ว มิน่าล่ะหมอนข้างมันดูนุ่มๆ กอดริจจังอยู่นี่เอง
“โฮ่ง โฮ่ง”
“ริจจังลากมานากะลงจากเตียงเร็ว!”
“โฮ่ง!” ด้วยความเชื่อฟังคำสั่งเจ้านาย ลูกหมาตัวน้อยไม่รอช้า รีบงับแถวคอเสื้อของมานากะแล้วออกแรงลากหล่อนลงมาจากเตียงทันที ถึงจะเป็นลูกหมาแต่ก็แรงเยอะใช่ย่อย คงเพราะริสะเลี้ยงมาดี อ้วนถ้วนสมบูรณ์ยิ่งกว่าลูกหมาปกติ
“ดะ เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน ริจจัง” เหมือนหล่อนจะตั้งตัวไม่ทันเพราะเพิ่งตื่น มาโดนลูกหมาลากลงจากเตียงแบบนี้อย่าให้เพื่อนในออฟฟิศมาเห็นเชียว โดนล้อยันลูกบวช โดยเฉพาะฟุยุกะ รายนั้นขาเม้าท์ประจำบริษัทเลย ฟุยุกะรู้โลกรู้
“ดีมากริจจัง เดี๋ยวม่าม๊าให้ขนม”
“โฮ่ง!” ริจจังรีบปล่อยมานากะกองไว้ที่พื้นแล้วหันมาเดินพันแข้งกันขาริสะแทนเมื่อได้ยินคำว่าขนม เอาหัวถูไถอย่างน่าเอ็นดูจนวาตานาเบะต้องย่อตัวลงลูบหัวเจ้าตัวเล็ก
“หึย! ฝากไว้ก่อนเถอะริสะ!” ชิดะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยันตัวลุกขึ้นจากพื้น ดึงผ้าห่มที่พันตัวเองออกอย่างนึกหมั่นไส้ริจจังที่เห็นขนมดีกว่าม่ามี๊
“ม่ามี๊งอนริจจังแล้ว”
“หงิงๆ โฮ่ง” หรือที่จริงเจ้าหมาน้อยอาจจะอยากพูดว่าหนูเปล่านะ ม่าม๊าสั่งให้หนูทำ…
.
.
.
“ริสะขยี้แรงๆก็ได้ ฉันไม่เจ็บหรอก”
“แรงกว่านี้อีกเหรอ จะดีเหรอ”
ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังอยู่ในห้องน้ำโดยมีคนนึงนอนอยู่ในอ่างให้อีกคนสระผมให้ วาตานาเบะออกแรงขยี้ผมอีกฝ่ายให้แรงขึ้นกว่าเดิมตามที่เขาบอก ทีแรกที่ไม่กล้าขยี้แรงเพราะกลัวมานากะเจ็บนี่แหละ เพราะพอหล่อนเจ็บแล้วก็โวยวายแง้วๆเป็นแมว
“มานากะ…”
“หืม?”
“ฉันกำลังหาคอนโดใหม่อยู่ล่ะ คิดว่าน่าจะซื้อที่ใกล้ๆแถวนี้แหละ”
“อ้าวริสะอยากอยู่คอนโดหรอกหรอ…” ชิดะพูดเสียงเบาๆอ่อยๆ เธอนึกว่าเขาจะอยู่ด้วยตลอดซะอีก ที่จริงคืออยู่แบบชั่วคราวหรอกหรอ?.. คิดพลางรอเขาล้างแชมพูให้ ไม่ใช่ว่ามานากะอยากให้ริสะไปนัก พออยู่ด้วยกันแล้วทำให้เธอเริ่มชิน อะไรๆเริ่มลงตัวหมดแล้ว จู่ๆจะมาย้ายออกไปงั้นหรอ? มาง่ายไปง่ายจริงๆ..
บรรยากาศดูเงียบกร่อยลงไปถนัดตาหลังจากคำพูดนั้นของวาตานาเบะ หญิงสาวผมสีอ่อนได้แต่นั่งนิ่งอยู่ในอ่างโดยไม่ปริปากอะไร กระทั่งริสะจัดการสระผมให้เสร็จและกำลังจะออกจากห้องน้ำเพื่อให้เธอได้อาบน้ำต่อ มานากะมองตามแผ่นหลังของเขานิ่ง
“ริสะจะไปไหน”
“อ้าว? ก็มานากะจะอาบน้ำไม่ใช่เหรอ ฉันจะออกไปรอข้างนอกไง”
“อย่าเพิ่งไป…”
“?” วาตานาเบะมองงงๆ แต่ก็ร้องอ๋อในใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายกวักมือเรียกให้ไปหา หล่อนอาจจะอยากให้อาบน้ำด้วยกัน แต่ริสะเพิ่งอาบน้ำไปเองนะ ให้อาบอีกเดี๋ยวจะไม่สบายเนี่ยสิ
“มานี่…”
“….” คราวนี้เจ้าตูบยักษ์ไม่ยอมทำตามคำเรียกของมานากะ หล่อนหันกลับไปเปิดประตู นั่นทำให้มานากะหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง ทำไมวันนี้อะไรๆก็ไม่เป็นใจเลยสำหรับเธอ ตั้งแต่ริจจังมาลากเธอลงจากเตียงแล้ว ชิดะจะขอจารึกไว้ว่าวันนี้เป็นวันที่แย่ที่สุดตั้งแต่คบกับริสะมาเลย
“อ้าว จะไปไหนอีกแล้ว อย่าเพิ่งไปสิ”
“มานากะฉันจะไปเอาของน่ะ เดี๋ยวมา ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย”
“อ้อ งั้นก็เร็วๆสิ” รีบเร่งให้ริสะไปเอาของเร็วๆ เพราะเธอไม่อยากอยู่คนเดียวตอนนี้ รู้สึกแย่ไปหมด แต่มานากะกำลังคิดว่าจะลองโน้มน้าวไม่ให้ริสะย้ายออกไปอยู่ จะใช้เหตุผลข้างๆคูๆคงจะไม่ได้ แล้วอะไรดีล่ะ?
“อื้ม แป๊บนะ”
.
.
.
“มาแล้ว”
“นาน ไปเอาของอะไรทำไมนาน ชั้นแช่น้ำรอจนจะเปื่อยทั้งตัวแล้วเนี่ย” หล่อนว่าเสียงกระเง้ากระงอด นอกจากตัวจะเปื่อยแล้วน้ำก็เริ่มเย็นอีกต่างหาก หนาวจะตายแล้วเนี่ย ถ้าไม่สบายขึ้นมาต้องโทษริสะล้วนๆเลยที่ให้เธอแช่น้ำรอแบบนี้
“โอ๋ ก็มาแล้วนี่ไง มานากะหลับตาหน่อยสิ ฉันมีอะไรจะให้ล่ะ”
“อะไร! ทำไมต้องหลับตา ห้ามเอาอะไรแปลกๆมาแกล้งฉันนะ ไม่งั้นเธอโดนแน่!”
“โถ่ ไม่ได้แกล้งจริงๆ หลับตานะ นะ นะ นะคะ”
“ก็ได้…” ชิดะค่อยๆหลับตาลงอย่างที่เขาว่า แอบมีข้องใจเล็กน้อยอยู่ดีแม้ริสะจะบอกว่าไม่ได้แกล้งก็เถอะ แต่มันมีพิรุธนี่นา มานากะลอบพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ไหนๆวันนี้ก็แย่มาตั้งแต่หัววันแล้วก็แย่ให้มันหมดๆไปเลย ริสะจะแกล้งอะไรเธอก็พร้อมแล้ว
ทว่าดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น
ตื่นเต้นจังแฮะ…นี่มันครั้งแรกของฉันเลยนะ…
วาตานาเบะจับมือซ้ายของคนรักของเธอขึ้นมา ประทับริมฝีปากลงไปบนหลังมืออีกฝ่ายเบาๆก่อนจะไล้ไปจูบยังนิ้วนาง ชิดะอยากลืมตาขึ้นมาดูใจจะขาดแต่ริสะยังไม่ได้บอก ถ้าหล่อนลืมตาขึ้นมาก่อนต้องโดน‘ทำโทษ’แน่ๆ สัมผัสเย็นวาบของโลหะที่นิ้วนางที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นอะไรทำให้ใจของมานากะเต้นระรัว เม้มปากเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาสีเข้มช้อนขึ้นมองหญิงสาวอีกคนพร้อมเอ่ยปากให้หล่อนลืมตาได้แล้ว
“ริสะ…”
“มานากะแต่งงานกับฉันนะ”
“คือฉัน…”
“ฉันสัญญาจะดูแลมานากะอย่างดี จะทำทุกอย่างตามสั่งเลยนะ แต่งงานกันนะ”
“….”
“ฉันดีไม่พอเหรอ” พอเขาเห็นหล่อนนิ่งไม่พูดไม่จาก็เริ่มใจไม่ดี บีบมือของมานากะแน่นขึ้นเล็กน้อย หน้าตาดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เดี๋ยว เปล่า คือฉัน ฉัน ฉันตกใจ…ฉัน”
“สรุปแต่งงานกับฉันนะมานากะ” จบคำถามก็มองตาแป๋ว เหมือนมานากะจะเห็นภาพริจจังเข้ามาซ้อนทับกับภาพริสะตอนนี้เลย สมแล้วที่สัตว์เลี้ยงจะเหมือนเจ้าของ…เป๊ะมาก
“เธอคิดยังไงขอแฟนแต่งงานในห้องน้ำเนี่ย ไม่มีที่ที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ” มานากะอยากจะกลอกตาเป็นเลขเก้าไทย มันจะมีซักกี่คนที่ขอแฟนแต่งงานในห้องน้ำ เผลอๆมีแค่ริสะคนเดียวด้วย ให้ตายเถอะ
“เพราะมานากะโป๊อยู่ไงล่ะ”
“หา!?” หน้าเหวอๆของคนรักทำให้ริสะอดขำออกมาไม่ได้ แต่ที่เธอพูดไปมันก็ถูกนะ เธอมีเหตุผลของเธอ ซึ่งนั่นก็คือ..
“คิก ก็เธอหนีฉันไปไหนไม่ได้แน่นอนนี่นา เถอะนะ มาเป็นเจ้าสาวของฉันนะคะ”
“โอ้ยคิดได้ไงเนี่ย ปัญญาอ่อน ซื่อบื้อซะมัด! ไม่โรแมนติกเอาเสียเลย ริสะบ้า!”
“แต่งงานกับคนซื่อบื้อคนนี้นะ ฉันไม่อยากอกหักแล้ว นะ” ช้ำมารอบนึงก็จะตายแล้วเนี่ย ขืนครั้งนี้นกอีกคงอัพเกรดตัวเองเป็นพญาฟีนิกซ์ได้แล้ว วาตานาเบะยิ้มตาหยีให้อีกฝ่าย ในเวลาปกติมันอาจจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่ตอนนี้กับมานากะที่เซ็งกับสถานที่ขอแต่งงานของริสะเนี่ยเรียกได้ว่าคนละโลกเลย
“เออๆ ก็ได้ โอ้ยรำคาญ ออกไปเลยไป๊ ฉันจะอาบน้ำแล้ว” โบกมือไล่เขาให้ออกไปได้แล้ว นอกจากสระผมกับแช่น้ำตอนนี้มานากะยังไม่ได้จัดการอะไรเลย สบู่ก็ยังไม่ได้ถู เหนียวตัวเป็นที่สุด
“อ้าว ไหงไล่กันเฉยเลย เมื่อกี้ยังบอกให้อยู่ด้วยกันอยู่เลย มานากะไม่ได้อยากให้ฉันถูหลังให้เหรอ”
“ไม่ต้องแล้ว หมดอารมณ์ จะออกไปไหนก็ไป ไปอยู่คอนโดใหม่เธอเลยก็ได้ หึ้ย”
“เรื่องนั้นฉันล้อเล่น ฉันไม่ย้ายออกไปอยู่คอนโดหรอกถ้ามานากะไม่ได้อยู่ด้วย ฉันก็แค่อยากรู้ว่ามานากะจะรู้สึกยังไง จะขาดฉันได้มั้– โอ้ย! อย่าหยิกสิ ฮือ เค้าเจ็บ” ริสะร้องหงิงเมื่อตัวเองโดนหยิกแขนไปทีสองทีด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัวของหญิงสาวผมสีอ่อน มานากะพูดกระแทกเสียงอย่างนึกขุ่นเคืองในใจ มาหลอกกันได้ ที่เธออุตส่าห์เสียใจไปนี่เพื่ออะไร?
“เธอนี่มัน! นี่ฉันต้องแต่งงานกับคนแบบนี้จริงๆเหรอ”
“มานากะ รักนะ”
“รู้แล้ว”
“บอกรักฉันบ้างสิ ฉันอยากได้ยิน ตั้งแต่เราคบกัน มานากะไม่เคยบอกรักฉันเลยนะ”
“….”
“นะ…” พอเห็นหางตาตกดูเศร้าๆของริสะทีไรมานากะก็ไม่เคยต้านทานได้เลย จากที่หมั่นไส้กลับมาตกม้าตายเอาตอนที่เขาอ้อนขอ
“รัก…”
“พูดอีก”
“รักริสะ พอแล้วไม่พูดแล้ว”
“เอาอีก”
“ไม่เอาพอแล้ว”
“พอมานากะพูดแบบนี้แล้วมันทำให้อยากทำ” รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของวาตานาเบะ เขายืนหน้าเข้ามาใกล้หล่อน มือแตะลงบนไหล่ของมานากะ หญิงสาวอีกคนมองกลับด้วยความฉงน
“หา…ทำอะไร…” พอพูดไปเท่านั้นแหละถึงได้รู้ว่าริสะจะทำอะไร ยิ่งพอเห็นเขาถอดเสื้อตัวเองด้วยแล้วมานากะอยากจะมุดหายลงไปในน้ำให้รู้แล้วรู้รอด นี่มันตอนเช้านะ!
“ดะ เดี๋ยว!! ธะ..เธอจะถอดทำ…ไม อื้อ…” เสียงโวยวายเงียบลงไปแล้ว ริมฝีปากที่ถูกประกบลงมานั่นเองที่เป็นสิ่งช่วยหยุดอาการโวยวายของมานากะ หล่อนเอื้อมมือไปโอบรอบคอของเขา จูบตอบไปอย่างเผลอตัว ทั้งๆที่คิดว่าตอนเช้าจะไม่ได้เปลืองตัวเปลืองแรงแล้วเชียว
ริสะนี่มันสมเป็นริสะจริงๆ
แต่ก็เป็นริสะที่เธอรักนั่นแหละนะ
FIN