Fiction

No Choice (M.A.R.Y.) : 08 [END]

– 08 : Marry –

Manaka S. x Akane M. x Risa W. x Yuuka S.

ปกฟิค9


          ค่ำคืนที่งานแต่งงานของหญิงสาวจากตระกูลมีอิทธิพลทั้งสองตระกูลถูกจัดขึ้นอย่างเรียบหรูทว่ามองจากภายนอกแล้วอาจจะติดอลังการไปซักนิด แต่เพราะฐานะของเจ้าสาวแล้วทำให้งานมันออกมาใหญ่โตแบบนี้ พิธีในงานดำเนินไปได้ด้วยดีไม่มีติดขัดจนกระทั่งถึงตอนกินเลี้ยง อากาเนะสอดส่องสายตาหามานากะที่วันนี้เธอเห็นเขาแค่ตอนเข้างานเท่านั้นเอง หลังจากนั้นก็หายไปไหนแล้วไม่รู้

          “ยินดีด้วยนะอากาเนะ มีความสุขมากๆนะ” แต่คุณหนูโมริยะยังพอมีโชคอยู่บ้าง คนที่หล่อนกำลังตามหาได้เดินเข้ามาอวยพรถึงที่ รอยยิ้มแบบไม่ฝืนของมานากะทำให้หล่อนใจชื้นขึ้นบ้าง อย่างน้อยเขาคงจะโอเคขึ้นแล้ว ต้องขอบคุณคนที่ช่วยดูแลมานากะ ถึงเธอจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็เถอะ อาจจะเป็นวาตานาเบะคนนั้นก็ได้

          “มานากะจะกลับแล้วหรอ” เธอถาม ยังไม่อยากให้เขากลับเท่าไหร่นัก ตอนนี้อากาเนะแยกกับยูกะไปพูดคุยกับแขกในงาน อันที่จริงแล้วควรจะไปด้วยกัน แต่ยูกะเป็นคนขอว่าตัวเองจะไปคุยกับคุณวาตานาเบะก่อน คุณหนูโมริยะเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆแล้วปล่อยหล่อนไป

          “อืม”

          “ไม่อยู่รอรับดอกไม้ก่อนหรอ”

          “ไม่ล่ะไม่เอาดีกว่า” ชิดะส่ายหน้า วันนี้เป็นวันมงคลของอากาเนะก็จริงแต่เธอไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นานขนาดนั้น แค่อยู่จนจบพิธีก็สุดๆแล้ว งานแต่งของอดีตคนรักเนี่ย..

          “อยู่ก่อนสิ สนุกดีออก ไม่รับดอกไม้ก็ได้นี่นา”

          “แล้วนี่ใครโยน เธอเหรอ หรือคุณสุไก?” มานากะเลิกคิ้ว ปกติเวลาโยนดอกไม้เขาโยนกันคนเดียว แต่คนติสท์ๆแบบอากาเน็นจะโยนกี่คน.. หล่อนเดาไม่ถูกเลย แต่ก็นั่นแหละเสน่ห์ของหล่อนที่เธอชอบ เดาทางไม่ถูก เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งอีกต่างหาก หวังว่าคุณหนูสุไกจะทนอากาเนะได้นะ

          “โยนทั้งคู่นั่นแหละ”

          “เห…” นั่นไง เดาผิดที่ไหนล่ะ

          .

          .

          .

          “ริสะมากับคุณชิดะเหรอคะ” ในขณะที่โมริยะกำลังคุยอยู่กับชิดะ คุณหนูสุไกเจ้าของงานก็ได้เข้าไปคุยกับคนที่เดินมากับมานากะ หล่อนดูดีใจที่เห็นเขามา ทีแรกยูกะนึกว่าริสะจะไม่มาซะแล้วเพราะเห็นว่าเขากำลังยุ่งอยู่กับงานใหม่ที่คุณนากาฮามะเจ้าของบริษัทมอบหมายให้หลังทำงานที่ครอบครัวเธอจ้างวานเสร็จ

          “อื้ม แต่ดูเหมือนมานากะอยากจะกลับแล้วล่ะ เค้าไม่ชอบคนเยอะๆน่ะ” พูดพลางพยักเพยิดไปทางหญิงสาวที่แยกตัวไปคุยกับคุณหนูโมริยะ เห็นงอแงมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วว่าอยากกลับบ้านแถมกอดแขนเธอไม่ยอมปล่อยอีก ชอบทำตัวเหมือนลูกแมวให้น่าหมั่นไส้จริงๆ

          “เดี๋ยวสิ รอรับดอกไม้ก่อนสิคะ”

          “ฮะๆ ฉันคงรับไม่ได้หรอกยูกะ คนอยากได้ออกจะเยอะ แย่งคนอื่นเค้าไม่ทันหรอก”

          “ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับดวงสิค่ะ” ยูกะยังคงรบเร้าให้ริสะมารับช่อดอกไม้ให้ได้ อีกอย่างคุณชิดะก็เหมือนจะโดนอากาเนะชวนให้อยู่ด้วย ถ้าคุณชิดะอยู่ริสะก็ต้องอยู่นั่นแหละ เขามาด้วยกันนี่นา

          “อืม…งั้นจะลองดูก็แล้วกันนะ”

          “งั้นฉันจะโยนมาทางริสะละกันนะคะ”

          “เอ๋…แต่แบบนั้นมันออกจะโกงไปหน่อยไหมนะ ฮะๆ”

          “เอาน่า น่าสนุกดีออกค่ะ”

          “อืม”

          .

          .

          .

          “หลบไปสิมานากะ ตัวสูงก็ไปยืนข้างหลังนู่นไป๊” พอถึงช่วงสำคัญสำหรับสาวๆในงาน พวกหล่อนก็รีบมาออกันเตรียมรอรับช่อดอกไม้ โชคดีที่งานนี้โยนสองช่อพวกเธอเลยไม่ต้องเบียบดแย่งกันมาก แน่นอนว่ามานากะกับริสะก็มายืนรอกับเขาด้วยตามคำชักชวน

          “อะไรของพวกแก เป็นบ้าเหรอ กับอีแค่รับช่อดอกไม้ตามธรรมเนียมเนี่ยนะ”

          “แกไม่อยากได้ก็ถอยไปดิ มาเกะกะทำไมยะ” บางทีฟุยุกะก็ควรจะใจเย็นๆบ้าง..แถมหล่อนไม่ต้องรับก็ได้แต่งอยู่แล้วมั้ย? แฟนหล่อนยืนหน้าสลอนอยู่นั่นแล้วโว้ย!

          “….”

          “ริสะล่ะ”

          “เอ่อ ฉันไม่แย่งพวกเธอหรอก เชิญตามสบายเลย”

          “งั้นพวกตัวสูงอย่างพวกเธอก็ถอยไป” แล้วก็โดนเบียดไปอยู่ข้างหลังตามระเบียบ แขกรับเชิญทั้งสอบลอบถอนหายใจ ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่ายังไงก็รับไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนหนึ่งมันก็จากเพื่อนตัวเองที่มารอแย่งช่อดอกไม้กันนี่ไง..

          “….”

          “มานากะไปยืนด้านหลังกันเถอะ”

          “อืม” คนผมสีอ่อนพยักหน้ารับเบาๆ สีหน้าเบื่อหน่ายถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจนโดยไม่ปิดบังเมื่ออยู่ต่อหน้าวาตานาเบะ

          “ทำไมทำหน้าแบบนั้น เบื่อเหรอ”

          “ใช่ ฉันไม่ชอบที่คนเยอะๆน่ะ” ริสะพยักหน้าเข้าใจ เอื้อมมือไปลูบหัวเขาเบาๆอย่างนึกเอ็นดูแต่ก็เพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนเขาเลยลดมือลงจากที่เพิ่งลูบไปได้แค่นิดเดียวเอง ความเสียดายถูกฉายชัดออกมาทางแววตาให้มานากะสังเกตเห็นโดยง่าย

          “งั้นเราไปหาที่อยู่กันสองคนมั้ย”

          “พูดอะไรเนี่ย” หญิงสาวผมสีอ่อนขึ้นเสียงเล็กน้อย ใครใช้ให้เขาพูดจาสองแง่สองง่ามแบบนั้นล่ะ

          “หมายถึงไปหาที่นั่งไกลๆแถวนี้ไง นี่ใครๆเค้าก็อยากมารับดอกไม้ทั้งนั้นแหละ คนเยอะก็ไม่แปลกหรอก”

          “อืม งั้นก็ได้”

          – ผั๊วะ – เสียงบางอย่างกระแทกโดนหัวของชิดะโดยตรง ทำเอาเจ้าตัวถึงกับเกือบทรุดทีเดียว

          “โอ้ย! อะไรเนี่ย” หัวไปทำตาขวางใส่วาตานาเบะที่เดินตามหลังแต่ปรากฎว่าอีกฝ่ายก็ทำหน้ามึนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แถมในมือยังถือช่อดอกไม้อีก อ้าว ดอกไม้มาได้ไง…

          “….” เพราะดอกไม้เจ้ากรรม ที่สาวๆตบตีแย่งชิงกันตอนที่เจ้าสาวโยนมาดันลอยมาโดนหัวมานากะเข้า ทำเอาริสะตกใจทำอะไรถูก สุดท้ายเลยรับไว้ให้ พออีกฝ่ายหันหน้ายุ่งๆมา เธอก็เลยยื่นให้เจ้าตัว

          “กรี๊ดดดด ดอกไม้ของชั้น!!!!!”

          “ทำไมมันลอยไปตรงนั้นล่ะ ไม่นะ!!!”

          “นี่แสดงว่าปีนี้ก็คงแห้งเหมือนเดิมใช่มั้ย…เศร้า…” และคำพูดอื่นๆอีกมากมายโดยส่วนใหญ่ก็มักเป็นเพื่อนสาวทั้งหลายที่อุตส่าห์ถ่อมายืนรับกับเขา แต่เวรกรรมที่มันตกไปโดนหัวคนที่เพิ่งโดนไล่ให้ไปยืนที่อื่นซะอย่างงั้น ไม่วายมานากะก็โดนเพื่อนๆมองตาเขียวปั๊ด อิจฉา ทำไมฉันไม่ได้บ้าง!

          “เธอเอาดอกไม้ฟาดฉันเหรอริสะ” เจ้าตัวลูบหัวตัวเองป้อยๆ แยกเขี้ยวใส่หญิงสาวอีกคนที่ถือช่อดอกไม้เอาไว้อย่างนึกคาดโทษ ไม่ได้สนใจว่าจริงๆแล้วมันตกลงมาใส่หัวเธอดดยบังเอิญต่างหาก

          “ปะ เปล่านะคะ ฉะ ฉันรับมันไว้ให้มานากะนะ มันตกโดนหัวมานากะไง ฉันเปล่าฟาดนะ”

          “…..”

          “นี่ไง รับไปสิ” ว่าแล้วก็ยื่นช่อดอกไม้ให้ อย่างกับสุนัชที่ทำดีรอให้เจ้าของชมยังไงอย่างงั้น มานากะเห็นแล้วก็อยากเข้าไปยีหัวด้วยความหมั่นเขี้ยวหมั่นไส้ซักทีสองที

          “ไม่เอา เธอถือนั่นแหละ”

          “อ้าวแล้วสรุปใครได้ดอกไม้ ริสะเหรอ”

          “หูย ริสะได้ดอกไม้ ไม่ยุติธรรมเลยอ่ะ!!!” โวยวาย เกรี้ยวกราด โมโห

          “แต่เค้าโยนสองช่อไม่ใช่เหรอ แล้วอีกช่อไปไหนแล้วล่ะ”

          “นู่นไง อยู่โน่น” ต่างคนต่างชี้กันไปอย่างพร้อมเพรียง จุดหมายก็คือฮิราเตะน้องเล็กของบริษัทที่ยืนถือช่อดอกไม้ทำหน้าเด๋อด๋า กะพริบตาปริบๆอย่างขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง

          “… / … / …”

          “หนูเปล่านะคะมันตกลงตรงนี้เอง” เธอส่ายหัวดุ๊กดิ๊กปฏิเสธว่าเธอยืนอยู่ดีๆมันก็ตกลงมานะ เลยรับเอาไว้ไม่งั้นดอกไม้ก็เสียหมด คนในานก็ได้แต่เอ็นดู ช่างเป็นเด็กที่น่ารักจริงๆ ต่างจากคู่ที่กำลังกัดกันเพราะคนนึงโดนช่อดอกไม้ตกใส่หัวอยู่ลิบลับเลย

          “อ้าว เทะจิได้ล่ะมานากะ”

          “เห็นแล้ว จะมาบอกฉันทำไม” พูดด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิด พอจะได้หลีกไปที่ๆคนน้อยๆก็โดนวาตานาเบะรั้งไว้ให้ดูนู่นดูนี่ เธออยากกลับบ้านเต็มแก่แล้ว อยู่ในงานแต่งที่ตัวเองไม่ได้อยากมาขนาดนั้นนี่มัน..

          “แล้วมานากะไม่เอาช่อนี้หรอ มันของมานากะนะ”

          “ตกใส่หัวชาวบ้านก็ถือเป็นของเค้าแล้วงั้นเหรอ”

          “ที่ไม่อยากได้เพราะช่อนี้ยูกะเป็นคนโยนใช่มั้ยล่ะ คิก” วาตานาเบะหัวเราะคิกคักด้วยรู้สึกดีขึ้นที่ได้แกล้งแซวมานากะซักที เห็นวางมาดมานานแล้ว น่าหมั่นไส้จริงๆ

          “ห๊ะ! ไม่ใช่นะ!!! ฉันไม่ได้อิจฉา ระ หรือหมั่นไส้อะไรสักหน่อย!”

          “ลิ้นพันกันแล้ว ฮะๆ”

          “หึ้ย หุบปากไปเลย”

                    “มานากะ…” ริสะเรียกมานากะด้วยเสียงแผ่วๆ โชคดีที่งานตอนนี้ยังชุลมุลอยู่ทำให้ไม่ค่อยมีคนสนใจพวกเธอเท่าไหร่ หลังช่วงโยนช่อดอกไม้ก็แบบนี้แหละนะ

          “อะไร!” คนกำลังหงุดหงิดทำไมต้องมาเซ้าซี้ด้วยเนี่ย มานากะไม่เข้าใจ

          “แต่งงานกับฉันมั้ย?” อีกฝ่ายกระซิบเบาๆให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน แต่นั่นมันใช่เวลามาพูดอะไรแบบนี้มั้ย ริสะ!

          “ห๊ะ! เธอจะบ้าเหรอ พูดอะไรเนี่ย” แล้วก็สวนกลับไปทันควัน ใบหน้าของหล่อนขึ้นสี แต่เหมือนจะมีคนแถวนั้นได้ยินอยู่บ้าง ขนาดริสะพูดเสียงเบาแล้วยังได้ยิน พวกหล่อนมีหูทิพย์กันหรอ?!

          “หืม แต่งงานเหรอ?” นากาฮามะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆโมโนโทน แต่นั่นกลับเรียกความสนใจของแขกเหรื่อในงานให้หันมาสนใจคู่หญิงสาวผมสั้นทั้งสองเป็นจุดๆเดียว

          “เปล่าค่ะไม่มีอะไร” พูดปัดไปงั้น

          “ว่าไงริสะ” แต่คุณท่านเนรุเนรุเนลก็ยังคงเซ้าซี้ถามต่อ

          “….” ยิ้มหวานแต่ไม่ตอบอะไร

          .

          .

          .

          “เหนื่อยจัง แต่งงานนี่มันเหนื่อยขนาดนี้เลยเหรอ” เสียงบ่นเป็นหมีกินผึ้งของอากาเนะยังไม่หยุดลงเลยตั้งแต่เข้าห้องมา หล่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียวทั้งที่ยังไม่ได้จัดการเปลี่ยนชุดตัวเองให้เรียบร้อย คุณหนูสุไกก็ได้แต่มองยิ้มๆ นึกเอ็นดูอยู่ในใจ

          “งั้นก็เปลี่ยนชุดแล้วก็ไปอาบน้ำเข้านอนได้แล้วค่ะ”

          “ฮือ ยูกะไม่เหนื่อยเหรอ”

          “เหนื่อยสิคะ” เธอพูดตอบไปด้วยน้ำเสียงปกติ เพราะอยู่ในสังคมแบบนี้มานาน การเข้าสังคมหรืองานใหญ่ๆไม่ใช่ปัญหาอะไร ต่างกันแค่คราวนี้มันเป็นงานของเธอเลยอาจจะเหนื่อยกว่าปกติซักเล็กน้อยเท่านั้นเอง ยูกะค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งข้างๆอากาเนะ ถอดถุงมือสีขาวที่ตัวเองใส่ออยู่ออกมาวางเอาไว้ เตรียมตัวไปอาบน้ำเต็มที่แล้ว

          “ยูกะ”

          “งอแงทำไมคะ หืม”

          “เหนื่อย…”

          “โอ๋ มานี่สิคะ” เหมือนเป็นสัญญาณไฟเขียวให้โมริยะเข้าไปกอดอ้อนคุณหนูสุไกได้เต็มที่ ในงานเธอทำตัวเด็กๆแบบนี้ไม่ได้เลย เป็นอะไรที่น่าขัดใจที่สุดในงานแล้ว ต้องเก๊กหน้ายิ้มแย้มให้แขกที่มางาน ทั้งที่จริงๆไม่เห็นต้องมีพิธีก็ได้นี่นา จดทะเบียนเอาเฉยๆก็ได้ ไม่รู้คุณท่านสุไกกับคุณพ่อคิดอะไรอยู่

          “งือ พรุ่งนี้ไม่ไปทำงานได้มั้ยคะ” แล้วอากาเนะก็หาเรื่องหยุด

          “….”

          ที่จริงแล้ว แค่อยากจะอู้งานสินะคะ…

          “อืม…ดูเหมือนจะมีวันหยุด 2 – 3 วันนะคะ ก่อนจะกลับไปเคลียร์งาน”

          “เอ๋? หยุดหรอ เย้!” ท่าทางดีใจเหมือนเด็กๆของอากาเนะทำให้ยูกะยิ้มได้อีกแล้ว หล่อนเผลอหัวเราะออกเสียงเบาๆ ถ้าได้อยู่กับอากาเนะนานๆล่ะก็อาจจะทำให้ลืมริสะไปได้ก็ได้…

          “คิก แค่อยากหยุดเองเหรอคะ โถ เด็กน้อย” เธอลูบหัวอีกฝ่ายแปะๆ แถมจุ๊บแก้มไปทีนึง เอาใจเขาหน่อย เดี๋ยวจะน้อยใจ

          “ไม่ใช่เด็กสักหน่อย โตแล้ว”

          “ถ้าโตแล้วก็อย่างอแงสิ หืม ใช่มั้ย”

          “ชิ ไปอาบน้ำแล้วดีกว่า” โมริยะมุ่ยหน้า อยากกัดคุณหนูคนนี้ให้จมเขี้ยวจริงๆ บอกว่าโตแล้วก็คือโตแล้วสิ อาจจะเด็กในสายตาเธอแต่สำหรับคนอื่นเธอโตแล้วนะ!

          “อ้าว งอนเหรอ เดี๋ยวสิคะอากาเนะ”

          .

          .

          .

          “ยูกะจะเข้ามาทำไมเนี่ย ออกไปค่ะ เดี๋ยวก็ไม่ได้อาบน้ำซักทีสิ”

          “ไม่เห็นเป็นไรเลย อาบด้วยกันก็ได้นี่นา มันดึกแล้วนะคะ เราจะได้รีบเข้านอนไง”

          “….”

          แล้วใครมันจะไปทนอาบน้ำเฉยๆกับเจ้าสาวตัวเองได้เล่า บ้าไปแล้ว ยูกะคิดอะไรอยู่!!!

          “ถอดสิคะ ทำไมช้าจัง เดี๋ยวน้ำก็เย็นหรอก” ถ้าอากาเนะไม่ยอมถอดเธอเนี่ยแหละะถอดให้ คุณหนูตระกุลสุไกคิดไปมือก็จับที่ชายเสื้อของอีกฝ่ายแล้ว ฮึ่ม

          “หา อ่า เอ่อ ตอนนี้เหรอ”

          “ใช่ เร็วๆค่ะ”

          “ค่ะๆ เดี๋ยวนี้แหละค่ะ” เพิ่งแต่งไปยังไม่ทันข้ามคืนเลย กลายเป็นชิบะหงอยเมียไปแล้ว

          .

          .

          .

          ทางด้านมานากะกับริสะ พวกเธอออกมาก่อนงานจะจบแบบเฉียดๆ เพราะบอสนากาฮามะดันปากสว่างให้เพื่อนๆคนนู้นคนนี้แวะเวียนเข้ามาถามเรื่องแต่งงานไม่ขาดรวมทั้งเจ้าภาพงานอย่างอากาเนะกับยูกะยังเข้ามาถาม เรื่องนี้มันไม่ธรรมดาแล้ว กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ก็นานโขเลย

          “ริสะ” มานากะเรียก หลังกลับมาถึงคอนโดของเขาพวกเธอก็รีบอาบน้ำทันที เหนียวตัวจะแย่ แต่ตอนนี้กำลังนั่งเอื่อยเป่าผมรอผมแห้งกันอยู่

          “หืม…” ตอนนี้วาตานาเบะกำลังบริการเช็ดผมให้คุณนายเขาอยู่ นั่งสบายเชียวเนี่ย ตอนนี้มานากะไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่คุณหนูสุไจะรักริสะมากขนาดนั้น เอาอกเอาใจเป็นที่หนึ่ง แถมแคร์มากๆอีกต่างหาก

          “ที่พูดไปเมื่อตอนเย็น เธอ…เอ่อ…พูดจริงเหรอ” ชิดะถามถึงเรื่องที่เขาขอแต่งงานด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ถ้าริสะพูดเล่นขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ? แต่นิสัยของริสะไม่ใช่คนชอบพูดล้อเล่นซักหน่อยนี่

          “หืม…อ๋อใช่ ฉันอยากเลี้ยงหมา” ตอบมาไม่ได้ตรงกับที่คิดเลยซักนิด

          “….” มานากะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกระฟัดกระเฟียดอยู่ในใจแต่ไม่แสดงออก อยากรู้จะตายแล้วว่าริสะพูดจริงรึเปล่าแต่เขาดันมาเฉไฉไปเรื่องหมาเฉยเลย หนอย..

          “จะเลี้ยงพันธุ์อะไรดีล่ะ มานากะช่วยคิดหน่อยสิ” เขาพูดพลางหยิบไดร์มาเสียบปลั๊ก เปิดแล้วเป่าผมให้มานากะจะได้แห้งเร็วๆ ไปงานแต่งของยูกะกับอากาเนะวันนี้กว่าจะได้กลับเหนื่อยสายตัวแทบขาด อยากทิ้งตัวเอนหลังลงนอนเต็มแก่แล้ว

          “เฮ้อ~” อยู่ๆชิดะก็ถอนหายใจออกมาให้วาตานาเบะงงเป็นไก่ตาแตก ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

          “อ้าว ถอนหายใจทำไม หรือมานากะไม่ชอบหมาหรอ งั้นฉันเลี้ยงแมวก็ได้นะ”

          “เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก จะเลี้ยงอะไรมันก็เรื่องของเธอสิ นี่มันห้องเธอนะ” ใช่ จะเลี้ยงอะไรก็เลี้ยง มานากะไม่มีสิทธิ์ไปชี้นิ้วสั่งหรอกว่าอยากเลี้ยงอะไรหรืออยากได้พันธุ์ไหน

          “ไม่ได้หรอก ก็มานากะเป็นแฟนฉันนี่”

          “….”  พูดไม่ออกเลยค่ะ เขิน…

          “มานากะอยากเลี้ยงพันธุ์อะไรคะ”

          “แล้วแต่ริสะเถอะ พันธุ์อะไรก็ได้ฉันได้หมดแหละ”

          “ฉันอยากเลี้ยงโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เธอว่าไง?” เขาพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงสุดแสนดี๊ด๊า ใครมาฟังก็รู้ว่าเจ้าตัวอยากเลี้ยงมากขนาดไหนแถมดูจะมีความสุขมากเสียด้วย ตอนนี้ริสะเลยอารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะจะได้เลี้ยงหมาสมใจอยาก

          “ก็ดี น่ารักดี” ถ้าเลี้ยงจริงต้องเหมือนมีริสะอีกคนแน่ๆ…

          “นี่…แต่ว่าเรื่องที่เธอถามฉันตอนเย็นอีกเรื่องนั่นล่ะ” ในที่สุดมานากะก็ทำให้บทสนทนาวกกลับมาเรื่องเดิมได้ซักทีหลังออกทะเลไปเรื่องหมาเรื่องแมวอยู่พักใหญ่ๆ หล่อนพูดเสียงแผ่วลงจากเดิมไปมากทีเดียว คาดว่าเพราะความไม่แน่ใจ ไม่แน่ใจว่าริสะพูดเล่นหรือว่าจริงจังกับเรื่องนั้นมากน้อยแค่ไหน

          “หืม…อีกเรื่องนึง? อ๋อ”

          “เธอพูดจริงใช่มั้ย”

          “ใช่ ฉันอยากบอกให้บอสกับทุกๆคนรู้นะว่าเราคบกัน แต่ถ้ามานากะยังไม่พร้อมเราคบกันเงียบๆก็ได้ค่ะ ไม่เป็นไรฉันรอได้” คราวนี้วาตานาเบะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง มือที่กำลังถือไดร์เป่าผมของเขาชะงักนิ่งไป เริ่มให้ความสนใจกับหญิงสาวที่นั่งหันหลังให้ตรงหน้ามากกว่าการเป่าผมของหล่อนให้แห้ง

          “….” เงียบแบบนี้แสดงว่าปฏิเสธสินะ..รู้อยู่แล้วแหละ

          “ทำไมหรอ”

          “เปล่า ขี้เกียจพูดแล้ว เป่าเสร็จก็หวีผมให้ฉันด้วย”

          “คิก มานากะ” อยู่ๆก็หัวเราะขึ้นมาซะงั้น ช่วงนี้มานากะเดาใจริสะได้ยากเหลือเกิน หรือเพราะความจริงแล้วที่เห็นในอออฟฟิศนั่นริสะสร้างภาพ? ตัวจริงมันร้ายกว่าเห็นๆ

          “อะไร!”

          “ถ้าอะไรๆมันเข้าที่กว่านี้ เธอจะแต่งงานกับฉันไหม?”

          “ริสะ…”


          “คุณหนูอากาเนะตื่นเถอะครับ สายแล้วนะครับ”

          “!!!!” โมริยะสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะสัมผัสมือสากๆที่ไหล่ หล่อนปรือตาขึ้นมองยังผู้ที่เข้ามาปลุกเธอ ไม่ใช่ยูกะภรรยาสุดที่รักอย่างเช่นทุกวันนี้แต่ดันเป็นคุณหัวหน้าพ่อบ้าน เป็นคุณเซบาสเตียนซะอย่างงั้น

          “อรุณสวัสดิ์ครับ”

          “ทะ ทำไมคุณเซบาสเตียนถึงมาปลุกฉันล่ะคะ ละ แล้วยูกะ…” เธอกวาดสายตาไปทั่วห้องแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของหญิงสาวผมยาวสีเข้ม จะเห็นก็มีแต่ก้อนขนสามก้อนอยู่ในห้องนั่นแหละ

          “พอดีคุณทอมป่วยน่ะครับ คุณหนูยูกะเลยพาไปพบคุณหมอครับ”

          “คุณทอม? ทอม… อ๋อ เจ้าแมวนั่นน่ะหรอ”

          แมวอ้วนนั่นป่วยเหรอ ชิ! แกแย่งยูกะไปจากฉันอีกแล้ว หนอย แทนนี่ฉันจะได้นอนกอดยูกะทั้งวัน หึย เจ้าแมวอ้วน!!!

          “ขอบคุณที่มาปลุกฉันนะคะคุณเซบาสเตียน”

          “ด้วยความยินดีครับ งั้นผมขอตัวนะครับ”

          “ม๊าวววว” เสียงร้องสามเสียงแทบจะประสานกันทันทีที่คุณเซบาสเตียนออกไป อากาเนะหันไปมองยังต้นเสียงถึงได้เห็นตาแป๋วๆสามคู่จ้องมองมาทางตัวเอง

          “หืม…ว่าไงเจ้าเหมียว เหมือนเรารู้จักกันมาก่อนเลยนะ” อาจจะเป็นตอนเด็กๆที่เธอมาเล่นบ้านสุไกบ่อยๆทำให้รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับเจ้าเหมียวพวกนี้ก็ได้..

          “ม๊าววว” แมวน้อยสามตัวเดินตรงมาคลอเคลียแฟนใหม่เจ้านาย(?) ราวกับรู้ว่าถ้าไม่ผูกมิตรกับมนุษย์คนนี้ไว้ พวกมันจะต้องลำบากแน่

          “หืม ชื่ออะไรกันบ้างเนี่ยเจ้าตัวยุ่ง” พูดด้วยน้ำเสียงอยากขยี้ขนเจ้าพวกก้อนนี่ให้หมด มือไวๆของโมริยะคว้าตัวเปอร์เซียสีขาวขนฟูมาไว้ได้ ตาสีฟ้าสว่างของมันดูสวยจนอากาเนะไม่อยากเชื่อว่าแมวจะมีแววตาที่สวยขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าแหละ แมวของตระกูลสุไกต้องดูดีอยู่แล้ว ยกเว้นเจ้าลูกชิ้นนั่น..

          .

          .

          .

          “กลับมาแล้วค่ะ” ทันทีที่เสียงของคุณหนูสุไกดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง โมริยะที่กำลังนอนจมอยู่ในกองก้อนขนสามก้อนแทบเด้งตัวขึ้นมารับไม่ทัน

          “ยูกะ~ กลับมาแล้วเหรอคะ~”

          “ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอคะ ฮะๆ” เจ้าของบ้านรีบปล่อยแมวอ้วนอย่างทอมลงไปนอนบนเตียง ซึ่งมันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เดินอุ้ยอ้ายไปหามุมของตัวเองแล้วนั่งด้วยท่าประหลาดๆที่ไม่ว่าอากาเนะจะเห็นกี่ครั้งก็หมั่นไส้มันทุกครั้ง

          “ก็เล่นกับแมวจนเบื่อแล้ว”

          “แล้วนี่ทอมเป็นอะไรเหรอ”

          “ทอมท้องผูกน่ะค่ะ”

          “ท้องผูก…”

          “อื้ม”

          “แมวก็ท้องผูกได้ด้วยเหรอ”

          “ได้สิคะ”

          “อ๋อ…” กินเยอะเอง แล้วอึไม่ออกล่ะสิเจ้าอ้วน เหอะ สมน้ำหน้า

          .

          .

          .

          “ยูกะแล้วหลังจากกลับไปเคลียร์งานแล้วราจะไปฮันนีมูนที่ไหนดีคะ” โมริยะที่กำลังอุ้มเจ้ามิ้ลค์ขึ้นมาแปลงขนถามขึ้น ดูเธอจะชอบเจ้าเปอร์เซียขนฟูนี่เป็นพิเศษ อาจเพราะมันดูเป็นมิตรที่สุดแล้วในบรรดาแมวทั้งสี่ตัวของยูกะ

          “หืม นั่นสิคะ แต่ฉันยังไม่ได้ปรึกษาท่านพ่อกับท่านแม่เลยนะคะ เอ…อากาเนะอยากไปที่ไหนเป็นพิเศษมั้ยคะ” หญิงสาวผมสีเข้มตอบกลับ ตอนนี้เจ้าทอมมานอนแหมะอยู่บนตัก เธอจะขยับไปหาอากาเนะก็ขยับไม่ได้เพราะเกรงใจทอม เห้อ ชีวิตทาสแมว..

          “ที่ไหนก็ได้ที่มียูกะค่ะ”

          “แหม…อ้อนจังเลยนะคะ”

          “ฮันนีมูนเนี่ยคนทั่วไปเขาไปที่ไหนกันน๊าาาาา อืมมมมมม” อากาเนะคิดไม่ตก จะเที่ยวทะเลก็น่าเบื่อ ญี่ปุ่นมีทะเลล้อมรอบอยู่แล้ว หรือจะไปต่างประเทศดี.. อันนี้ก็น่าสนใจ เพราะเธอไม่ได้ไปต่างประเทศนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่ายูกะจะอยากไปหรือเปล่า

          “ยูกะงั้นเราไปมัลดีฟกันมั้ย”

          “เอ๋ อากาเนะอยากไปเหรอคะ” คุณหนูสุไกเลิกคิ้ว มัลดีฟก็ไม่ได้แย่อะไรเท่าไหร่นัก ว่าแต่ไปมัลดีฟนี่เอาแมวสี่ตัวของเธอไปด้วยได้มั้ยนะ?

          “อื้ม”

          “งั้นก็ได้ค่ะ”

          “เย้~ รักยูกะที่สุดเลย”

          “หืม แต่ว่าพาแมวไปด้ว—-” ยังไม่ทันจะพูดจบก็โดนอีกฝ่ายพูดขัดขึ้นเสียก่อน

          “พวกแมวฝากคุณเซบาสเตียนไว้แล้วกันนะ” อากาเนะอุ้มเจ้าก้อนขนสีขาวลงจากตัก พอดีกับที่เห็นขนมันร่วงกราวอยู่บนตักตัวเองแล้วก็อยากกลอกตา ถึงมันจะน่ารักแต่ขนร่วงแบบนี้ไม่ไหวนะ

          “เอ๋ ทำไมล่ะคะ พวกมันก็เหงาแย่สิ ฉันก็ด้วย คงเหงาแย่เลย”

          “มีกันตั้งสี่ตัวไม่เหงาหรอก แล้วยูกะจะเหงาได้ไงคะ ยูกะมีฉันทั้งคนนะ” งอน… แมวสำคัญกว่าฉันอีกเหรอ เจ้าพวกก้อนขนนั่นมันน่าสนใจตรงไหนกัน ชิ!

          “แต่ว่าช่วงนี้ฉันไม่ค่อยมีเวลาให้พวกเค้าเลยนะคะ”

          “….”

          “เอาไปด้วยไม่ได้จริงๆหรอคะ เด็กๆทุกคนไม่ซนหรอกนะคะ”

          “….” ไม่ซนแต่เกะกะน่ะสิ แล้วยูกะก็จะเอาแต่อยู่กับเจ้าพวกนั้น.. คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เธออาจจะลืมไปว่ายูกะคงไม่ได้ให้ความสนใจเธอเท่าเจ้าแมวสี่ตัวนี้เท่าไหร่ ตอนนี้ชีวิตเธอรันทดขนาดที่ยังสำคัญน้อยกว่าแมว..

          “….”

          “อากาเนะ…”

          “….” เงียบ

          “งอนเหรอคะ”

          “….” ก็ยังเงียบ

          “ฉันขอโทษ ไม่พาพวกน้องแมวไปด้วยก็ได้ อย่างอนเลยนะคะ” เหมือนเจ้าลูกชิ้นทอมจะรู้ใจทาส(?)ของตัวเองอยู่บ้างเลยยอมลุกออกจากตักของยูกะ ให้หล่อนขยับตัวเข้าไปกอดอากาเนะได้หลังจากที่นั่งจนเหน็บกินเพราะทอมไม่ยอมลุกบวกกับน้ำหนักที่มากกว่าแมวปกติของมัน

          “ไม่ได้งอน แค่น้อยใจ…บู่” มันก็สมควรจะน้อยใจอยู่หรอก ยูกะควรจะสนใจเธอมากกว่าแมวพวกนั้นซักหน่อย หรือเท่าๆกัน นี่จะไปฮันนีมูนแล้วยังจะเอาแมวไปด้วย หมดกันเวลาส่วนตัว

          “น้อยใจอะไรคะ หืม ไม่เอาสิ หันมานี่หน่อยนะ โอ๋”

          “จะเอาแมวไปด้วยจริงๆเหรอ…”

          “เอ่อ…” ยูกะอึกอัก ในนึงก็อยากเอาแมวไป อีกใจก็กลัวว่าอากาเนะจะนอยด์มากกว่าเดิมถ้าเอาเหมียวทั้งสี่ไปด้วย

          “งั้นตัวเดีย–”

          “ไม่!” พอโมริยะยื่นคำขาดแล้วคุณหนูสุไกก็เหมือนจะหงอยลงไปถนัดตา เหมือนมีเสียง‘หงิง’เบาๆออกมาเลย อย่างกับลูกหมา หล่อนซบหน้าลงกับบ่าของหญิงสาวอีกคนด้วยท่าทางออดอ้อนเผื่อว่าเขาจะใจอ่อน

          “ยูกะอยากจะเอาแมวไปด้วยจริงๆเหรอ” อากาเนะยกแขนขึ้นกอดตอบอีกคนเอาไว้หลวมๆ ถามย้ำอีกครั้งเพื่อตัวเองจะได้ไม่มาหงุดหงิดทีหลังถ้ายูกะจะเอาแมวไปด้วย

          “ถ้าอากาเนะไม่อยากให้พาไปด้วย ก็ไม่เป็นไรค่ะ ฝากคุณเซบาสเตียนไว้ก็ได้”

          “พอเถอะ ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว เลิกพูดถึงแมวพวกนั่นซะที” โมริยะเบื่อจะพูดเรื่องแมวกับคนรักของเธอเต็มทนแล้ว ถ้ายูกะจะพาพวกมันไปด้วยจริงๆเธอก็คงห้ามไม่ได้ แต่เธอก็มีวิธีกำจัดพวกเสี้ยนหนามขนปุยพวกนี้ในแบบของเธอเหมือนกัน ยูกะผละกอดออกมามองหน้าอีกฝ่าย หน้าตายังหงอยอยู่เหมือนเดิมจนอากาเนะอยากจับฟัดให้หายหมั่นเขี้ยว

          ตอนนี้จูบอย่างเดียวแล้วกัน

          .

          .

          .

          – ติ้งต่องๆๆ –

          “ค่าาาาา มาแล้วค่ะ” มานากะรีบตรงไปที่ประตูบ้านทันทีที่ได้ยินเสียงออดกดย้ำๆ ในใจคิดว่าใครกันมากดออดตอนดึกดื่นแบบนี้ คงไม่มีเหตุเร่งด่วนอะไรใช่มั้ยเนี่ย? หรือบอสเรียกไปบริษัท? แต่ก็ไม่น่า นี่มันมืดมากแล้วนะ..

          “เอ่อ..ไง..” แต่พอเปิดประตูบ้านกลับพบว่าคนที่มากดออดคือริสะนั่นเอง

          “เดี๋ยว! มานากะ เฮ้! อย่าพึ่งปิดประตูหนีสิ” อีกฝ่ายยังไม่ทันทำอะไร แต่มานากะก็จงใจปิดประตูทิ้งอีกฝ่ายทันที ทำให้ริสะต้องรีบดันประตูเอาไว้ก่อนเธอจะถูกทิ้งไว้นอกบ้านคนเดียว

          “มาทำไมดึกดื่น นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วริสะ ไปดื่มมาเหรอ กลับไปเลยนะ ถึงว่าสิไม่ตอบไลน์” ชิกะตอบเสียงงอนๆ เธอไลน์ไปหาเขาตั้งแต่หัวค่ำยันจะสี่ทุ่มแล้วยังไม่ตอบเลย มันน่านัก

          “ไม่ใช่นะมานากะ ฉันไม่ได้ตอบเพราะมัวแต่เก็บของต่างหาก”

          “เก็บของ?” เจ้าของบ้านถามเสียงสูง ริสะจะเก็บของทำไม? เขาจะไปต่างจังหวัดหรอ? แต่ถ้าไปเขาต้องบอกเธอก่อนสิ นี่ไม่บอกอะไรเลย

          “เอ่อ… ของพวกนี้น่ะ” ริสะชี้ไปประเป๋าเดินทาง 2 – 3 ใบ และกล่องใหญ่อีกกล่องนึงที่วางอยู่บนพื้น ถัดจากที่เธอยืนไปเล็กน้อย มานากะมองด้วยสายตางุนงง แล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน

          “แล้วไง เธอจะไปเที่ยวเหรอ ทำไมเตรียมของมาเหมือนจะย้ายบ้านแบบนั้นล่ะ?” เดี๋ยวนะ..พูดถึงย้ายบ้าน ริสะจะย้ายบ้านไปที่ไหนหรือเปล่าเนี่ย??? กระทันหันไปมั้ย!

          “ย้ายมาอยู่กับมานากะไง”

          “….”

          “ห๊ะ?”

          “ย้ายมาอยู่กับมานากะ”

          “ย้าย…มาอยู่กับฉัน…” มานากะทวนช้าๆอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง จ้องอีกฝ่ายนิ่ง

          “อื้ม”

          “….”

          “ฉันเข้าไปในบ้านได้รึยัง?”

          “ใครอนุญาตให้เธอย้ายมาเล่า ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาฉันสักคำ ไม่! อย่าเข้ามานะ! อย่า!”

          “….” ริสะขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆของมานากะ ยิ่งเจ้าตัวแสดงทีท่าราวกับรังเกียจเธอนักหนานั่นยิ่งทำให้รู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก ทีก่อนหน้านี้ทำตัวอย่างกับลูกแมว หนอย..

          มานากะทำเหมือนฉันจะทำมิดีมิร้ายอะไรเธอสักอย่างเลย ทั้งๆที่ฉันแค่ขอเข้าบ้านเธอแค่นี้เองนะ…

          “มานากะจะไม่ให้ฉันอยู่ด้วยจริงๆหรอคะ จะไล่ฉันไปนอนที่อื่นจริงเหรอ”

          “….”

          “ให้ฉันอยู่ด้วยเถอะนะ นะ นะ”

          “แล้วทำไมเธอไม่อยู่คอนโดเธอล่ะ มันสะดวกสบายกว่าบ้านฉันตั้งเยอะ”

          “เอ่อ…ฉันขายห้องฉันไปแล้วล่ะ” วาตานาเบะพูดเสียงเบา กระอักกระอวนอยู่ไม่น้อย ที่จริงมันเป็นการมัดมือชกมานากะทางนึง หนึ่งในแผนร้ายๆของริสะที่อีกฝ่ายน่าจะคาดไม่ถึง

          “ห๊ะ!? เธอว่าไงนะ ขายไปแล้ว!”

          “อื้ม”

          “แล้วทำไมถึงขายล่ะ งั้นตอนนี้เธอก็ไม่มีที่อยู่งั้นเหรอ”

          “ใช่”

          “….”

          “งั้นให้ฉันอยู่กับมานากะนะ” ไม่พูดเปล่า คราวนี้มาทั้งลูกอ้อนทั้งจับไม้จับมือทำตาปิ๊งๆใส่ มานากะเห็นแล้วอยากลงไปแดดิ้น ที่จริงอยากให้เข้ามาตั้งนานแล้ว แต่แค่เล่นตัวไปเท่านั้นแหละ

          “ก็..ก็ได้”

          .

          .

          .

          ชิดะช่วยวาตานาเบะย้ายของเข้ามาในบ้าน ตอนแรกก็คิดว่าถ้าริสะมาอยู่ที่นี่จะให้นอนห้องไหน แต่ก็มานึกได้ทีหลังว่าริสะต้องอยากนอนที่ห้องเธอแหงๆ เลยไม่ได้ถามอะไรออกไป ถึงบางครั้งเขาจะยอมเธออยู่บ้าง ทว่าบทจะเอาแต่ใจก็สุดๆไปเลย เหมือนอย่างตอนนี้ มานากะล่ะปวดหัวจริงๆ

          “ขอบคุณนะ เหนื่อยมั้ยมานากะ” เมื่อจัดการวางของอะไรเข้าที่เรียบร้อยแล้ววาตานาเบะก็รีบเข้าไปปรนนิบัติพัดวีให้หญิงสาวผมสั้นทันที ถ้ามีใครผ่านมาเห็นคงต้องหมั่นไส้มานากะแน่ๆ

          “เหนื่อยสิ เนี่ยเมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้ว” พอได้ยินแบบนั้นริสะก็ลงมือนวดไหล่ให้อีกฝ่ายอย่างเอาอกเอาใจ เดี๋ยวถ้ามานากะเปลี่ยนใจขึ้นมาจะแย่เอา

          “มานากะ…”

          “หืม อะไร”

          “เรื่องแต่งงานน่ะ คือ…”

          “เราพึ่งคบกันเองนะริสะ อย่าเพิ่งรีบสิ”

          “แต่ว่า…”

          “ทำไมถึงอยากแต่งงานแล้วล่ะ ฮึ ว่าไงเจ้าหมา” หญิงสาวผมสีอ่อนย่อตัวลงนั่งเล่นกับเจ้าลูกหมาโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ที่ริสะเพิ่งซื้อมาเลี้ยงได้ไม่นาน เจ้าหนูขนปุกปุยวิ่งกระดิกหางมาหามานากะทันทีที่มันเห็นหล่อน คงจะจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนของเจ้านาย

          “โฮ่ง โฮ่ง”

          “ซนจังเลยนะแกเนี่ย เหมือนเจ้าของเลย”

          “ฉันเปล่าซนนะ” นี่คิดผิดรึเปล่า ที่เอาเจ้าหมาน้อยนี่มาเลี้ยง เพราะนอกจากมันจะดึงความสนใจในตัวเธอจากมานากะไปแล้ว เจ้าหมานี่ยังชื่อคล้ายเธอด้วย…

          นั่นก็เพราะฉันให้มานากะเป็นคนตั้งชื่อมันน่ะสิ

          “ริจจังห้ามกัดขาโต๊ะนะ ริสะไปจับริจจังไว้ซี๊ เร็ว!!!” และตามคำสั่งของเจ้าบ้าน ริสะตรงเข้าไปอุ้มตัวแสบออกมาจากโต๊ะไม้ทันที สงสัยเพราะว่าอยู่ในวัยเด็กเลยทำให้เจ้าตัวน้อยนี่ชอบไปแทะนู่นแทะนั่นลับเขี้ยวล่ะมั้ง..

          “โฮ่ง!”

          “อย่าซนน่า ห้ามทำลายข้าวของบ้านมานากะเด็ดขาดเลยนะ รู้มั้ย ฮึ!” เขาพูดเสียงดุ ริจจังที่ว่าหงอยลงไปถนัดตา หางลู่หูตกน่าสงสารจนชิดะต้องเข้ามาห้าม

          “ริสะจะเสียงดังทำไม!!! สงสารริจจัง อย่าพูดแบบนั้นกับลูกหมาสิ”

          “อ้าว..ก็เธอ…”

          “ห้ามเถียง!”

          “ค่ะ…”

          “มานี่ฉันอุ้มเอง โอ๋ไม่ต้องกลัวริสะหรอกนะ ฉันไม่ได้ใจร้ายแบบริสะหรอก”

          “หงิงๆ”

          “….”

          ใครว่าอากาเนะมีปัญหากับสัตว์เลี้ยงบ้านสุไก

          ตอนนี้ริสะก็เริ่มเป็นแบบนั้นแล้วเหมือนกัน..

          .

          .

          .

          “ริสะ…”

          “….”

          “ริสะ”

          “….”

          “เป็นอะไรทำไมไม่คุยกับฉัน หืม” ชวนคุยก็แล้ว หาอะไรมาทำก็แล้วแต่ริสะก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมาซักอย่าง มานากะเริ่มใจแป้ว จนกระทั่งปล่อยให้ริจจังเข้ากรงไปนอนแล้วถึงได้เข้ามาคุยด้วยอีกครั้ง

          “น้อยใจ…”

          “ห๊า!?”

          “ก็มานากะเอาแต่เล่นกับริจจัง ไม่สนใจฉันเลย” ริสะตัดพ้องอนๆ ริจจังนี่มันตัวดึงความสนใจจากมานากะชัดๆ หรือเพราะว่ามันเหมือนเขามากเกินไปมานากะเลยสนใจเจ้าลูกหมานี่มากกว่า??

          “โถ่ ก็นึกว่าเรื่องอะไร ก็นั่นมันลูกหมานะ ริจจังยังเด็กอยู่เลย ต้องการเพื่อนเล่น ฉันไม่สนใจริสะตรงไหน”

          “….”

          “ตกลงจะไม่พูดกับฉันใช่มั้ย”

          “….”

          “ก็ได้!” ชิดะกระชากเสียง หลังจากนั้นหล่อนก็เป็นฝ่ายเงียบกลับบ้าง เกรี้ยวกราด

          “….” ก็ได้ของมานากะนี่มันหมายความว่ายังไงกันนะ…

          “ถ้างั้นก็นอนนอกห้องนะคืนนี้” หล่อนพูดเสียงเรียบๆ ดีไม่ดีนอกจากริสะจะได้นอนนอกห้องแล้วเธออาจจะเอาริจจังเข้าไปนอนแทนเจ้าของก็ได้ ฮึ เล่นตัวดีนัก

          “มานากะ อย่าทำแบบนั้น ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว”

          “หึ! แล้วทีแบบนี้ถึงจะพูดนะ”

          “ขอโทษ ขอโทษนะ” ตอนนี้วาตานาเบะไม่ได้ต่างไปจากริจจังตอนกำลังหงอยเลยซักนิด น่าจะเรียกว่าเป็นริจจังร่างคน หางตาตกๆ คิ้วที่ย่นลงเพราะรู้สึกผิดอีก ดูไปดูมายังไงมันก็เจ้าตูบชัดๆ

          “จูบฉันสิ”

          “อะไรนะ…”

          “บอกให้จูบไง ไม่ได้เหรอ!” ไม่เล่นใหญ่ไม่ใช่มานากะ หล่อนยืนกอดอกทำหน้ามุ่ย พร้อมที่จะเดินเข้าห้องแล้วลงกลอนทันทีถ้าริสะไม่ทำตามใจ อารมณ์แปรปรวนจนบางทีริสะก็คิดว่าตอนนี้มานากะมีรอบเดือนอยู่รึเปล่า

          “มานากะ เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งล็อค ให้ฉันเข้าไปก่อน!”

          “ชิ! ริสะจะเสียงดังทำไมเดี๋ยวริจจังก็ตื่— อื้อ” พูดไม่ทันจบก็โดนขโมยจูบไปซะแล้ว ทีแรกหล่อนก็แอบตกใจเพราะไม่ได้ตั้งตัว หัวสมองโล่งไปหมดเลยตอนริสะประกบปากลงมา

          “จูบแล้ว หายโกรธนะ”

          “แค่นี้น่ะ ไม่พอหรอก” ไม่ว่าเปล่า มานากะคว้าตัวเขาเข้ามาในห้องโดยที่มือข้างหนึ่งจับลูกบิดประตู ดึงมันปิดลงเสียงดังปังและตามมาด้วยเสียงล็อคห้อง

          เธอเสร็จฉันแน่ริสะ!

          .

          .

          .

          นี่ก็ผ่านมาเกือบสองสามเดือนแล้วที่ยูกะกับอากาเนะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ความจริงคือนอกจากพวกเธอสองคนแล้วยังมีแมวอีกสี่ตัว คุณเซบาสเตียน แล้วก็ม้าตัวโปรดของยูกะอีกตัวด้วย อากาเนะจำชื่อมันไม่ได้แต่ที่แน่ๆคือชื่อหรูมากจนไม่น่าเชื่อว่ามันเป็นชื่อม้า

          “ตื่นได้แล้ว” แรงเขย่าเบาๆที่หัวไหล่ทำให้โมริยะซึ่งปกติเป็นคนตื่นง่ายรู้สึกตัวขึ้นมา แต่พอนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ต้องไปทำงานแล้วเธอเลยแกล้งทำเป็นหลับต่อ ไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น

          “….”

          “ตื่นได้แล้วค่ะ” คุณหนูสุไกก็ยังคงไม่ละความพยายามในการปลุกอีกฝ่าย ตอนนี้แทบจะขึ้นมานั่งทับอากาเนะอยู่แล้ว คนอะไร ตื่นยากตื่นเย็นจริงๆ ทั้งๆที่ปกติก็ออกจะตื่นง่ายแท้ๆ แกล้งหลับรึเปล่าเนี่ย?

          “….”

          “อากาเนะ ฉันรู้ว่าอากาเนะตื่นแล้วนะคะ”

          “อ้าว ทำไมถึงรู้ล่ะ ไม่ยุติธรรมเลย” โมริยะค่อยๆลืมตาขึ้นมามองหน้าหญฺงสาวผมสีเข้ม ตอนนี้หล่อนขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงแล้ว สงสัยกะว่าถ้าเธอไม่ตื่นคงกระโดดทับแหงๆ ซึ่งก็ดีแล้วที่อากาเนะตื่นก่อน เธอไม่อยากโดนทับแบนหรอก เห็นตัวบางๆผอมๆแบบนี้ที่จริงยูกะตัวหนักจะตายไป

          “ถ้าตื่นแล้วก็ลุกสิคะ ทำไมต้องแกล้งหลับด้วยล่ะ”

          “ก็อยากนอนอยู่แบบนี้นานๆนี่นา”

          “ลุกเลยค่ะ เดี๋ยวสายนะคะ”

          “วันนี้ไม่ทำงานทำไมเรานอนต่อไม่ได้ล่ะคะ” หล่อนว่าพร้อมส่งสายตาอ้อนๆไปให้อีกฝ่าย กระพริบตาปิ๊งๆอ้อนวอนสุดฤทธิ์เพื่อจะได้นอนต่อ เธอยังพักไม่เต็มอิ่มเลยนี่นา ไม่มีความจำเป็นต้องตื่นเช้าเลยซักนิด

          “ทำไมวันนี้อากาเนะแปลกๆล่ะคะ หืม เป็นอะไรไปคะ”

          ฉันอยากเรียกร้องความสนใจจากเธอไงล่ะ เลิกสนใจแมวพวกนั้นได้แล้ว

          “ยูกะจะไปไหน” ยังไม่ทันได้ทำอะไรแม่คุณก็ลุกออกจากเตียงอีกแล้ว มาเร็วเคลมเร็วจริงๆ อากาเนะมุ่ยหน้าเล็กน้อย เอื้อมแขนไปกอดรอบเอวหล่อนเอาไว้แล้วดึงกลับขึ้นมานั่งแปะบนเตียงเหมือนเดิม

          “มันสายแล้ว ก็ต้องลุกไปอาบน้ำสิคะ” แม่แมวค่อยๆหันมาบีบแก้มอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้ เนี่ยจะเน่าอยู่แล้ว ขืนยังจมอยู่กับเตียงมากไปกว่านี้มีหวังงัดออกจากเตียงไม่ได้อีกแน่ๆ

          “สายตรงไหนนี่เพิ่ง 8 โมงเอง”

          “แต่ว่า…” ตอนนี้สุไกกำลังทำท่าจะลุกหนีออกไปอีกแล้ว โมริยะเลยเริ่มงอแง กอดเอวหล่อนเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม อยากจะดึงเข้าผ้าห่มแล้วคลุมโปงจริงๆ

          “อย่าเพิ่งไป มานี่ก่อนนะ ยูกะ งือ” ถ้าจะอ้อนกันขนาดนี้…

          “หืม เป็นอะไรคะเนี่ย เหมือนกับตอนเด็กเลยนะ” ในที่สุดแล้วยูกะก็ต้องยอมเจ้าหมาชิบะตัวนี้จนได้ หล่อนดูอ้อนกว่าปกติจนน่าแปลกใจ คุณหนูค่อยๆเชยคางอีกฝ่ายให้เชิดขึ้นเล็กน้อย พอเขาทำหน้ามุ่ยคิ้วขมวดไม่พอใตแบบนี้แล้วมันดันดูน่ารักเสียอย่างนั้น ยูกะพ่นลมหายใจเบาๆก่อนจะทาบริมฝีปากลงไปยังที่เดียวกันเป็นการเอาอกเอาใจคนที่กำลังงอแง

          “อือ ยูกะ เอาอีก” พอผละจูบออกมาแล้วเจ้าชิบะที่วันนี้เหมือนจะกลายเป็นลูกหมาไปวันนึงก็เรียกร้องขออีก ซุกไซร้ริมฝีปากไปตามซอกคออีกฝ่ายพอหล่อนเผลออย่างเอาแต่ใจตัวเอง ยูกะเพิ่งเคยเห็นอากาเนะอ้อนตัวเองขนาดนี้ก็วันนี้นี่แหละ ปกติใช้แต่กำลังบังคับ พูดดีๆเป็นที่ไหน

          “พอแล้วค่ะ ลุกได้แล้ว”

          “….” หน้าบูด

          “ม่ายยยย ตั้งแต่แต่งงานเรายังไม่ได้ทำอะไรที่เหมือนคู่แต่งงานเค้าทำกันเลยนะ” แล้วก็ตามคาด อากาเนะโวยวายชุดใหญ่ ก็เห็นอยู่หรอกว่าน่าจะงอแงเพราะเรื่องนี้แต่แรกแล้วไม่ใช่เรื่องที่มาปลุกเช้าๆ

          “ก็ปลุกอากาเนะนี่ไงค่ะ หน้าที่หลักของคนรักเลยนะ” หญิงสาวผู้ที่อายุมากกว่าพูดตอบกลับไปตรงๆตามที่ตัวเองคิด แต่เหมือนว่าอีกคนจะช็อคไปแล้วกับคำพูดนี้

          “….”

          “แต่ว่าฉันต้องการยูก—”

          “ม๊าววววว”

          นั่นไง! มัน! มันอีกแล้ว! เจ้าแมวอ้วนเอ้ย!!! จะขัดความสุขฉันไปถึงไหนนะ!

          โมริยะกลอกตาไปมา คลายมือที่กอดหญิงสาวอีกคนเอาไว้ออก เจ้าลูกชิ้นนั่นร้องแบบนี้แล้วเธอไม่เคยห้ามยูกะจากการไปอุ้มแมวนั่นได้ซักครั้ง รอบนี้เลยยอมปล่อยแต่โดยดี หล่อนมุดตัวกลับเข้าไปในกองผ้าห่มโดยไม่สนใจเสียงทักท้วงของสุไกซักนิด ตอนนี้อากาเนะง่วงเกินกว่าจะมาเถียงอะไรแล้ว แถมหงุดหงิดที่โดนแมวอ้วนมาขัดขวางความสุขอีกต่างหาก

ทางด้านคุณหนูสุไกที่โดนงอนก็ได้แต่มองตาปริบๆ หล่อนเดินลงไปอุ้มทอมขึ้นมาอยู่บนเตียงด้วยกัน เกาคางมันไปพลางมองอากาเนะที่ถึงตัวจะมุดหายเข้าไปใต้ผ้าห่มแต่ก็ยังมีปอยผมที่โผล่พ้นออกมาอยู่ดีด้วยความงุนงง

          “ยูกะใจร้าย ไม่คุยกับยูกะแล้ว”

          “….”

          “งอน งอน งอน งอน”

          “อากาเนะ เฮ้อ” แม่แมวถอนหายใจ ปล่อนสก็อตติชโฟลด์สีส้มขาวตัวกลมให้กระโดดลงไปนอนยังที่ประจำของมัน สงสัยเธอต้องจัดการคนเอาแต่ใจตรงหน้าซักหน่อยแล้วล่ะมั้งเนี่ย

          นี่สามีหรือลูกสาวกันแน่คะ

          อากาเนะเสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆก่อนที่พื้นที่บนเตียงข้างๆตัวเธอจะยุบยวบลงพร้อมกับผ้าห่มที่ถูกเลิกขึ้น ยูกะนั่นเองที่แทรกตัวเข้ามานอนกับเธอ ทีแรกหล่อนจะขยับหนีเพราะยังงอนอยู่ อันที่จริงไม่ต้องมาง้อก็ได้ เดี๋ยวเธอก็หายเองนั่นแหละ ทั้งๆที่รู้แต่ยูกะก็ยังเข้ามาง้อ ใครกันที่ว่าวันนี้เธอทำตัวแปลกๆ ยูกะก็ทำตัวแปลกๆเหมือนกันนั่นแหละ ร้อยวันพันปีเคยมาง้อหรอ มีแต่ปล่อยให้หายเอง

ยังไม่ทันทีจะได้ขยับตัวโมริยะก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมแขนของคุณภรรยาสุดที่รักไปซะแล้ว จะดิ้นก็ไม่ได้เดี๋ยวอารมณ์ง้อของนางหายหมด คนผมสีอ่อนเลยได้แต่กอดตอบไป ดูเหมือนอีกฝ่ายจะพยายามพูดง้อแต่คงคิดไม่ออกว่าจะพูดยังไงดีให้เขาหายงอน อากาเนะลอบยิ้มแล้วจัดการปิดปากหล่อน ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก แค่จูบนี้ก็พอแล้วสำหรับเธอ

          .

          .

          .

          .

          “มานากะนี่ 11 โมงแล้วนะ”

          “งือ ขออีก 5 นาที” มานากะรู้ดีว่านั่นเป็นเสียงของใคร และรับรู้ว่าตอนนี้มันเกือบจะเที่ยง แต่หล่อนก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกออกมาจากเตียงง่ายๆ กลับยิ่งเกาะเตียงหนึบให้คนมาปลุกถอนหายใจแรงๆ

          “….”

          “โฮ่ง” ไม่พอพาเจ้าโกลเด้นมาด้วย

          “ตื่นเถอะนะมานากะ ลุกได้แล้ว เดี๋ยวฉันสระผมให้นะ”

          “หืม?” พูดแบบนี้ค่อยน่าสนใจหน่อย ชิดะลืมตาข้างนึงขึ้นมามอง เห็นวาตานาเบะกำลังยืนค้ำอยู่ ถัดมาเป็นริจจังที่นอนอยู่ข้างๆเธอแล้ว มิน่าล่ะหมอนข้างมันดูนุ่มๆ กอดริจจังอยู่นี่เอง

          “โฮ่ง โฮ่ง”

          “ริจจังลากมานากะลงจากเตียงเร็ว!”

          “โฮ่ง!” ด้วยความเชื่อฟังคำสั่งเจ้านาย ลูกหมาตัวน้อยไม่รอช้า รีบงับแถวคอเสื้อของมานากะแล้วออกแรงลากหล่อนลงมาจากเตียงทันที ถึงจะเป็นลูกหมาแต่ก็แรงเยอะใช่ย่อย คงเพราะริสะเลี้ยงมาดี อ้วนถ้วนสมบูรณ์ยิ่งกว่าลูกหมาปกติ

          “ดะ เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน ริจจัง” เหมือนหล่อนจะตั้งตัวไม่ทันเพราะเพิ่งตื่น มาโดนลูกหมาลากลงจากเตียงแบบนี้อย่าให้เพื่อนในออฟฟิศมาเห็นเชียว โดนล้อยันลูกบวช โดยเฉพาะฟุยุกะ รายนั้นขาเม้าท์ประจำบริษัทเลย ฟุยุกะรู้โลกรู้

          “ดีมากริจจัง เดี๋ยวม่าม๊าให้ขนม”

          “โฮ่ง!” ริจจังรีบปล่อยมานากะกองไว้ที่พื้นแล้วหันมาเดินพันแข้งกันขาริสะแทนเมื่อได้ยินคำว่าขนม เอาหัวถูไถอย่างน่าเอ็นดูจนวาตานาเบะต้องย่อตัวลงลูบหัวเจ้าตัวเล็ก

          “หึย! ฝากไว้ก่อนเถอะริสะ!” ชิดะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยันตัวลุกขึ้นจากพื้น ดึงผ้าห่มที่พันตัวเองออกอย่างนึกหมั่นไส้ริจจังที่เห็นขนมดีกว่าม่ามี๊

          “ม่ามี๊งอนริจจังแล้ว”

          “หงิงๆ โฮ่ง” หรือที่จริงเจ้าหมาน้อยอาจจะอยากพูดว่าหนูเปล่านะ ม่าม๊าสั่งให้หนูทำ…

          .

          .

          .

          “ริสะขยี้แรงๆก็ได้ ฉันไม่เจ็บหรอก”

          “แรงกว่านี้อีกเหรอ จะดีเหรอ”

          ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังอยู่ในห้องน้ำโดยมีคนนึงนอนอยู่ในอ่างให้อีกคนสระผมให้ วาตานาเบะออกแรงขยี้ผมอีกฝ่ายให้แรงขึ้นกว่าเดิมตามที่เขาบอก ทีแรกที่ไม่กล้าขยี้แรงเพราะกลัวมานากะเจ็บนี่แหละ เพราะพอหล่อนเจ็บแล้วก็โวยวายแง้วๆเป็นแมว

          “มานากะ…”

          “หืม?”

          “ฉันกำลังหาคอนโดใหม่อยู่ล่ะ คิดว่าน่าจะซื้อที่ใกล้ๆแถวนี้แหละ”

          “อ้าวริสะอยากอยู่คอนโดหรอกหรอ…” ชิดะพูดเสียงเบาๆอ่อยๆ เธอนึกว่าเขาจะอยู่ด้วยตลอดซะอีก ที่จริงคืออยู่แบบชั่วคราวหรอกหรอ?.. คิดพลางรอเขาล้างแชมพูให้ ไม่ใช่ว่ามานากะอยากให้ริสะไปนัก พออยู่ด้วยกันแล้วทำให้เธอเริ่มชิน อะไรๆเริ่มลงตัวหมดแล้ว จู่ๆจะมาย้ายออกไปงั้นหรอ? มาง่ายไปง่ายจริงๆ..

          บรรยากาศดูเงียบกร่อยลงไปถนัดตาหลังจากคำพูดนั้นของวาตานาเบะ หญิงสาวผมสีอ่อนได้แต่นั่งนิ่งอยู่ในอ่างโดยไม่ปริปากอะไร กระทั่งริสะจัดการสระผมให้เสร็จและกำลังจะออกจากห้องน้ำเพื่อให้เธอได้อาบน้ำต่อ มานากะมองตามแผ่นหลังของเขานิ่ง

          “ริสะจะไปไหน”

          “อ้าว? ก็มานากะจะอาบน้ำไม่ใช่เหรอ ฉันจะออกไปรอข้างนอกไง”

          “อย่าเพิ่งไป…”

          “?” วาตานาเบะมองงงๆ แต่ก็ร้องอ๋อในใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายกวักมือเรียกให้ไปหา หล่อนอาจจะอยากให้อาบน้ำด้วยกัน แต่ริสะเพิ่งอาบน้ำไปเองนะ ให้อาบอีกเดี๋ยวจะไม่สบายเนี่ยสิ

          “มานี่…”

          “….” คราวนี้เจ้าตูบยักษ์ไม่ยอมทำตามคำเรียกของมานากะ หล่อนหันกลับไปเปิดประตู นั่นทำให้มานากะหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง ทำไมวันนี้อะไรๆก็ไม่เป็นใจเลยสำหรับเธอ ตั้งแต่ริจจังมาลากเธอลงจากเตียงแล้ว ชิดะจะขอจารึกไว้ว่าวันนี้เป็นวันที่แย่ที่สุดตั้งแต่คบกับริสะมาเลย

          “อ้าว จะไปไหนอีกแล้ว อย่าเพิ่งไปสิ”

          “มานากะฉันจะไปเอาของน่ะ เดี๋ยวมา ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย”

          “อ้อ งั้นก็เร็วๆสิ” รีบเร่งให้ริสะไปเอาของเร็วๆ เพราะเธอไม่อยากอยู่คนเดียวตอนนี้ รู้สึกแย่ไปหมด แต่มานากะกำลังคิดว่าจะลองโน้มน้าวไม่ให้ริสะย้ายออกไปอยู่ จะใช้เหตุผลข้างๆคูๆคงจะไม่ได้ แล้วอะไรดีล่ะ?

          “อื้ม แป๊บนะ”

          .

          .

          .

          “มาแล้ว”

          “นาน ไปเอาของอะไรทำไมนาน ชั้นแช่น้ำรอจนจะเปื่อยทั้งตัวแล้วเนี่ย” หล่อนว่าเสียงกระเง้ากระงอด นอกจากตัวจะเปื่อยแล้วน้ำก็เริ่มเย็นอีกต่างหาก หนาวจะตายแล้วเนี่ย ถ้าไม่สบายขึ้นมาต้องโทษริสะล้วนๆเลยที่ให้เธอแช่น้ำรอแบบนี้

          “โอ๋ ก็มาแล้วนี่ไง มานากะหลับตาหน่อยสิ ฉันมีอะไรจะให้ล่ะ”

          “อะไร! ทำไมต้องหลับตา ห้ามเอาอะไรแปลกๆมาแกล้งฉันนะ ไม่งั้นเธอโดนแน่!”

          “โถ่ ไม่ได้แกล้งจริงๆ หลับตานะ นะ นะ นะคะ”

          “ก็ได้…” ชิดะค่อยๆหลับตาลงอย่างที่เขาว่า แอบมีข้องใจเล็กน้อยอยู่ดีแม้ริสะจะบอกว่าไม่ได้แกล้งก็เถอะ แต่มันมีพิรุธนี่นา มานากะลอบพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ไหนๆวันนี้ก็แย่มาตั้งแต่หัววันแล้วก็แย่ให้มันหมดๆไปเลย ริสะจะแกล้งอะไรเธอก็พร้อมแล้ว

          ทว่าดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น

          ตื่นเต้นจังแฮะ…นี่มันครั้งแรกของฉันเลยนะ…

          วาตานาเบะจับมือซ้ายของคนรักของเธอขึ้นมา ประทับริมฝีปากลงไปบนหลังมืออีกฝ่ายเบาๆก่อนจะไล้ไปจูบยังนิ้วนาง ชิดะอยากลืมตาขึ้นมาดูใจจะขาดแต่ริสะยังไม่ได้บอก ถ้าหล่อนลืมตาขึ้นมาก่อนต้องโดน‘ทำโทษ’แน่ๆ สัมผัสเย็นวาบของโลหะที่นิ้วนางที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นอะไรทำให้ใจของมานากะเต้นระรัว เม้มปากเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาสีเข้มช้อนขึ้นมองหญิงสาวอีกคนพร้อมเอ่ยปากให้หล่อนลืมตาได้แล้ว

          “ริสะ…”

          “มานากะแต่งงานกับฉันนะ”

          “คือฉัน…”

          “ฉันสัญญาจะดูแลมานากะอย่างดี จะทำทุกอย่างตามสั่งเลยนะ แต่งงานกันนะ”

          “….”

          “ฉันดีไม่พอเหรอ” พอเขาเห็นหล่อนนิ่งไม่พูดไม่จาก็เริ่มใจไม่ดี บีบมือของมานากะแน่นขึ้นเล็กน้อย หน้าตาดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

          “เดี๋ยว เปล่า คือฉัน ฉัน ฉันตกใจ…ฉัน”

          “สรุปแต่งงานกับฉันนะมานากะ” จบคำถามก็มองตาแป๋ว เหมือนมานากะจะเห็นภาพริจจังเข้ามาซ้อนทับกับภาพริสะตอนนี้เลย สมแล้วที่สัตว์เลี้ยงจะเหมือนเจ้าของ…เป๊ะมาก

          “เธอคิดยังไงขอแฟนแต่งงานในห้องน้ำเนี่ย ไม่มีที่ที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ” มานากะอยากจะกลอกตาเป็นเลขเก้าไทย มันจะมีซักกี่คนที่ขอแฟนแต่งงานในห้องน้ำ เผลอๆมีแค่ริสะคนเดียวด้วย ให้ตายเถอะ

          “เพราะมานากะโป๊อยู่ไงล่ะ”

          “หา!?” หน้าเหวอๆของคนรักทำให้ริสะอดขำออกมาไม่ได้ แต่ที่เธอพูดไปมันก็ถูกนะ เธอมีเหตุผลของเธอ ซึ่งนั่นก็คือ..

          “คิก ก็เธอหนีฉันไปไหนไม่ได้แน่นอนนี่นา เถอะนะ มาเป็นเจ้าสาวของฉันนะคะ”

          “โอ้ยคิดได้ไงเนี่ย ปัญญาอ่อน ซื่อบื้อซะมัด! ไม่โรแมนติกเอาเสียเลย ริสะบ้า!”

          “แต่งงานกับคนซื่อบื้อคนนี้นะ ฉันไม่อยากอกหักแล้ว นะ” ช้ำมารอบนึงก็จะตายแล้วเนี่ย ขืนครั้งนี้นกอีกคงอัพเกรดตัวเองเป็นพญาฟีนิกซ์ได้แล้ว วาตานาเบะยิ้มตาหยีให้อีกฝ่าย ในเวลาปกติมันอาจจะดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่ตอนนี้กับมานากะที่เซ็งกับสถานที่ขอแต่งงานของริสะเนี่ยเรียกได้ว่าคนละโลกเลย

          “เออๆ ก็ได้ โอ้ยรำคาญ ออกไปเลยไป๊ ฉันจะอาบน้ำแล้ว” โบกมือไล่เขาให้ออกไปได้แล้ว นอกจากสระผมกับแช่น้ำตอนนี้มานากะยังไม่ได้จัดการอะไรเลย สบู่ก็ยังไม่ได้ถู เหนียวตัวเป็นที่สุด

          “อ้าว ไหงไล่กันเฉยเลย เมื่อกี้ยังบอกให้อยู่ด้วยกันอยู่เลย มานากะไม่ได้อยากให้ฉันถูหลังให้เหรอ”

          “ไม่ต้องแล้ว หมดอารมณ์ จะออกไปไหนก็ไป ไปอยู่คอนโดใหม่เธอเลยก็ได้ หึ้ย”

          “เรื่องนั้นฉันล้อเล่น ฉันไม่ย้ายออกไปอยู่คอนโดหรอกถ้ามานากะไม่ได้อยู่ด้วย ฉันก็แค่อยากรู้ว่ามานากะจะรู้สึกยังไง จะขาดฉันได้มั้– โอ้ย! อย่าหยิกสิ ฮือ เค้าเจ็บ” ริสะร้องหงิงเมื่อตัวเองโดนหยิกแขนไปทีสองทีด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัวของหญิงสาวผมสีอ่อน มานากะพูดกระแทกเสียงอย่างนึกขุ่นเคืองในใจ มาหลอกกันได้ ที่เธออุตส่าห์เสียใจไปนี่เพื่ออะไร?

          “เธอนี่มัน! นี่ฉันต้องแต่งงานกับคนแบบนี้จริงๆเหรอ”

          “มานากะ รักนะ”

          “รู้แล้ว”

          “บอกรักฉันบ้างสิ ฉันอยากได้ยิน ตั้งแต่เราคบกัน มานากะไม่เคยบอกรักฉันเลยนะ”

          “….”

          “นะ…” พอเห็นหางตาตกดูเศร้าๆของริสะทีไรมานากะก็ไม่เคยต้านทานได้เลย จากที่หมั่นไส้กลับมาตกม้าตายเอาตอนที่เขาอ้อนขอ

          “รัก…”

          “พูดอีก”

          “รักริสะ พอแล้วไม่พูดแล้ว”

          “เอาอีก”

          “ไม่เอาพอแล้ว”

          “พอมานากะพูดแบบนี้แล้วมันทำให้อยากทำ” รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของวาตานาเบะ เขายืนหน้าเข้ามาใกล้หล่อน มือแตะลงบนไหล่ของมานากะ หญิงสาวอีกคนมองกลับด้วยความฉงน

          “หา…ทำอะไร…” พอพูดไปเท่านั้นแหละถึงได้รู้ว่าริสะจะทำอะไร ยิ่งพอเห็นเขาถอดเสื้อตัวเองด้วยแล้วมานากะอยากจะมุดหายลงไปในน้ำให้รู้แล้วรู้รอด นี่มันตอนเช้านะ!

          “ดะ เดี๋ยว!! ธะ..เธอจะถอดทำ…ไม อื้อ…” เสียงโวยวายเงียบลงไปแล้ว ริมฝีปากที่ถูกประกบลงมานั่นเองที่เป็นสิ่งช่วยหยุดอาการโวยวายของมานากะ หล่อนเอื้อมมือไปโอบรอบคอของเขา จูบตอบไปอย่างเผลอตัว ทั้งๆที่คิดว่าตอนเช้าจะไม่ได้เปลืองตัวเปลืองแรงแล้วเชียว

          ริสะนี่มันสมเป็นริสะจริงๆ

          แต่ก็เป็นริสะที่เธอรักนั่นแหละนะ

FIN

Fiction

No Choice (M.A.R.Y.) : 07

– 07 : Need your love –

ปกฟิค8


          “เอ่อ…คือมาโอะขอโทษนะคะเจ้านาย คือ คือ…” มาโอะอ้ำอึ้ง พูดอะไรไม่ออก เธอรู้ว่าเจ้านายของเธอมีคู่หมั้นอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะพามาสวีทกันถึงที่ทำงาน หล่อนเลยสะเพร่าไม่เคาะประตูก่อน คิดว่ายังไงเจ้านายก็น่าจะอยู่ในห้องทำงานคนเดียว

          “…..”

          “คุณอิกุจิออกไปก่อนได้มั้ยคะ”

          “คะ ค่ะ..” ได้ยินดังนั้นแล้วอิกุจิก็รีบถอยออกไปทันทีโดยปล่อยให้ชิดะและวาตานาเบะยืนค้างอยู่ที่หน้าห้อง

          – ปึ๊ก –

          เสียงปิดประตูดังขึ้นทว่าร่างทุกร่างที่อยู่ภายในห้องกลับหยุดนิ่งเหมือนโดนหยุดเวลาเอาไว้ชั่วขณะ ดวงตาสี่คู่มองกันไปมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง คนที่คิดว่าไม่น่าจะได้เจอกันที่นี่ดันเจอกันโดยที่ไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ก่อน

          “….”

          “เชิญนั่งค่ะ” สุไกผายมือยังที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามกับที่เธอนั่งอยู่ หน้าตาของหล่อนดูไม่สู้ดีเท่าไหร่นักเมื่อเห็นว่าวาตานาเบะไม่ได้มาคนเดียว ยูกะลอบถอนหายใจเบาๆ เหลือบไปมองปฎิกิริยาของโมริยะด้วยเช่นกัน

          “ขอบคุณค่ะ”

          “สวัสดีค่ะคุณสุไก คุณอยากให้ทางเราเปลี่ยนแบบแปลนห้องตรงไหนเพิ่มเหรอคะ” วาตานาเบะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ยากที่จะคาดเดาความคิด ทั้งยูกะและมานากะ หญิงสาวทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าตอนนี้ริสะคิดอะไรอยู่หรือรู้สึกอย่างไรภายใต้ความเรียบเฉยที่แสดงออกมาทางสีหน้า

          “ยูกะ ฉันออกไปรอข้างนอกดีกว่านะ” ก่อนที่คุณหนูสุไกจะได้พูดโต้ตอบวาตานาเบะ โมริยะก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน หล่อนคงจะอึดอัดกับบรรยากาศแบบนี้อยู่ไม่น้อย ในเมื่อคนหนึ่งคือแฟนเก่า และอีกคน…คือแฟนเก่าของคู่หมั้น

          “อืม…ก็ได้ค่ะ” เมื่อหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อนหลังโต๊ะทำงานพยักหน้าเบาๆเป็นสัญญาณว่าอนุญาตให้เธอออกไปได้ อากาเนะก็ไม่รีรอ เดินผ่านหญิงสาวทั้งสามคนไปทางประตูทันที แต่ระหว่างที่กำลังเดินผ่านหญิงสาวผมสั้นสีอ่อนนั้นเธอไม่ได้เดินผ่านไปเฉยๆ

          “มานากะ”

          “ห๊ะ!?” ชิดะสะดุ้ง จากที่กำลังเหม่อค้างไม่รู้ตัว ตอนนี้หล่อนมองซ้ายมองขวา สายตาล่อกแล่กทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่เรียกชื่อของหล่อนคือโมริยะ

          “ช่วยตามฉันมาที”

          “….” มานากะหันไปมองหน้าหญิงสาวที่มาด้วยกันเป็นเชิงถามว่าควรจะตามไปดีมั้ย เพราะอย่างน้อยตอนนี้พวกเธอสองคนก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกันเฉยๆซักทีเดียว..

          “ไปเถอะ”

          .

          .

          .

          “ที่จริงแล้วยูกะแค่อยากเจอฉันใช่มั้ย”

          พอโมริยะและชิดะออกไปแล้ววาตานาเบะก็ดูจะผ่อนคลายลงจากก่อนหน้ามาก ไม่เกร็งนั่งหลังตรงแล้วเวลาคุยกัน เขาเอนหลังพิงผนักเก้าอี้ รอยยิ้มฝืนๆถูกส่งไปให้หญิงสาวคู่สนทนา เท่าๆที่ดูแล้วหล่อนยังดูดีเหมือนครั้งที่เจอกันล่าสุด ไม่ได้ดูโทรมลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว ช่างแตกต่างจากตัวเขาจริงๆ

          “หืม ตรงดีจัง สมกับเป็นริสะเลยนะคะ” หล่อนแย้มยิ้มไม่ต่างจากยิ้มฝืดๆของริสะเท่าไหร่นัก มือทั้งสองวางประสานกันไว้บนโต๊ะ ที่ริสะพูดเมื่อกี้เป็นเรื่องจริง เธออยากเจอเขา คิดถึงเขา ถึงแม้ตัวเองกำลังจะแต่งงานแล้วก็ตาม

          “ใจร้ายจังนะ ทำไมอยู่ๆก็หายไป แล้วก็ไม่มาลาด้วยตัวเองอีก”

          “ฉัน…ขอโทษ” สุไกก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาสีเข้มที่กำลังสั่นระริกของเขา ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มนั่นเป็นเพียงแค่หน้ากากที่เขาสวมเอาไว้เท่านั้น ภายในใจคงไม่ยิ้มตามแบบนี้แน่ๆ เธอมั่นใจ เพราะรู้จักริสะมานาน แค่นิสัยใจคอและความคิดของเขา ทำไมเธอจะไม่รู้ล่ะ?

          “เอาเถอะ…ฉันไม่โกรธยูกะหรอกนะ” วาตานาเบะไหวไหล่เบาๆประกอบคำพูดของตัวเอง

          “ขอโทษจริงๆนะคะ ขอโทษ ฉัน…”

          “เราก็รู้อยู่แล้วว่าสักวันมันจะต้องเกิดขึ้น”

          “….” สุไกเงียบไป ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น พวกเธอสองคนรู้ดีอยู่แก่ใจว่ายังไงมันก็ต้องมีวันนี้ ท่านพ่อของเธอเป็นคนหัวแข็งและไม่ต้องการให้ลูกสาวเพียงคนเดียวของตัวเองคบกับคนที่ไม่ได้มีฐานะสูงเทียบเท่าหรือมากกว่าตระกูลสุไก เธอเคยได้ยินเขาพูดกับท่านแม่ว่าตระกูลโมริยะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่ใช่ว่าเธอไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ของท่านพ่อ แต่การที่ท่านเอาความหวังดีของตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่สนใจความรู้สึกของลูกสาวเลยนั้นมันก็ค่อนข้างเป็นอะไรที่ยูกะไม่พอใจเหมือนกัน

          “ยินดีด้วยนะยูกะ” ความยินดีที่วาตานาเบะพยายามพูดออกมาอย่างยากเย็นดังไปกระทบโสตประสาทรับเสียงของคุณหนูสุไก ในที่สุดตอนนี้หล่อนก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาได้อีกครั้ง

          “ริสะ…”

          “ฉันเข้าใจ ไม่เอาสิ อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้น เรามาคุยเรื่องงานกันดีกว่า”

          “ค่ะ” ท่าทางของวาตานาเบะดูสงบนิ่งจนสุไกรู้สึกว่าเขาคงไม่อยากพูดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาอีกแล้ว ทั้งสองจึงเริ่มคุยงานกัน จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง สุไกก็ฉุดคิดขึ้นมาได้ว่าเธอมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้พูดกับคนรักเก่าของเธอนั่นเอง

          “เอ่อ…ริสะคะ ฉันขออะไรที่มันงี่เง่าสักอย่างได้มั้ย” สุไกเอ่ยเรียกอีกฝ่ายที่ตอนนี้สายตาของเขากำลังจดจ้องอยู่กับสมุดบันทึกเล่มเล็ก และกำลังเขียนรายละเอียดของงานอย่างขะมักเขม้น

          “อะไรเหรอ?” วาตานาเบะหยุดเขียน ละสายตาจากสมุดเล่มน้อยในมือ เงยหน้าขึ้นสบตาอดีตคนรักของเธอ พลางเลิกคิ้วน้อยๆเป็นเชิงถาม

          “คุณจะว่าอะไรไหม เอ่อ..ถ้า เอ่อ…ช่วยมางานแต่งงานของฉันด้วยได้มั้ยคะ…”

          “อืม ได้สิ ฉันจะไป” เขายิ้มบางๆให้กับเธอ สุดท้ายก็หันกลับไปสนใจกับงานต่อ

          จริงสิ..ฉันลืมไปว่าริสะคงจะมีแฟนใหม่ไปแล้ว เค้าคงไม่คิดอะไรมากกับการแต่งงานของฉันหรอก

          .

          .

          .

          “….”

          “เฮ้อ”

          “….”

          “นี่เธอจะไม่พูดอะไรหน่อยหรออากาเนะ” มานากะชักหัวเสีย เป็นฝ่ายโดนพาออกมาแต่คนที่เรียกดันเงียบเป็นเป่าสาก ไม่พูดอะไรเลยซักนิด คิ้วของหล่อนขมวดเข้าหากัน กอดอกมองหญิงสาวผมสีอ่อนตรงหน้าที่หลบตาไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาคุยกันดีๆ

          “ฉันขอโทษนะมานากะ” อากาเนะเอ่ยเสียงอ่อยๆอย่างรู้สึกผิด ถ้าเลือกได้ตัวเองก็ไม่อยากแบบนี้หรอก..

          “แค่นี้น่ะเหรอ” คนผมสั้นชักสีหน้าด้วยความผิดหวัง เธอต้องการให้อากาเน็นอธิบายไม่ใช่มาขอโทษ แค่อยากรู้เรื่องทั้งหมดจากปากของหล่อนเอง ไม่ได้อยากรู้จากวาตานาเบะด้วย มันค่อนข้างแสดงถึงความไม่จริงใจถ้าให้คนอื่นมาบอก โมริยะสบตาที่หรี่ลงของหญิงสาวอีกคนด้วยจิตใจห่อเหี่ยว ไม่อยากบอกเขาเลยว่าที่ผ่านมาเธอไม่ได้รักเขาเท่าที่เขารักเธอขนาดนั้น

          เธอก็แค่หลอกใช้เขา

          หลอกใช้ให้ตัวเองลืมเรื่องของยูกะไป ลืมความรักครั้งเก่าที่ไม่สมหวังของตัวเองที่แม้ตอนนี้โชคชะตาจะเล่นตลกด้วยการทำให้พวกเธอสองคนกลับมาเจอกันอีกครั้งในฐานะ‘คู่หมั้น’ก็เถอะ คนเคยรักยังไงมันก็ตัดไม่ขาด แน่นอนว่าอากาเนะรู้ว่าริสะรู้สึกยังไงกับอดีตคนรักของเธอ ผีมักจะเห็นผีด้วยกันเอง เธอเดาว่าวาตานาเบะน่าจะชอบชิดะมาตั้งนานแล้ว ก่อนที่เธอจะคบกับเขาเสียอีก

          “ฉันรู้ ฉันผิด เธอคงเกลียดฉันแล้วใช่มั้ย”

          “ไม่ได้เกลียดหรอก แต่ฉันโกรธ มันไม่มีเหตุผลเลย อยู่ๆเธอก็มาบอกเลิกกัน แล้วก็หายไป หายไปจากชีวิตฉัน เธอคิดว่าฉันจะเสียใจไหมล่ะ” ยิ่งพูดยิ่งใส่อารมณ์เข้าไปอีก สิ่งที่อัดอั้นมาตลอดตั้งแต่วันที่อากาเนะโทรมาบอกเลิกถูกเปิดเผยออกมาทีละนิดๆ แววตาที่ไม่ได้อ่อนลงของมานากะยิ่งตอกย้ำอีกฝ่ายเข้าไปอีกว่าเธอเคยทำอะไรไว้กับเขา

          “มานากะฉันขอโทษ แต่คุณพ่อห้ามไม่ให้ฉันติดต่อ…เธอ”

          “แต่เธอก็เต็มใจที่จะแต่งงานใช่ไหม.. เหอะ”

          “มานากะ คือมัน ฉัน…” คำพูดมันติดอยู่ที่ปาก เธอไม่สามารถพูดมันออกไปได้ในทันที โมริยะเม้มปากหลบสายตาด้วยความรู้สึกผิด นั่นทำให้ชิกะลอบถอนหายใจ เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ เพราะคนอย่างอากาเนะน่ะหรอจะยอมแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักโดยไม่ค้านอะไรเลย คิดว่าเขาอยู่กับเธอมานานเท่าไหร่ จะไม่รู้ความจริงข้อนี้เลยรึไง?

          “เอาเถอะ ยังไงเราก็เลิกกันแล้ว ขอให้เธอโชคดีนะ ยินดีด้วย” กลั้นใจเอ่ยคำอวยพร รอยยิ้มฝืนๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหล่อน ตาที่หยีลงเวลายิ้มของมานากะทำให้อากาเนะยิ่งรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่

          “มานากะ…”

          “เฮ้อ เลิกทำหน้าตาแบบนั้นเถอะ ฉันจะตัดใจ ฉันไม่เป็นไร” ถึงแม้ว่ามันจะยากพอๆกับเข็นครกขึ้นภูเขาก็เถอะ.. ชิดะต่อประโยคนั้นในใจ พยายามแสดงออกว่าเธอไม่เป็นอะไรจริงๆ

          “ขอโทษ แล้วก็ขอบคุณนะ”

          “อืม…”

          “มานากะ” อยู่ๆโมริยะก็พูดขึ้นหลังจากพวกหล่อนเงียบไป ทว่าดูเหมือนหล่อนจะยังคงมีความลังเลอยู่บ้างว่าจะพูดมันออกไปดีมั้ย มันจะยิ่งเป็นการสร้างแผลให้อีกฝ่ายหรือเปล่า? เธอค่อนข้างกังวลที่เดียวสำหรับประโยคที่ตัวเองกำลังจะพูดออกไป

          “หืม?”

          “เธอ เอ่อ…จะมางานแต่งานของฉันมั้ย” แต่สุดท้ายก็พูดมันออกมาจนได้

          “เห”

          “เอ่อ…”

          “นึกว่าจะไม่ชวนซะแล้ว” ถึงไม่ชวนยังไงหล่อนก็คงหาทางไปงานอยู่ดี อาจจะให้ริสะพาไป ฝั่งนั้นแฟนเก่าเขาก็เป็นคู่หมั้นของอากาเนะ ยังไงก็พาเข้างานได้อยู่แล้วนั่นแหละ ถึงแม้มันจะเจ็บอยู่บ้าง แต่ไปร่วมเป็นสักขีพยานในวันมงคลของคนที่รักยังไงก็ถือเป็นเรื่องที่ดี จริงมั้ย?

          “เอ๋”

          “ไปสิ ไปก็ได้ อย่าหวานแหววมากนักล่ะ ฉันอิจฉาน่ะ”

          “มานากะนี่น่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะ ขอโทษนะ แต่เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่มั้ย?”

          “ได้สิ” พอเห็นอากาเนะยิ้มออกมันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย สีหน้าเศร้าๆมันไม่เหมาะกับเธอหรอกนะอากาเนะ รอยยิ้มน่ะ เหมาะกับเธอที่สุดแล้ว และมานากะไม่อยากให้อากาเนะเสียมันไปอีกเพราะครั้งหนึ่งหล่อนเกือบจะเสียมันไปเพราะความเอาแต่ใจของบิดาตนเอง ชิดะนึกไปถึงตอนที่อากาเนะลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่บ้านของเขา ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงทำให้ไปเจอในสิ่งที่ไม่ควรจะรู้เข้า

          ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ คนที่เธอแอบเก็บรูปของเขาไว้ในกระเป๋าสตางค์ตลอดมาน่ะ…

          .

          .

          .

          .

          “มานากะ…พอได้แล้วมั้ง” เสียงเอือมๆจากวาตานาเบะพูดขึ้นพลางมองไปยังหญิงสาวผมสั้นที่กำลังซึมๆเศร้าๆจากการที่วันนี้ดันไปเจอเข้ากับแฟนเก่าของตัวเอง แถมเขายังโดนเชิญให้ไปงานแต่งงานแฟนเก่าด้วย เรียกได้ว่าช้ำโคตรๆ

          “ฮืออออออออออออออออออออออออออออออออออ”  แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ทำให้เสียงกรีดร้องของมานากะเบาลงเลยซักนิด

          “…..” มานากะ ฉันอายเป็นนะ.. คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป มือลูบหลังปลอบเขาเบาๆ โถ่..

          “เธอจะไปเข้าใจอะไรล่ะ อากาเนะจะแต่ง จะ…ฮึก…แต่งงาน…” ริสะยิ่งปลอบ มานากะก็ยิ่งโวยวายเสียงดัง น้ำตานี่ไหลจนจะเป็นน้ำตกไนแองเกร่าได้แล้ว วาตานาเบะกลอกตาไปมา น่าจัดยาสลบซักดอกแล้วอุ้มกลับคอนโดจริงๆ..

          “ใช่ แต่งกับแฟนเก่าของฉัน…”

          “ฮือออออออออออออออออออออออออออ พูดทำไม ไม่!!! ไม่จริง ฮือออออออออ” ชิดะหันมาแยกเขี้ยวใส่คนที่อุตส่าห์มานั่งปลอบตัวเอง ถ้าหล่อนเป็นแมวคงขู่ฟ่อแฟ่เสียงดังไปทั่วร้านแล้วแน่ๆ ตอนนี้คนรอบข้างก็เริ่มหันมามองกันแล้ว วาตานาเบะอยากนั่งทำตัวลีบๆเหมือนไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่ทำยังไงได้ในเมื่อชิดะไม่ยอมเลิกงอแง คงต้องนั่งปลอบกันต่อไป

          “…..”

          “ขอเหล้าอีกค่ะ อาวอีกกกกก” ไม่วายหันไปสั่งเหล้ากับบาร์เทนเดอร์อย่างไม่รู้จักเข็ดหลาบ รอบที่แล้วก็แบบนี้ แล้วก็จบลงที่เตียงกับเพื่อนสนิทตัวเอง..

          “พอเถอะมานากะ กินไปมันก็ไม่ช่วยอะไรหรอก” นี่พูดประโยคนี้อีกซักสองสามรอบก็น่าจะครบร้อยพอดี มานากะยังคงฝืนตัวเองไม่ฟังคำเตือนของริสะ หล่อนหันมาตะคอกขู่อีกครั้ง

          “แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ฉันลืมเค้าไงล่ะ หุบปากเถอะน่า! ฉันจะกินอะไรมันก็เรื่องของฉัน!!!”

          ตบกลางร้านได้คงตบกันไปแล้ว

          “พอเธอสร่างเมาเธอก็จำได้อยู่ดี แล้วคุณโมริยะก็ต้องแต่งงานกับยูกะอยู่ดี”

          “ฮึก…ฮืออออ พอ พอแล้ว ไม่อยากฟัง หุบปากนะ! ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องพวกนี้” คนผมสั้นฟุบลงไปกับพื้นเคาท์เตอร์ หมดอาลัยตายอยาก เธอยังคงสะอึกสะอื้นพูดกับตัวเองเหมือนคนบ้าอยู่แบบนั้น ริสะเข้าใจว่าคนอกหักมันต้องมีเวลาให้ทำใจกันบ้าง ตั้งแต่ที่โดนบอกเลิกก็เหมือนมานากะจะทำใจได้แล้ว แต่เปล่า ดันมาตกม้าตายตอนเจอหน้าอากาเนะเสียได้

          “…..”

          ที่จริงฉันก็รู้สึกเศร้านะ แต่พอเห็นสภาพมานากะตอนนี้.. ฉันกลับรู้สึกเศร้าไม่ออกซะงั้น เฮ้อ…

          “เอ่อ…มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ” หญิงสาวรูปร่างสูงหลังเคาท์เตอร์พูดขึ้น หล่อนคงเป็นบาร์เทนเดอร์ประจำวันนี้ วาตานาเบะหันไปมองด้วยสายตาเอือมระอามานากะเต็มที่ พูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

          “มีอะไรที่ดื่มแล้วหลับไปเลยบ้างมั้ยคะ”

          “เอ๋” หล่อนเลิกคิ้วอย่างไม่ค่อยแน่ใจ เพราะตัวที่ดื่มแล้วหลับไปเลยในบาร์นี้ค่อนข้างที่จะแรงอยู่พอสมควร

          “ขอแบบช็อตเดียวแล้วฟุบเลยนะคะ รบกวนด้วยค่ะ”

          “จะให้คุณคนนั้นดื่มน่ะเหรอคะ?”

          “ใช่ค่ะ”

          “อืม…สักครู่นะคะ”

          .

          .

          .

          “หลับปุ๋ยเลยล่ะค่ะ” ซาซากิหันมาบอกกับวาตานาเบะหลังชิดะหลับไปได้ซักพัก ริสะอยากจะไหว้ขอบคุณซักสามตลบที่ทำให้มานากะหลับไปได้โดยไม่มีเสียงโวยวายตบท้าย เพราะแค่นี้เธอก็เหนื่อยจะตายแล้วที่ต้องมารับมือกับยัยเหมียวขี้นอยด์

          “ขอบคุณนะคะ” เขาก้มหัวลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณอีกฝ่ายที่เป็นธุระให้ ถ้าไม่ได้มานั่งหน้าเคาท์เตอร์แบบนี้ก็ไม่รู้จะจัดการมานากะยังไงแล้ว

          “ด้วยความยินดีค่ะ”

          “งั้นฉันขอตัวก่อนนะ”

          “ค่ะ ให้ทางร้านเรียกแท็กซี่ให้มั้ยคะ” บาร์เทนดี้ถามด้วยความเป็นห่วงและตามหน้าที่ กลัวว่าลูกค้าสองคนนี้จะกลับไม่ถึงบ้าน

          “ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราขับรถมา”

          “มานากะ กลับกันเถอะ เอ้า! ฮึบ!” พูดจบก็กึ่งลากกึ่งแบกมานากะไปที่รถซึ่งจอดเอาไว้ข้างๆร้านนี่เอง ริสะเบ้ปาก เห็นตัวบางๆแบบนี้ที่จริงโคตรหนักเลยนี่หว่า..

          “หือ…”

          .

          .

          .

          “งือ ที่หนายอ่ะ” ชิดะงัวเงียบตื่นขึ้นมาในที่ไม่คุ้นตา ความจริงแล้วที่หล่อนไม่คุ้นกับที่นี่ก็เพราะยังไม่ค่อยสร่างเมานั่นเอง ตาสีอ่อนกวาดมองไปทั่วห้อง ภาพมันมัวๆ ไม่ค่อยชัดอย่างที่ควรจะเป็น แต่ข้อสงสัยของเธอก็ได้รับคำตอบในเวลาไม่นานจากเจ้าของห้อง

          “ห้องฉันเอง”

          “ฉานจากาบบ้าน”

          “นอนที่นี่แหละ เธอเมามากแล้วนะ” วาตานาเบะรีบกดตัวชิดะให้ลงไปนอนกับเตียงเหมือนเดิมทันทีที่หญิงสาวทำท่าจะลุก ขืนปล่อยให้กลับบ้านมีหวังได้ล้มกลางทางแน่ๆ แบบนี้ใครจะปล่อยให้ไปกันล่ะ.. อีกอย่างถ้าเกิดมานากะคิดสั้นขึ้นมาแบบนี้ก็ตายโหงเลยนะ

          “ม่ายอาววววว”

          “…..”

          “นะ กลับบ้าน” เสียงของหล่อนเริ่มอ่อนลง แต่ทว่าแทนมาด้วยเสียงสะอื้นเบาๆแทน น้ำตาที่คิดว่าหยุดไหลไปแล้วก็กลับมาไหลอีกครั้ง

          “โอ๋ ไม่เอาไม่ร้องนะ ไม่ร้องนะคนดี” พอเห็นมานากะร้องไห้ออกมาอีกรอบริสะก็เริ่มลน ดึงรั้งตัวอีกคนเขามากอดปลอบด้วยไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี มือลูบหลังของหล่อนเบาๆ ไล้ริมฝีปากจูบซับน้ำตาให้ จบลงที่ริมฝีปากของมานากะ ปิดกันเสียงสะอื้นของหล่อนไม่ให้เล็ดลอดออกมา

          “อื้อ…ริสะ..”

          “แฮ่ก..มานากะ”

          “อื้อ เธอ…จูบฉันทำไม!?” พอเริ่มตั้งสติได้ก็กลับมาโวยวาย หล่อนขึ้นเสียงใส่วาตานาเบะ อาจเพราะมานากะยังอยู่ในช่วงอารมณ์ที่ยังไม่คงที่ทำให้ริสะปรับตัวไม่ค่อยจะทันเท่าไหร่

          “มานากะจะได้เลิกร้องไห้ไง” เขายักคิ้วใส่ ทำท่าทางไม่ยี่หระกับอาการขู่ฟ่อแฟ่ของมานากะที่กลับมาอีกครั้ง หล่อนคงจะเริ่มสร่างเมาแล้ว

          “คิดว่าจูบแล้วมันจะช่วยให้ฉันหยุดร้องงั้นเหรอ บ้ารึเปล่า!”

          “ก็นี่ไง เธอหยุดร้องแล้ว แล้วเธอก็จะสนใจแต่ฉัน” มือของวาตานาเบะแตะที่แก้มอีกฝ่าย ประคองเข้ามาใกล้ ต้องการที่จะปิดปากของคนที่กำลังโวยวายอย่างออกอาการรำคาญอยู่เล็กน้อย ชิดะเวลาเมาหรือกรึ่มๆมักจะโวยวายออกมาโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ริสะเพิ่งรู้เมื่อคืนสดๆร้อนๆเลย

          “หา! นี่ ธะ อื้อ..ดะ..อื้ม..เดี๋ยว..” เสียงโหวกเหวกของหญิงสาวผมสีอ่อนถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อริมฝีปากของอีกฝ่ายถูกทาบลงมาเป็นการบังคับปิดปากของหล่อนไม่ให้พูดอะไรอีก

          มันต้องได้ผลสิ เพราะเธอเองก็จูบตอบฉันอยู่นี่ไงล่ะ

          “ฮ่าส์..ริสะ” หลังถอนริมฝีปากออกแล้วเหมือนจะทำให้ชิดะสงบปากสงบคำลงไปบ้าง ช้อนตามองวาตานาเบะตาละห้อย ทำตัวหงิมๆต่างจากเมื่อกี้ลิบลับ ริสะก็ได้แต่มองอย่างหมั่นไส้ จริงๆน่าจะอยากให้จูบล่ะสิถึงได้งอแงแบบนั้น

          “มานากะไปนอนกันนะ ไม่ดื้อนะ จุ๊บ” หอมแก้มอีกครั้ง เผื่ออีกฝ่ายจะเลิกงอแง

          “แล้วเธอจะไหนไป” แต่ก็ไม่ค่อยจะได้ผลเพราะตอนนี้เธอกอดเอวของวาตานาเบะไว้แทน

          “เดี๋ยวฉันมา แป๊บเดียวนะ”

          “ไปไหน!?”

          “จะไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้เธอไง แป๊บเดียว รอตรงนี้แหละ อย่าดื้อ”

          “งือ” วาตานาเบะยีหัวของชิดะเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว เพราะเมาหรอกถึงทำอะไรแบบนี้ได้ หากเป็นเวลาปกติ เจ้าตัวคงไม่ชอบให้เธอมายีหัวอยู่แบบนี้ จูบเมื่อกี้ก็ด้วย มานากะไม่ชอบให้ทำอะไรโจ่งแจ้งชัดเจนถ้าหากไม่ได้เป็นอะไรกัน คิดถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ

          .

          .

          .

          “อ้าว มานากะหลับแล้วเหรอ เฮ้อ” รู้สึกตัวอีกทีก็กลับลงมานอนบนเตียงเหมือนเดิมซะแล้ว โดยมีเจ้าเหมียวกอดเอวไว้ไม่ยอมปล่อย หน้าซุกอยู่กับตัวเขาไม่ห่าง  

          “งือ ยาง”

          “อ้าว นอนก็ได้นะ เดี๋ยวฉันเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เอง” วาตานาเบะค่อยๆแกะแขนของชิดะออกแล้วปลีกตัวไปเอาน้ำอุ่นกับผ้าผืนเล็กๆมาเพื่อเช็ดตัวให้หญิงสาวที่นอนขดอยู่บนเตียง หล่อนดูอ้อนมากกว่าปกติ อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ยังค้างอยู่

          “งือ เย็นอ่ะ” พูดพลางยกแขนขึ้นกอดตัวเอง น้ำเสียงฟังดูงัวเงียสุดๆ

          “หา แต่นี่น้ำอุ่นนะ?”

          “ริสะถอดทำไม” คนเมาโวยวายอย่างเดียวไม่พอ ตอนนี้ยังขัดขวางการเช็ดตัวและเปลี่ยนชุดของวาตานาเบะอีกด้วย แทนที่มันจะเสร็จโดยเร็ว กลับยิ่งเสียเวลามากกว่าเดิมอีก

          “ก็จะเปลี่ยนชุดให้ไง” นี่มันก็ดึกมากแล้ว แต่ต้องมาปล้ำคนเมาแบบนี้นี่เมื่อไหร่จะได้นอน…

          เดี๋ยวก็ปล้ำจริงๆซะเลย ชิ! ทำไมตอนเมามานากะถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ เหนื่อยใจ…

          “ริสะคอแห้งอ่ะ” เช็ดตัวไปได้สักพักคนเมาก็เริ่มงอแงอีกรอบ

          “หา งั้นแป๊บนะ จะเสร็จแล้วนี่ไง” ติดกระดุมใกล้จะเสร็จอยู่แล้วเชียว แต่ชิดะก็ดิ้นหนีไปมาไม่ยอมให้แตะตัว ให้มันได้อย่างนี้สิ!!!

          “หิวน้ามมมมม” งอแงโวยวายหนัก ดิ้นไปมาจนวาตานาเบะถึงกับยกมือขึ้นปิดหน้า นี่เอือมกับที่โวยวายในบาร์ไม่พอยังต้องมาเอือมกับที่นางงอแงจะเอานู่นจะเอานี่อีกหรอ..

          “เสร็จแล้ว โอเค น้ำใช่มั้ย”

          “ริสะจะไปไหน”

          “ไปเอาน้ำให้ธอดื่มไง” เขาเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่าจะถามทำไมในเมื่อตัวหล่อนเองเป็นคนขอให้เขาไปเอาน้ำให้

          “ไม่อาววว อย่าปายยยย”

          “มานากะ…” โวะ นี่เมาจริงๆ หรือแค่อยากแกล้งฉันกันแน่นเนี่ย

          .

          .

          .

          “มานากะ อ่ะ! ดื่มซะ” วาตานาเบะกลับมาพร้อมขวดน้ำเปล่าธรรมดาๆไม่เย็นไม่ร้อน เพราะดูอาการแล้วเหมือนมานากะจะไม่สบาย ใช้น้ำอุ่นเช็ดตัวแล้วหนาวคงไม่ปกติเท่าไหร่ อย่างน้อยกันเอาไว้ดีกว่าให้อีกฝ่ายเป็นไข้หนักกว่าเก่า

          “หืม อึกๆ”

          “…..” ริสะหย่อนตัวลงนั่งตรงริมเตียง มองอีกฝ่ายดื่มน้ำเงียบๆ แต่เหมือนมานากะจะรีบดื่มไปหน่อยทำให้ไม่ได้ระวังน้ำหกเลอะเสื้อนอนที่ริสะเพิ่งเปลี่ยนให้เมื่อกี้

          “อ่าส์…สดชื่นนนน”

          “มะ มานากะ…”

          “ริสะฉันเปียก..” หัวคิ้วของมานากะกดลงเล็กน้อยพลางก้มลงมองเสื้อของตัวเอง มือปิดฝาขวดน้ำแล้วยื่นคืนให้เจ้าของ

          เปียกแบบนี้ก็นอนไม่ได้สิ..

          “…..”

          “ทำไมมันเปียกอ่ะ??”

          “มานากะ…” ก็หล่อนทำเปียกเองไม่ใช่เรอะ..

          วาตานาเบะกลอกตาไปมา ความเอือมไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ชิดะชอบทำตัวเป็นเด็กด้วยเวลาเมา..ข้อนี้เขาจะจำไว้ในส่วนลึกของสมอง จะไม่ลืมเด็ดขาดและจะไม่ให้หล่อนแตะพวกแอลกอฮอล์อีกแน่นอน ถ้าจะเมาแล้วเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างกับมีแอดมินหนึ่งแอดมินสองสลับกันเข้าร่างแบบนี้…

          “มานากะเดี๋ยว! เธอจะทำอะไรน่ะ!?” คนผมประบ่ารีบโวยวายขึ้นมาทันทีที่เห็นอีกฝ่ายทำท่าจะถอดเสื้อออก ปรี่เข้าไปห้ามแทบไม่ทัน

          “ก็ถอดออกไง มันเปียก!”

          “หา!? เดี๋ยว ฉะ ฉันไปเอาเสื้อให้นะ”

          “ริสะเช็ดให้ฉันสิ”

          “หา!?” ทำไมเธอชอบพูดอะไรที่มันทำให้ฉันคิดลึกแบบนี้นะ!

          สุดท้ายวาตานาเบะก็ตามใจคนเมาอย่างว่าง่าย เอาผ้าเช็ดตัวผืนเดิมเช็ดบริเวณที่เปียกให้อย่างเบามือ แอบลอบกลืนน้ำลายคนเดียว เช็ดไปก็หลับตาไป ฮือ ถ้าทนไม่ไหวฉันจะทำยังไง ฉันไม่อยากให้เธอเกลียดฉันนะมานากะ

          “ริสะ”

          “หืม”

          -จุ๊บ-

          “!!!!!”

          “ขอบคุณนะที่ดูแลฉัน”

          “อะ อืม ไม่เป็นไรหรอก ฉันเต็มใจ” ตาสีเข้มรีบหลุบลงหนีสายตาของหญิงสาวอีกคนทันทีที่หล่อนมองมา ทำไมต้องมองตาเยิ้มๆแบบนั้นด้วยนะ สงสัยคงเป็นเพราะเมาอีกนั่นแหละ

          “เสื้อล่ะ?”

          “อ๋อ..เอ่อ แป๊บนะ” ริสะรีบลุกขึ้นไปหาเสื้อตัวใหม่มาเปลี่ยนให้มานากะทันทีที่โดนท้วงถามหา เริ่มมีความหวั่นไหวในใจ ทั้งๆที่คิดว่าจะตัดใจจากมานากะแล้วแท้ๆ แต่พอโดนแบบนี้เข้าดันทำไม่ลง ตกม้าตายจนได้สิน่า

          “อ่ะ! ใส่ซะ เดี๋ยวเธอจะไม่สบายนะ” ในที่สุดก็ค้นเจอตัวที่ชิดะพอจะใส่ได้เจอ เดินกลับมายื่นให้อีกฝ่ายแต่กลับโดนมองด้วยแววตาหงอยๆ พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอย่างไม่น่าให้อภัย

          “งือ ริสะใส่ให้หน่อย น๊าาาา”

          “…..”

          อะไรจะอ่อยเบอร์นั้น..

          “มานากะ..รู้ตัวรึเปล่าว่าทำแบบนี้มันทำให้ฉัน…” วาตานาเบะลอบกลืนน้ำลายอีกครั้ง เริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเห็นชิดะเลิกคิ้วมองตัวเอง

          “อะไรอ่ะ”

          “คือฉัน ฉัน…” เขาอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะพูดออกไปตอนนี้ดีมั้ย ความลับที่มีเพียงตัวเขาเองที่รู้ ความลับที่ยังไงก็ต้องเปิดเผยขึ้นมาในซักวัน และมันอาจจะเป็นวันนี้ก็ได้

          “???”

          “ฉันชอบมานากะ”

          “เอ๋!?” ชิดะ มานากะตอนนี้แทบสร่างเมาทันที หล่อนอุทานขึ้นเสียงสูง ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่นัก คนอย่างริสะจะมาชอบเธอได้ยังไง? ตอนแรกก็นึกว่าขอคบเพราะอยากรับผิดชอบ แต่เหมือนตอนนี้จะไม่ใช่ซะแล้วสิ…

          “เธอ รู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมาน่ะ”

          “ฉันชอบมานากะนะ”

          “เธอดื่มด้วยเหรอริสะ?”

          “ฉันชอบมานากะ”

          “…..”

          “ฉันจริงจังนะ ฉันชอบเธอมานานแล้ว แต่เธอไม่เคยชอบฉัน..เลย..” ประโยคหลังริสะพูดเสียงแผ่ว หลบตาอีกเหมือนอย่างเคยพอมีอะไรที่ไม่กล้าพูดออกไป

          “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

          “เอ่อ..ก่อนที่เธอจะคบกับคุณโมริยะ”

          “แต่ว่าเธอก็คบกับคุณสุไกนี่ แล้วทำไม…” มานากะกลืนน้ำลายเหนียวๆของตัวเองลงคออย่างยากลำบาก หล่อนมองไปยังอีกฝ่ายไม่วางตา เรื่องนี้มันไม่ค่อยน่าเชื่อก็เพราะเธอมารู้ทีหลังว่าริสะคบกับคุณสุไกนั่นแหละ ถ้าชอบเธอแล้วจะคบกับคุณสุไกทำไมล่ะ จริงมั้ย?

          “ที่จริงฉันตัดใจจากมานากะไปแล้วล่ะ” ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งแผ่วลงไปเรื่อยๆ ตัดใจแล้วเลยไปคบกับยูกะ ซึ่งเขาก็พยายามดูแลหล่อนอย่างดี พูดง่ายๆคือเป็นตัวแทนของมานากะนั่นแหละ

          “อืม…”

          “แต่ว่าตอนนี้..คิดว่า…จะพยายามใหม่”

          “พยายาม?”

          “ฉันขอโอกาสได้มั้ย เอ่อ…มานากะ..” ในที่สุดวาตานาเบะก้กลั้นใจถามออกไปจนได้ เพราะแฟนของพวกเธอทั้งสองคนโดนจับคลุมถุงชนแต่งงานกันไปเรียบร้อยแล้ว มานากะก็อยู่ในช่วงนอยด์ๆหาที่พึ่งพิง ริสะเลยตัดสินใจใช้โอกาสนี้นี่แหละในการขออีกฝ่ายคบ

          “…..”

          “มันเร็วไปเหรอ ฉันรอได้นะ” ตอนนี้ถ้าริสะมีหูกับหางมันคงลู่ตกไปหมดแล้วแน่ๆ เขาส่งแววตาหงอยๆไปให้อีกฝ่าย ร้องหงิงในลำคอเบาๆ

          “คือฉัน…อึดอัด”

          “ขอโทษนะ ถ้ามันทำให้เธอลำบากใจ”

          “เปล่า คือ..ฉัน..จะ…”

          “มานากะเป็นอะ..ไร..”

          “มันอึดอัด…”

          “เอ่อ งั้นเราไม่พูดเรื่องนี้แล้วก็ได้ ฉันขอโทษ”

          “เปล่านะ มัน…”

          “ฉันขอโทษ”

          “อึ๊ก…”

          .

          อ้วก….

          .

          มานากะอ้วก…

          .

          หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน(?) วาตานาเบะ ริสะได้แต่นั่งหัวเราะคนเดียวเงียบๆ ให้มันได้แบบนี้สิ ที่เธอบอกว่าเธออึดอัดมันเพราะเธออยากอ้วกหรอกเหรอ แล้วเธอจะทำอะไรได้นอกจากทำความสะอาดผ้าห่มที่เลอะนั่น แล้วก็พามานากะไปอาบน้ำในห้องน้ำ

          ก็คิดว่าเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก็คงพอแล้วแท้ๆ สุดท้ายก็ต้องอาบน้ำสระผมแล้วก็เปลี่ยนชุดให้ใหม่อยู่ดี นี่มันงานหนักเลยนะ

          เฮ้อ อย่างกับเลี้ยงเด็กเลย…

          “มานากะนั่งดีๆสิ ฉันเช็ดผมให้ไม่ถนัดนะ” คนผมประบ่านิ่วหน้า กดไหล่อีกฝ่ายให้นั่งนิ่งๆอยู่บนเตียง เธอจะได้เช็ดผมได้ง่ายๆ ทำตัวยุกยิกแบบนี้จะเช็ดเสร็จตอนไหนล่ะเนี่ย ชักง่วงแล้วด้วย

          “งือ ง่วงอ่ะริสะ ง่วงล้าวอ่า” หญิงสาวผมสีอ่อนเริ่มงอแงอีกแล้ว หล่อนอยากนอน เพราะไม่สบายด้วยเลยทำให้ความอยากทิ้งตัวลงบนเตียงนั้นคูณสองเข้าไปอีก

          “อย่าพึ่งงอแงสิ เพราะใครล่ะที่ทำให้เสียเวลานอนแบบนี้…”

          “งือ ริสะ”

          “มานากะอย่าดื้อสิคะ”

          “ทำไม ริสะจะลงโทษฉันเหรอ” หล่อนหันหลังกลับมามองหน้าวาตานาเบะ เอื้อมมือไปโอบรอบคอเขาเอาไว้ กระพริบตาปริบๆอย่างรอคำตอบ

          “หืม?” ถึงจะเมาแต่มานากะก็จำได้ด้วยแฮะ

          ทว่าก่อนที่ริสะจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ก็โดนดึงรั้งลงมารับจูบจากมานากะเสียก่อน คนงอแงเมื่อครู่คิดว่าถ้าทำแบบนี้แล้วริสะอาจจะยอมให้นอนโดยไม่ต้องเช็ดผมก็ได้

          -จุ๊บ!- แล้วก็จูบอีก จูบย้ำๆ จูบซ้ำ ไม่สนใจคนไม่เมาที่นั่งตาโตให้จูบเลย

          แต่เหมือนมานากะจะลืมไปอย่างว่าริสะก็ไม่ได้เป็นคนดีขนาดที่จะไม่ตอบโต้อะไรกลับมาเลยหลังตั้งสติได้ จูบครั้งต่อมาจึงเป็นฝ่ายวาตานาเบะเสียเองที่กดริมฝีปากเน้นย้ำรอยจูบกับอีกฝ่าย กดท้ายทอยให้เข้ามาใกล้ จูบที่ถูกเพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆทำให้มานากะชิงถอนริมฝีปากออกเสียก่อน

          “มานากะง่วงแล้วใช่มั้ย”

          “อื้ม ง่วง” ชิดะพยักหน้าหงึกๆ ตอนนี้อยากล้มตัวลงนอนเต็มทีแล้ว ติดที่ผมซึ่งยังไม่แห้งเนี่ยแหละ ขนาดตัดผมสั้นแล้วยังต้องรอให้แห้งเลย น่าเบื่อจริงๆ

          “งั้นต้องทำตามที่ฉันสั่งก่อนถึงจะนอนได้นะ” ด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัว วาตานาเบะเลยบีบแก้มหล่อนไป แก้มย้วยๆ ตาที่หยีลงเพราะความงอแงอยากจะนอนเลยทำให้มันดูน่ารักมากกว่าปกติอยู่พอสมควร

          “ทำอารายอ่า งือ”

          “จูบฉันแล้วก็กัดฉันแรงๆ”

          “ไม่เอา ริสะจะเจ็บนะ” หืม…กลัวฉันเจ็บด้วยเหรอ

          “ถ้าไม่ทำก็ไม่ให้นอนนะ”

          “งือ ริสะอ่ะ!”

          “เร็วสิ ง่วงนอนไม่ใช่เหรอ”

          “ก็ได้” วาตานาเบะดึงตัวชิดะเข้ามาใกล้ เธอคว้าใบหน้าของชิดะเข้ามาจูบเบาๆ จากนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของชิดะสานต่อเอง ถ้าอยากจะนอนก็ทำตามที่เธอสั่งซะสิ

          ฝ่ายมานากะ ด้วยความที่ง่วงเกินกว่าจะต้านทานทำให้หล่อนโอนอ่อนไปตามคำสั่งของริสะอย่างง่ายดาย จูบเบาๆถูกทาบลงบนริมฝีปากของวาตานาเบะ มานากะค่อยๆเปลี่ยนมุมไปเรื่อยๆอย่างเชื่องช้าแต่มาพร้อมกับแรงกดที่เพิ่มขึ้นทีละนิดๆ มือเรียวของหล่อนเลื่อนไปด้านหลัง โอบรอบคอของอีกฝ่ายเผื่อว่าจะได้จูบถนัดขึ้นอีกซักหน่อย จูบแสนอ้อยอิ่งของมานากะถูกค้างเอาไว้ซักพักจนหล่อนพอใจกับผลงานของตัวเองถึงได้ผละออก

          “มานากะกัดด้วยสิ”

          -งั่ม-

          “เด็กดี กัดแรงๆสิ กัดให้เป็นรอย” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกเผยออกมาทว่าคนผมสีอ่อนคงไม่มีทางได้เห็นมัน หล่อนงุ่นง่านอยู่กับการหาทางฝากรอยฟันเอาไว้บนซอกคอของเขาจนกระทั่งตัดสินใจแนบเขี้ยวกัดลงไปอย่างเต็มแรงอีกครั้ง

          “เจ็บมั้ย” หลังมั่นใจแล้วว่าที่เธอกัดลงไปนั้นมีรอยฟันตามที่ริสะบอกก็ขยับออกมาถามเขาด้วยแววตาเป็นห่วง เธอไม่อยากให้เขาเจ็บนี่นา ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม

          “เจ็บ”

          “ขอโทษ…”

          “ขอโทษทำไม ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก กัดอีกสิ”

          “ม่ายอาว” มานากะเริ่มดื้ออีกแล้ว เธอซบหน้าลงที่ไหล่ของริสะ ทำเสียงพึมพำงุ้งงิ้งไม่ยอมสบสายตา เบียดร่างเข้ามาแนบชิดกับร่างของเขาโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจร้อนรดลงกระทบผิวหนังของวาตานาเบะ ชิดะแอบปรายตามองเล็กน้อยแต่กลับพบว่าเขาก็มองมาเหมือนกันทำให้เธอรีบหลบสายตาทันที แต่จากที่นั่งคร่อมตักของเขาอยู่ดีๆก็ถูกอุ้มลงไปนอนราบกับเตียงแทนเสียอย่างงั้น ใบหน้าของคนผมประบ่าเคลื่อนเข้ามาใกล้หล่อนอีกครั้ง ชิดะรับสัมผัสแล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ใจของหล่อนอยากให้เป็น

          .

          .

          .

          “หืม…โอ้ย ปวดหัวอีกแล้ว ให้ตายสิ!” เช้าวันรุ่งขึ้นมานากะตื่นขึ้นมาด้วยความหัวเสีย ทั่วร่างกายของหล่อนปวดไปหมด จะขยับทียังแทบร้อง แถมปวดหัวอีกต่างหาก ดีหน่อยที่วันนี้ไม่ต้องไปเข้างานที่ออฟฟิศ ไม่อย่างงั้นต้องไม่ดีแน่ๆ

          “อ่ะ…นี่! ดื่มนี่สิจะได้ดีขึ้น” เสียงคุ้นหูดังขึ้นมาใกล้ๆพร้อมกับมือที่ยื่นแก้วน้ำมาให้

          “ขอบคุณนะ”

          “….” แต่พอหันกลับไปมองต้นเสียงแล้วมานากะก็ชะงักไป ตาของหล่อนเบิกขึ้นเล็กน้อยบ่งบอกว่าแอบตกใจอยู่หน่อยๆ

          “อะไร? ดื่มสิ มองฉันแบบนั้นทำไม?”

          “ทำไม..เอ่อ..ฉันมาอยู่ห้องของเธอได้ล่ะ” ชิดะจำไม่เห็นได้เลยว่าตัวเองมาอยู่ที่ห้องของวาตานาเบะได้ยังไง ภาพสุดท้ายที่จำได้คือในบาร์.. หลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดไปหมด สงสัยคงเพราะเธอน็อคแหงๆ

          “ก็เมื่อคืนเธอเมามาก ฉันไม่อยากให้มานากะกลับบ้านคนเดียวนี่นา”

          “เหรอ ฉันจำอะไรไม่ค่อยได้เลย”

          “อ้าว งั้นมานากะก็ลืมสัญญาของเราแล้วเหรอ”

          “สัญญาอะไร” คนผมสีอ่อนรีบหันขวับจ้องริสะเขม็งอย่างไม่เข้าใจถึงสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา เธอไปสัญญาอะไรกับเขาตอนไหน เธอคงไม่ได้พลั้งปากสัญญาอะไรแปลกๆออกไปหรอกใช่มั้ย? มานากะชักรู้สึกเสียวสันหลังวูบ ลางสังหรณ์ของหล่อนบอกว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

          “เธอบอกจะคบกับฉันไง” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาๆ แต่กับมานากะแล้วตาแถบจะถลนออกมาอยู่รอมร่อ

          “หา?”

          “เธอเป็นของฉันแล้ว”

          “เดี๋ยว! ตอนไหน!? เมื่อไหร่!? ฉันเนี่ยนะ! สัญญาอะไรของหล่อนย่ะ!?”

          “ไม่รู้แหละ มานากะเป็นแฟนฉันแล้ว”

          “มั่วแล้ว ฉันยังไม่ได้ตกละ—”

          “ฉันมีหลักฐานนะ! กะแล้วเชียวว่ามานากะจะต้องไม่รักษาสัญญา แย่จัง ฉันเสียใจนะ” ตอนนี้วาตานาเบะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนที่ถือไพ่เหนือกว่า มานากะไม่มีทางดิ้นไปไหนหลุดแน่เพราะเขามีหลักฐานชิ้นใหญ่เอาไว้มัดตัวหล่อน

          “ธะ เธอโกหก ไหนล่ะหลักฐานน่ะ ไหน? ขี้โม้”

          “หึ แป๊บนะ จุ๊บ!” ไม่พูดเปล่า จุ๊บปากเขาไปด้วยหนึ่งที

          “…..”

          ไม่เคยเห็นริสะยิ้มร้ายๆแบบนั้นมาก่อนเลย นี่เมื่อคืนฉันทำอะไรบ้าๆลงไปอีกแล้วเหรอ!?

          “มานากะตั้งใจดูนี่นะ” ริสะเดินไปหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองจากโต๊ะทำงานที่มุมห้องนอน กดปลดล็อครหัสผ่าน พร้อมทั้งทำอะไรบางอย่างยุกยิกกับโทรศัพท์เครื่องนั้น ก่อนส่งโทรศัพท์มาให้เธอดู

          “อะ อะ อะไร” ดูเหมือนจะเป็นวีดีโออะไรสักอย่าง เธอเองก็ไม่แน่ใจ แต่ริสะคงไม่ได้แกล้งเอาคลิปผีมาแกล้งกันหรอกใช่มั้ย…

          “หลักฐานไง” รอยยิ้มบางๆถูกส่งมา นั่นทำให้มานากะแอบหมั่นไส้อีกฝ่ายเบาๆ

          ชิ! ดูก็ได้

          .

          .

          .

          “มานากะ” ริสะเอ่ยเรียกเจ้าของชื่อที่ตอนนี้เอาแต่คลอเคลียเธอไม่ห่าง ดูท่าทางมานากะคงจะเมาหนักจริงๆ เพราะถ้าเป็นเวลาปกติคงไปมานั่งซุกใกล้ชิดกับเธอแบบนี้หรอก

          “หือ อะไร” หล่อนพูดทั้งๆที่ยังไม่ออกห่างจากเขาเลย เหมือนเหมียวน้อยจริงๆ..

          “คบกับฉันนะ” ริสะจูบหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา มันคงเป็นโอกาสที่ดีที่จะสารภาพแล้วก็จัดการเรื่องที่มันค้างคาให้จบเสียที

          “ถ้าเราคบกันมันจะเป็นยังไงเหรอ”

          “ฉันก็จะทำเธอร้องไห้อีกเยอะๆเลยไงล่ะ” ริสะยิ้มน้อยๆ จงใจแกล้งมานากะ ซึ่งมันได้ผล เธอหน้ามุ่ยทันที่ที่ได้ฟังคำตอบ

          “งั้นไม่เอา!!!! ปล่อยนะ” จากที่นั่งในกอดอยู่ดีๆ ตอนนี้มานากะก็พยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของริสะแทน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกอีกฝ่ายกอดไว้แน่นกว่าเดิม หล่อนถึงได้แต่ขู่ฟ่อในอ้อมกอดของเขาแบบนั้น

          “ฉันล้อเล่น ฉันจะดูแลเธออย่างดีเลยนะ ฉันสัญญา”

          “จริงนะ”

          “อื้ม”

          “มานากะอย่าทิ้งฉันนะ”

          “อื้ม”

          “สรุปเธอเป็นแฟนของฉันแล้วนะ ตกลงใช่มั้ย”

          “ตกลง”

          “งั้นเราก็ทำอะไรแบบที่แฟนกันเค้าทำกันได้แล้วสิ ใช่มั้ย?”

          “ทะลึ่ง!”

          “แค่จูบเอง นี่เธอคิดอะไรเนี่ย”

          “งั้นก็ได้ จะยอมให้จูบแค่นิดหน่อยก็ได้” พอมานากะพูดอนุญาตแล้วริสะก็โน้มหน้าหล่อนเข้ามาจูบเบาๆ ไม่หวือหวาเหมือนเขาต้องการที่จะยืนยันคำพูดของตัวเองเพียงเท่านั้น แต่กลับกันดันเป็นหญิงสาวอีกคนเสียเองที่เป็นคนเพิ่มแรงจูบ หล่อนค่อยๆกดร่างของวาตานาเบะลงนอนกับเตียง และตอนนั้นเองที่วิดีโอถูกตัดไป มีแค่เสียงแว่วผ่านเข้ามาเท่านั้น

          .

          .

          .

          “…..” หลังวาตานาเบะกดปิดวิดีโอไปแล้วชิดะก็ยิ่งนั่งนิ่งเงียบกว่าเดิม รู้สึกพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่อยากจะเชื่อว่านั่นคือเธอจริงๆ มิน่าถึงรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ ในคลิปมันออกจะ..สวาทอยู่หน่อย

          “เห็นมั้ย มานากะเป็นแฟนของฉันแล้ว” เขายักไหล่ เก็บมือถือเข้ากระเป๋า คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าชิดะต้องไม่โอเคแน่ๆกับคลิปนี้ แต่ทำยังไงได้ในเมื่อคนที่รุกเขาคือมานากะเองนี่นา

          “ไม่! นี่เธอจงใจชัดๆ มันจะเป็นไปได้ไง เมื่อคืนฉันเมานะ!!!”

          “แต่เธอก็ ‘ทำ’ กับฉันไปแล้วนี่” พอเน้นคำว่า ‘ทำ’ ชิดะก็หน้าแดงขึ้นมาทันที รีบสวนกลับไปทันควันด้วยเสียงสูๆว่า

          “ไม่ได้ ‘ทำ’ นะ!!! เธอตัดต่อวีดีโอมาแน่ๆ” ประโยคหลังบุ่นอุบอิบ ตาแข็งกร้าวขึ้นมาเล็กน้อย ปกติริสะไม่ใช่คนแบบนี้ซักหน่อย ออกจะใจดีแถมคอยช่วยงานเธอตลอดเลยด้วย แล้วทำไมถึง..

          “ใครจะไปตัดต่อ ในวีดีโอนั่นก็เสียงเธอชัดๆ”

          “เธอจจงใจใช่มั้ย ใครจะถ่ายวีดีโอตอนคนเค้า…”

          “เค้าอะไร คิก” เสียงหัวเราะหลุดออกมา แววตาขี้เล่นเหมือนลูกหมาตัวน้อยๆของริสะไม่ได้ทำให้มานากะใจเย็นลงเลยซักนิด ใบหน้ายิ่งเห่อร้อนขึ้นไปอีก หมดคำพูดจะเถียงเจ้าโกลเด้นตัวนี้แล้ว บทจะแสบก็แสบใช่เล่น ถูกต้อนจนมุมเลยหนีไม่ได้แล้วเนี่ย

          “ไม่รู้โว้ย ไม่ได้ทำย่ะ!”

          “แต่เธอทำฉันปวดเอวมากเลยนะมานากะ”

          “….” ส่ายหน้า

          “ไม่เชื่อเหรอ”

          “….” ส่ายหน้ายิ่งกว่าเดิม

          “งั้นดูนี่…” วาตานาเบะปลดกระดุมชุดนอนเม็ดบนสุดที่ติดอยู่อย่างเรียบร้อยออก เผยให้เห็นรอยกัดเป็นจ้ำๆตามลำคอ เรื่อยไปจนถึงไหล่ และกระทั่งมันหายเข้าไปในสาบเสื้อ

          “….” ชิดะไม่ได้ตอบอะไร เธอใช้มือแตะสัมผัสรอยนั้นเบาๆราวกับกลัวว่าถ้าแตะต้องมันแรงวาตานาเบะจะรู้สึกเจ็บ รอยกัดมันน่ากลัวอยู่พอสมควร เพราะดูท่าทางเป็นการจงใจกัดแบบฝังคมเขี้ยวลงไปแบบแรงๆ นี่เธอเลือดออกรึเปล่านะ เจ็บมากมั้ยริสะ…

          “เจ็บมากมั้ย” เธอถามเสียงเบา ไล้มือไปตามรอยแดงบนร่างกายของเขาอย่างเลื่อนลอย

          “เจ็บ”

          “ขอโทษนะ”

          “เจ็บอ่ะมานากะ”

          “ขอโทษ ฉันทายาให้นะ” เห็นเขาพูดแบบนี้เลยรู้สึกผิดไม่เบา คราวที่แล้วริสะก็เป็นคนทายาให้ แถมดูแลมาก โทรไปลาที่ออฟฟิศให้ด้วย

          “หอมแก้มก่อน”

          “หา!?”

          “เนี่ยเจ็บจังเลยมานากะ ตรงก็เจ็บ ตรงนี้ด้วย ตรงนี้อีก”

          “….” ที่จริงหล่อนไม่ได้เจ็บอะไรหรอกใช่มั้ย แค่อยากจะอ้อนรึเปล่า หนอย…

          ที่จริงริสะไม่ได้หวังว่ามานากะจะหอมแก้มเธอจริงๆหรอก แค่อีกฝ่ายใจดีด้วย ถามอย่างห่วงใยว่าจะทายาให้หูกับหางของเธอก็กระดิกแล้ว พูดไปแบบนั้นหวังจะแกล้งมานากะเท่านั้น ริสะชอบเวลาเจ้าตัวทำหน้ามุ่ยแล้วโวยวาย อย่างตอนนี้เนี่ยมันน่ารักมากๆเลยนะ

ทางด้านมานากะกลับคิดว่าริสะจริงจัง นี่เพราะเธอรู้สึกผิดที่ทำอีกฝ่ายมีรอยแผลขบกัดเต็มตัวหรอกนะ จะยอมทำตามที่ขอก็ได้ ใครจะไปคิดว่าตอนที่ตัวเธอเองเมาจะสามารถทำอะไรแบบนี้กับริสะได้ แล้วทำไมริสะไม่ขัดขืนเล่า ตัวเองไม่ได้เมาแท้ๆ ถ้าขัดขืนก้น่าจะทำได้อยู่แล้ว ตัวก็พอๆกับเธอนี่นา หนอย!

          เธอวางแผนให้มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วใช่มั้ย! วาตานาเบะ ริสะ! อยากคบกับฉันมากใช่มั้ย! ได้! ต่อจากนี้เธอต้องทำตามคำสั่งของฉันทุกอย่างแล้วกัน หึ

          “เอายามาสิจะทาให้” หล่อนแบมือขอยาวจากวาตานาเบะ แต่เขากลับส่ายหน้าเบาๆทำให้คิ้วของมานากะเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ

          “รออาบน้ำก่อนสิแล้วค่อยทา หรือมานากะจะเช็ดตัวให้ฉันล่ะ”

          “เหอะ ไม่เอาหรอก เธอสิต้องทำให้ฉัน”

          “อ้าว…”

          “ก็เธอเป็นแฟนกับฉันแล้ว แถมสัญญาเองนี่ว่าจะดูแลฉันอย่างดี” นี่แหน่ะ ย้อนไปหนึ่งดอก ชิดะละมืออกมานั่งกอดอกมองวาตานาเบะด้วยสายตาที่กลับมาแข็งกร้าวอีกครั้ง บังคับเขาเป็นแฟนแล้วยังพูดแบบนี้อีก ฮึ

          “โอเค ได้สิ แต่หอมแก้มก่อน”

          “นี่!”

          “คิก เป็นแฟนกัน แค่นี้ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

          “…..”

          “นะ นะ” เขารวบตัวหล่อนไปกอดหลวมๆ ส่งเสียงงุ้งงิ้งออดอ้อนเป็นระยะๆ จุ๊บตรงนู้นจุ๊บตรงนี้อย่างซนๆ สมแล้วที่มีคนเคยบอกว่าริสะเหมือนหมาโกลเด้น.. ตอนนี้มานากะไม่แปลกใจเลยว่าทำไม

          “เออๆ ก็ได้” ทำเป็นร้ายกับเค้า สุดท้ายก็หอมแก้มเค้าอยู่ดี หล่อนช่างเป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ บีบเรียวบีบแก้มของวาตานาเบะอย่างหมั่นไส้ก่อนจัดหอมแก้มไปข้างละฟอดสองฟอด

          “แค่นี้พอใจรึยัง ไปเอาผ้าเช็ดตัวมาสิ ยาด้วย” เห็นว่าเธอทำตัวน่ารักหรอกนะ ฉันจะใจดีด้วยสักนิดหน่อยก็ได้

          “มานากะจะเช็ดตัวให้ฉันจริงๆเหรอ เอ๋” วาตานาเบะรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากที่อยู่ๆชิดะก็ใจดีกับเธอ นี่มันต้องมีอะไรผิดปกติแหงๆ ทำไมถึง

          “อืม” นี่ฉันไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย เธอตกลงจะเช็ดตัวให้กับฉัน

          “แต่ฉันไม่อยากเช็ดตัวแล้ว ฉันเหนียวตัว”

          “อะไรของเธอ จะเอายังไงกันแน่เนี่ย” เริ่มเกรี้ยวกราด อุตส่ายอมใจดีด้วยแล้วนะ แต่ดูเหมือนริสะจะเริ่มได้ใจเกินไปหน่อยแล้ว

          “เอ่อ…มานากะ อย่าพึ่งโกรธฉันนะ คือ…”

          “อะไร” น้ำเสียงท่าทางหงุดหงิด จะขออะไรก็รีบพูดมา เพราะตอนนี้คิ้วของมานากะขมวดเข้าหากันเป็นปมแล้ว ถ้าไม่รีบพูดริสะอาจจะถูกหยิกก็เป็นได้

          “คือ…”

          “อ้ำอึ้งอยู่นั้นแหละ พูดมาสักทีสิ!” เกรี้ยวกราดอีกครั้ง  มานากะจะไม่ทน

          “มานากะไปอาบน้ำกัน”

          “หา อาบน้ำ…” อะไรของเธอเนี่ย ทำไมถึงชวนกันแบบนี้ล่ะ!?

          “อื้ม” ริสะพยักหน้าหงึกหงัก ยิ้มบางๆให้มานากะของเธอ รอคอยคำตอบของอีกฝ่ายด้วยความหวัง

          “เธอก็ไปก่อนสิ”

          “ไม่ ฉันอยากอาบน้ำกับเธอ” นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ริสะงอแงกับมานากะ ปกติเธอไม่ค่อยแสดงอาการงอแง เอาแต่ใจแบบนี้กับใคร ยกเว้นยูกะ(แต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว) ล่าสุดคงเป็นมานากะที่จะได้เห็นมุมเอาแต่ใจ(เล็กน้อย)นี้ของริสะ ซึ่งเพื่อนๆหรือคนอื่นที่ไม่ได้สนิทกันไม่มีทางได้เห็น

          “บ้ารึเปล่า ใครจะไปอยากอาบน้ำกับเธอ ไม่เอ๊า!” มานากะยังคงเป็นมานากะ ถ้าจะยอมง่ายๆก็คงมีแต่เวลาที่หล่อนเมาเท่านั้นแหละ

          ก็ไม่เสมอไปหรอก อย่างเมื่อคืนเธอก็ดื้อพอสมควรนะ แต่ช่างมันเถอะ ดื้อหรือไม่ดื้อยังไงเธอก็น่ารักสำหรับริสะอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นริสะไม่ได้ใส่ใจมันหรอก

          เพราะถ้าดื้อก็แค่ลงโทษซะ ส่วนถ้าเป็นเด็กดีก็ให้รางวัล เงื่อนไขมันก็แค่นั้นแหละ หึ

          “ทำไมล่ะ มานากะรังเกียจฉันเหรอ” หูหางของเจ้าตูบกลับมาตกอีกครั้งแล้ว น้ำเสียงอ่อยๆบวกเข้ากับแววตาเศร้าๆที่รับกันดีอดที่จะทำให้มานากะใจอ่อนไม่ได้ หล่อนอยากอาแขนก่ายหน้าผากด้วยความหนักใจ ชีวิตนี้ทำไมเธอต้องเจอแต่คนเอาแต่ใจด้วยนะ? อากาเนะก็หนึ่ง ริสะเป็นสอง

          “เปล่าไม่ใช่แบบนี้ ฉัน…”

          อย่ามาทำหน้าตาน่าสงสารเหมือนลูกหมาถูกทิ้งแบบนั้นนะวาตานาเบะ ริสะ! มันไม่ได้ผลหรอกย่ะ!

          “นะ…”

          “เออๆ ก็ได้ แค่อาบน้ำเฉยๆนะ อาบ-น้ำ-อย่าง-เดียว-เข้า-ใจ๊!” มานากะตอบตกลงแบบส่งๆ และเน้นท้ายประโยคของเธอทีละคำ เพื่อย้ำกับว่าถ้าริสะทำอะไรเธอมากกว่าอาบน้ำล่ะก็ หล่อนโดนดีแน่

          “ป่ะ งั้นไปกันเถอะ”

          .

          .

          .

          “มานากะรู้สึกดีมั้ย ชอบมั้ย”

          “อืม แบบนั้นแหละ กำลังดี”

          “เอ๋ ชอบแบบนี้เหรอเนี่ย พึ่งรู้นะคะ”

          “ถ้าทำเองจะนวดแบบนี้ไม่ได้นี่นา” ตอนนี้ชิดะกำลังนอนสบายในอ่างอาบน้ำหรูๆของคอนโดริสะโดยมีเจ้าของห้องนั่นแหละเป็นคนนั่งสระผมให้อยู่นอกอ่าง ดูสบายสุดๆจากที่เมื่อกี้อิดออดไม่ยอมอาบ ไม่อยากอาบกับริสะ พอเจอเขาสระผมให้ทีก็ยอมนอนนิ่งๆเชียว เป็นภาพที่น่าหมั่นไส้มากๆ

          “งั้นต่อไปฉันจะทำให้เองนะ” เขาพูดพลางเปิดฝักบัวมาล้างแชมพูออกให้ กลิ่นหอมๆของมันอบอวลไปทั่วห้องน้ำเลย วาตานาเบะค่อยๆล้างระวังไม่ให้น้ำหรือแชมพูไหลไปโดนตาของมานากะ แต่เหมือนคำพูดของริสะจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัยยิ่งกว่าเดิมอีก

          “หยุดเลย! ฉันไม่ได้อยากจะอาบน้ำกับเธอบ่อยๆหรอกนะ”

          “ใจร้าย แค่นี้ก็ไม่ได้” วาตานาเบะมุ่ยหน้า ปิดฝักบัว เก็บมันเข้าที่แล้วตัดสินใจลงไปอยู่ในอ่างเดียวกันกับชิดะ อยู่ๆความคิดอยากจะแกล้งเจ้าเหมียวก็โผล่ขึ้นมาในหัว เขาโดนหล่อนเอาเปรียบมาพอแล้ว

          ตอนนี้เป็นเวลาแห่งการเอาคืน!

          “ก็มัน— นี่! เธอจะลงมาเบียดฉันทำไมเนี่ยริสะ!”

          “อ่างก็ออกจะกว้าง ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยังไงนี่มันก็อ่างของเธอ จะทำอะไรก็ได้ มานากะไม่มีสิทธิ์เถียงหรอก ฮึ ริสะยักคิ้วใส่อีกฝ่ายเพิ่มความกวนเข้าไปอีก ด้านมานากะที่เห็นแบบนั้นก็เริ่มฉุน

          “…..” ขมวดคิ้ว เกรี้ยวกราดอีกแล้ว

          “มานากะ สระผมให้หน่อย” ไม่ทันไรก็อ้อนอีกแล้ว เอวของคนที่อยู่ในอ่างก่อนหน้าถูกดึงรั้งเข้าไปชิด ผมเปียกลู่น้ำของชิดะทำให้หล่อนดูดีไปอีกแบบ เสียงพ่นลมหายใจดังขึ้นเบาๆ มานากะคิดว่าน่าจะตามใจริสะซักหน่อย อย่างน้อยเขาก็เคยช่วยดูแลเธอมาบ้าง แถมช่วยแบบไม่รังเกียจด้วย

          พอเห็นทีท่าแล้วอีกฝ่ายไม่ได้ปฏิเสธอะไรนั่นทำให้วาตานาเบะใจชื้นขึ้นมาก ตอนแรกนึกว่ามานากะจะปฏิเสธเสียอีก เห็นหล่อนบอกว่าไม่อยากอาบน้ำด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นน่าจะแกล้งง่ายอยู่ แต่พอตกลงดันทำให้ความรู้สึกอยากแกล้งของริสะหายไปหมดเลย

          นี่สินะอาการของคำว่าหลงรักหัวปักหัวปำ..

          “นี่ อย่าจ้องฉันแบบนั้นสิ มันทำให้ฉันเสียสมาธิ” มานากะชะงักมือที่กำลังขยี้ผมให้ริสะ เพราะโดนจ้องนิ่งๆแบบไม่มีที่ให้หนีเธอก็เลยเขินขึ้นมาเสียเฉยๆ อาจเพราะคนที่ชอบจ้องเธอเมื่อก่อนคงมีแค่อากาเนะคนเดียวเท่านั้นนั่นแหละ

          “ก็นานๆทีจะได้มองมานากะใกล้ๆแบบนี้นี่นา”

          “จะมองอะไรนักหนา หึ้ย” ว่าแล้วก็ขยี้แรงๆ ด้วยความหมั่นไส้ ที่จริงกลบความเขินของตัวเองด้วย

          “โอ้ย! มันเข้าตาแล้วมานากะ ฮือ”

          “โกหก ฉันยังไม่เห็นมีอะไรไหลลงมาโดนหน้าเธอเลย” คิ้วของชิดะเลิกขึ้นเล็กน้อย สงสัยว่าเดี๋ยวนี้ริสะเป็นคนขี้โกหกไปตั้งแต่เมื่อไหร่

          “จริงๆนะ แสบตา อูย…” วาตานาเบะเพิ่มความเนียนด้วยการหลับตาข้างหนึ่ง แสดงสีหน้าเจ็บปวดเรียกคะแนนความน่าสงสารเต็มที่ ลองดูซิ มุกนี้ชิดะจะตกหลุมพรางของเธอมั้ย

          เหมือนอะไรๆจะง่ายไปหมด มานากะล้างมือที่เปื้อนฟองแชมพูออกแล้วเคลื่อนตัวลงมานั่งให้อยู่ในระดับเดียวกันกับอีกฝ่าย ประคองหน้าของเขาแล้วค่อยๆเอานิ้วเช็ดตามขอบตาของริสะอย่างเบามือ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกหลังจากนั้น พอเห็นว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้วหล่อนเลยเบนความสนใจไปที่การล้างฟองแชมพูออกแทน ทางด้านริสะนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน

          “มานากะ…”

          “หืม? อะไรเหรอ— อื้ม” จูบถูกทาบทับลงมาไม่ให้ทันตั้งตัว มันบางเบาในคราแรกก่อนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มือของมานากะพยายามออกแรงดันเขาออกจนในที่สุดวาตานาเบะก็เป็นฝ่ายยอมถอยร่นออกมา

          “แฮ่ก…ริสะ…ไม่ได้นะ..อื้มมม” ยังห้ามไม่ทันจบคนผมประบ่าก็เปลี่ยนเป้าหมายจากริมฝีปากเป็นใบหูน่ารักของอีกฝ่ายแทน เลียและขบกัดมันอย่างหมั่นเขี้ยว

          “มานากะ รักนะ รัก” ถ้อยคำบอกรักที่ข้างหูทำให้มานากะเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วเหมือนกัน แม้ปากของหล่อนจะบอกให้หยุดก็ตามแต่ มือเอื้อมไปเกาะจิกเขาเอาไว้ กันไม่ให้ตัวเองไถลงไปนอนอยู่ก้นอ่าง

          “ริสะ ไหนบอกว่าแค่อาบน้ำไง… อื้อออ”  

          เสียงครวญครางของชิดะยังคงดังต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ หล่อนทรมาณ หากแต่ก็ได้วาตานาเบะเป็นคนช่วยปลดปล่อย รอยข่วนเป็นทางยาวเพิ่มจำนวนขึ้นมาจากของเมื่อคืนอีกเป็นเท่าตัว ภาพสุดท้ายที่มานากะเห็นก่อนที่ตัวเองจะหลับตาลงก็คือริสะที่เคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ มอบจูบที่หน้าผากของหล่อน

          แล้วภาพทั้งหมดก็มืดลง

Fiction

No Choice (M.A.R.Y.) : 06

– 06 : Can’t love you –

Manaka S. x Akane M. x Risa W. x Yuuka S.

ปกฟิค7


          “อากาเนะจังวันนี้เราจะเล่นอะไรกันดีคะ”

          “ซ่อนหา”

          “โห จะหาเจอเหรอคะ”

          “งั้นเค้าจะหายูกะเอง”

          “อืม..เอาแบบนั้นเหรอ”

          เด็กหญิงผู้มีอายุมากกว่าทำสีหน้ากลุ้มใจเล็กน้อย เพราะถ้าจะเล่นซ่อนหา ในสวนที่พวกเธออยู่ตอนนี้มีบริเวณกว้างเกินไป แถมเล่นกันแค่สองคนยิ่งทำให้คนซ่อนคนหาเจอกันยากขึ้นไปอีก มันคงกินเวลาไปเยอะทีเดียว ทว่าสุดท้ายแล้วคุณหนูสุไกก็ยอม

          “งั้นก็ซ่อนใกล้ๆแถวๆนี้แล้วกันเนอะ”

          “อื้ม..งั้นเค้าจะนับ 1 ถึง 10 นะ”

          “น้อยไปค่ะ 1 ถึง 100 สิ”

          “อ้าว งั้นก็ได้”

          “โอเค คิก”

          “งั้นเริ่มเลยนะ 1..2..3..”

          .

          .

          .

          .

          “98..99..100..”

          “จะหาแล้วนะ!” ในที่สุดคุณหนูโมริยะได้ฤกษ์หาคนเป็นพี่ที่ไปซ่อนซักที แต่ถึงหล่อนจะบอกว่าซ่อนอยู่แถวนี้ ทว่าโมริยะยังไม่เห็นวี่แววของสุไกเลย ‘จะซ่อนเก่งเกินไปแล้วนะยูกะ!’

          “เอ…อยู่ตรงไหนน๊า”

          “ตรงนี้ก็ไม่มี”

          “ทำไมยูกะซ่อนเก่งจัง” อากาเนะมุ่ยหน้า เริ่มหมดแรงใจจะหาแล้ว หล่อนนั่งลงบนม้านั่งหินอ่อนที่อยู่ใกล้ๆแถวนั้น เด็กน้อยถอนหายใจ บ่นเสียงงุ้งงิ้งๆอยู่คนเดียวพลางกวาดสายตามองไปทั่วเผื่อจะบังเอิญเจอยูกะ

          “อ่ะ!”

          “ยูกะ! จับได้แล้ว” และแล้วคุณหนูคนเล็กก็เจอคนที่หนีไปซ่อนซักที เธอรีบลุกออกจากม้านั่งตัวนั้นกระโจนไปยังพุ่มไม้ที่อีกฝ่ายซ่อนอยู่ทันที

          “เย้!”

          “อ่ะ! อากาเนะจัง!!!” คุณหนูสุไกสะดุ้ง โมริยะกระโจนทับเธอจนตอนนี้ทั้งสองคนนอนกองอยู่ที่พื้น ถ้าคุณเซบาสเตียนมาเห็นต้องไม่ปลื้มแน่ๆ แต่อากาเนะคงไม่สนกับคำดุสอนของคุณหัวหน้าพ่อบ้านซักเท่าไหร่

          “ยูกะแพ้แล้ว”

          “อา..งั้นต่อไปก็ตาฉันแล้ว”

          “งั้นเค้าจะไปซ่อนในบ้านนะ”

          “เอ๋! ทำไมล่ะ มันไม่กว้างไปเหรอคะ”

          “ก็ในสวนนี้มันน่าเบื่อแล้วนี่”ประโยคนี้ของคุณหนูคนเล็กทำให้สุไกเลิกคิ้ว ไปเล่นในบ้านมีหวังโดนคุณเซบาสเตียนดุอีกแน่ๆ หล่อนคิดหนัก แต่ด้วยความที่ไม่เคยขัดใจอากาเนะได้เลยทำให้ยูกะพูดอย่างอ่อนใจ

          “โอเค ก็ได้ อย่างอแงสิคะ ในบ้านก็ได้ แต่ให้แค่ชั้น 2 แค่นั้นนะ”

          “อื้ม แค่ชั้น 2 ก็ได้ คิก”

          ฉันชอบเวลายูกะตามหาฉัน

          เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกเป็นคนสำคัญของเธอ

          .

          .

          .

          “คุณหนูโมริยะครับ… เฮ้อ..” เสียงถอนหายใจดังมาจากคุณหัวหน้าพ่อบ้านประจำคฤหาสน์สุไก เขาทอดสายตามองไปยังเศษแจกันกระเบื้องที่หล่นกระจายอยู่ที่พื้นก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองยังคุณหนูตระกูลโมริยะและคุณหนูของเขา

          “หนูไม่ได้ตั้งใจนะคะคุณเซบาสเตียน” อากาเนะพูดเสียงแผ่วๆ หล่อนไม่ได้ตั้งใจทำให้มันแตกจริงๆนี่นา ตอนหลบยูกะที่กำลังหาเธออยู่มือมันดันไปโดนเอง

          “ผมทราบครับ แต่ว่าเล่นซ่อนหาคุณหนูก็ไม่จำเป็นต้องปีนโต๊ะเพื่อขึ้นไปหลบที่สูงเลยนี่ครับ”

          “ก็หนูคิดว่าถ้าอยู่ที่สูงๆ ยูกะจะจับไม่ได้น่ะค่ะ ขอโทษนะคะ”

          “แต่แจกันที่แตกนั่นมันของรักของหวงของคุณหญิงเลยนะครับ…ผมเกรงว่า…”

          “…..”

          “คุณเซบาสเตียนอย่าบอกท่านแม่เลยนะคะ ขอร้องล่ะค่ะ” เป็นยูกะนั่นเองที่พูดขึ้น หาทางปกป้องน้องสาวจากการโดนท่านแม่ของหล่อนดุ ถึงอากาเนะจะเป็นที่เอ็นดูของท่านแค่ไหน แต่ทำข้าวของเสียหายแบบนี้ต้องโดนทำโทษแน่ๆ

          “ยังไงคุณหญิงก็ต้องทราบอยู่ดีนะครับ ถ้าแจกันหายไปจากตำแหน่งเดิม…”

          “งั้นหนูจะรับผิดชอบเองค่ะ เพราะหนูเป็นคนอนุญาตให้น้องเข้ามาซ่อนในบ้านได้…”

          ยูกะ…

          “คุณหนู…”

          .

          .

          “ยูกะถูกตีมั้ยคะ ฮึก…”

          “ร้องไห้ทำไมอากาเนะจัง โอ๋ๆ ท่านแม่ไม่ได้ตีฉันหรอกนะคะ” เด็กสาวย่อตัวลงคุกเข่าเพื่อเช็ดน้ำตาให้อากาเนะ หล่อนมีท่าทีลนลานอยู่เล็กน้อยเพราะไม่ค่อยเห็นเด็กหญิงคนนี้ร้องไห้ซักเท่าไหร่ อาจจะแทบนับครั้งได้

          “จริงๆนะ ฮึก”

          “ไม่เอาไม่ร้องสิคะ” คุณหนูสุไกค่อยๆบรรจงปาดน้ำตาของน้องน้อยออก แขนเอื้อมไปดึงตัวเด็กหญิงเข้าสู่อ้อมกอดของตัวเอง ลูบหลังปลอบหวังให้คลายเศร้าลงบ้าง

          “ขอโทษนะยูกะ ต่อไปอากาเนะจะไม่ซนอีกแล้ว”

          “อื้ม หยุดร้องได้แล้วนะ จุ๊บ” คุณหนูสุไกลูบหัวปลอบใจ และแตะริมฝีปากลงบนแก้มของเด็กน้อยของเธออย่างแผ่วเบา

          “อื้ม” เด็กหญิงเช็ดน้ำตาก่อนจะยิ้มหวานอีกครั้ง

          .

          .

          .

          “ไม่อยากเล่นซ่อนหาแล้วเหรอ” ยูกะเลิกคิ้วเมื่อเด็กหญิงเข้ามาดึงชายเสื้อเธอเอาไว้ ที่ไม่อยากเล่นก็คงเพราะเรื่องเมื่อครู่ล่ะมั้ง..

          “งื้อ..ไม่” อากาเนะส่ายหน้าเป็นการย้ำคำตอบ

          “แล้วอากาเนะอยากเล่นอะไรดีล่ะคะ”

          “อากาเนะไม่อยากเล่นแล้ว”

          “อ้าว งั้นจะทำอะไรดีล่ะ?” ช่างเป็นเด็กที่เอาใจยากจริงๆ แถมยังเปลี่ยนอารมณ์ไวจนสุไกตามแทบไม่ทัน เธอก้มลงมองน้องสาวตัวน้อยที่ตอนนี้กำลังเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเธอเช่นดียวกัน

          “ยูกะเล่านิทานให้อากาเนะฟังได้มั้ยคะ”  

          “เอ๋ เล่านิทานเหรอ”

          “อื้ม”

          “ง่วงแล้วเหรอคะ” มือนุ่มของคุณหนูคนพี่ลูบหัวเด็กหญิงเบาๆ เลิกเล่นก็ดีเพราะเธอก็เหนื่อยกับการวิ่งไล่จับหรือหลบรอให้อากาเนะมาหาแล้ว เล่านิทานเป็นอีกทางเลือกที่ดีที่ทำให้น้องสาวตัวยุ่งทำตัวนิ่งๆแล้วตั้งใจฟังเธอ

          “อื้ม”

          “งั้นอาบน้ำก่อนนะ”

          “ม่ายยยย อาววววว” อากาเนะสั่นหัวดุ๊กดิ๊ก หน้าตาไม่ยอมไปอาบน้ำแน่ๆ

          “อากาเนะจังอย่าดื๊อสิคะ”

          “เค้าไม่ได้เปื้อนซะหน่อย ไม่ต้องอาบน้ำก็ได้” คุณพ่อบอกว่าถ้าใจเราสะอาด ไม่ต้องอาบน้ำก็ได้..

          “…..”

          “นะ นะ นะยูกะจ๋า”

          “ไม่ต้องมาอ้อนเลย มานี่เลย ฉันจะอาบน้ำให้เอง”

          “ม่ายยยยยยย” เสียงกรีดร้องโหยหวนของอากาเนะดังห่างไปเรื่อยจนกระทั่งเงียบไปที่สุดพอเสียงประตูห้องน้ำปิดดังขึ้น

          .

          .

          .

          “อากาเนะจังอย่างอนสิคะ”

          “ก็เค้าไม่อยากอาบน้ำนี่”

          “….”

          “งั้นยูกะต้องเล่านิทานให้เค้าฟังนะ”

          “อื้ม ได้สิคะ เรื่องอะไรดี” สุไกเอ่ยถามเด็กน้อยในอ้อมกอด เธอลูบผมที่อุตส่าตั้งใจหวีให้เด็กน้อยอย่างดิบดีแต่ตอนนี้มันกลับยุ่งเหยิงเพราะเจ้าตัวเล็กเอาแต่กลิ้งซนไปมาบนเตียง ไม่ยอมหยุดอยู่กับที่สักที นี่ถ้าเธอไม่ดึงมากอดไว้ก็จะไปมุดตรงมุมไหนของห้องอีกแล้วใช่มั้ย เฮ้อ…

          อย่างที่คุณเซบาสเตียนบอกเลย เลี้ยงเด็กนี่มันไม่ง่ายจริงๆค่ะ…

          .

          .

          .

          “….” ทำไมอากาเนะจังยังไม่หลับอีกล่ะเนี่ย ตาใสแจ๋วเลย

          “อ้าว หยุดทำไมคะ เล่าต่อสิยูกะ นะ นะ เอาอีก” จากที่ดิ้นๆอยู่ตอนแรกอากาเนะกลับนั่งฟังนิ่งๆ เด็กน้อยกระพริบตาปริบๆแล้วถามออกมาพอเห็นพี่สาวสุดที่รักหยุดเล่านิทานไป

          “อากาเนะจังยังไม่ง่วงอีกเหรอ”

          “งื้อ” เด็กหญิงส่ายหัวไปมาปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่าย

          “….”

          “ยูกะ” ท่าทางของเด็กน้อยเปลี่ยนไป ตอนนี้เธอขยับตัวมาซุกใกล้ๆสุไกแล้ว  แขนเล็กเอื้อมไปกอดคุณหนูสุไก ตั้งท่าจะงอแง

          “คะ”

          “อากาเนะหิวอ่าาาา”

          “เอ่อ..งั้นเดี๋ยวฉันมานะ รออยู่ตรงนี้ เป็นเด็กดีนะคะ”

          “อื้ม”

          “ห้ามซนนะ”

          “อื้ม” เธอรีบพยักหน้าแล้วนั่งให้เรียบร้อย ยูกะจะได้ไม่ดุถ้ากลับมาแล้วเห็นเธอเล่นซนในห้องนอนอีก

          “ฉันไปอุ่นนมให้นะ รอแป๊บนึงนะ”

          “ค่ะ”

          ยูกะใจดีที่สุดในโลกเลย~

          .

          .

          ไม่นานนักคุณหนูสุไกก็เดินกลับมาพร้อมแก้วนมอุ่นๆ ตอนแรกกะจะหาขนมมาให้อากาเนะกินรองท้องแต่คุณเซบาสเตียนดันมาเห็นเข้าพอดี เขาเลยอุ่นนมให้แทน เห็นบอกว่ากินขนมตอนดึกๆมันไม่ดีต่อร่างกายแถมทำให้น้ำหนักขึ้นด้วย

          “มาแล้ว รอนานมั้ยคะ”

          “ไม่นาน”

          “เอ..ไม่ได้ซนใช่มั้ย” พูดพลางส่งแก้วนมอุ่นๆให้เด็กน้อย คอยประคองแก้วเอาไว้กันอากาเนะทำหก เดี๋ยวเลอะห้องนอนขึ้นมาล่ะยุ่งเลย

          “ไม่ๆ” ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ นอกจากจิ้มคุณแมวของยูกะ… แต่มันก็แค่แมวนี่ พูดไม่ได้หรอก หึ…

          ม๊าววว

          เสียงดังมาจากตะกร้าที่มุมห้อง แมวน้อยหน้าตาบูดบึ้งกำลังจ้องเขม็งมาทางคนทั้งสอง ไม่วายย้ายตัวอันแสนอุ้ยอ้ายของมันมาทับที่ของโมริยะบนเตียงนอนด้วยสายตาอาฆาต ด้วยหูตกๆของมันนั้นไม่เข้ากับตาขวางๆเลยซักนิด อากาเนะเลยอดที่จะหมั่นไส้เจ้าแมวนี่ไม่ได้

          “ค่อยๆดื่มสิอากาเนะจัง เดี๋ยวก็สำลักหรอก”

          “อื้ม”

          “ทำไมกินเลอะเทอะแบบนี้ ไหนหันมานี่สิคะ ฉันจะเช็ดให้”

          “งื้อ” เจ้าตัวเล็กร้องเสียงอ่อยพอโดนดุ ยูกะหยิบทิชชู่ที่วางเอาไว้ตรงหัวเตียงมาเช็ดปากที่เลอะเปรอคราบนมของอากาเนะอย่างเบามือ ถึงเสียงจะดุแต่การกระทำสวนทางกันอย่างน่าประหลาดทีเดียว

          “ยูกะ”

          “หืม? ว่าไงคะ”

          “อากาเนะรักยูกะ” พูดพลางเอื้อมมือไปกอดพี่เขาหมับ สายตาอ้อนๆถูกส่งให้สุไกอีกรอบ

          “ฮะๆ ฉันก็รักอากาเนะจังนะ”

          “ทำไมต้องหัวเราะด้วย ยูกะไม่เชื่อหรอ บู่”

          “เปล่า ฉันแค่คิดว่ามันน่ารักดีเท่านั้นเอง”

          “ยูกะ” เด็กน้อยพูดชื่อคนอายุมากกว่าขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงดูจริงจังขึ้นมาเสียเฉยๆจนยูกะต้องเลิกคิ้วก้มลงมองเพื่อดูว่าอากาเนะเป็นอะไรถึงได้ทำเสียงเครียดแบบนั้น

          “หืม?”

          “ถ้าอากาเนะโตขึ้นยูกะแต่งงานกับอากาเนะนะ”

          “เอ๋” สุไกยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ๆก็โดนเด็กหญิงพูดเช่นนี้ใส่ อยากจะคิดว่าอากาเนะล้อเล่นแต่เสียงและแววตาดูจริงจังทำให้เธอพูดอะไรไม่ออกแม้อีกฝ่ายจะเด็กอยู่มากก็เถอะ

          “ไม่ได้เหรอ”

          “ก็ได้ แต่ถ้าโตขึ้นแล้วอากาเนะจังจะไม่เปลี่ยนใจเหรอคะ”

          “ม่ายยยยยย”

          “นี่รู้จักความรักแล้วเหรอ”

          “รู้จักสิ เค้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

          “….” อากาเนะจังเพิ่งจะ 7 ขวบเองนะคะ…

          “ยูกะไม่เชื่อเค้าอ่ะ งื้อออออ”

          “เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งงอแงสิคะ โถ่” ยูกะมองซ้ายมองขวาเลิกลั่ก อากาเนะงอแงอีกแล้ว คุณเซบาสเตียนก็ไม่อยู่ ไม่รู้จะปลอบเด็กเอาแต่ใจนี่อีกยังไงดี ตอนนี้ที่ทำได้มีแค่ห้ามไม่ให้เจ้าตัวเล็กเสียงดังจนไปรบกวนท่านพ่อท่านแม่ที่นอนอยู่ห้องข้างๆอย่างเดียว

          “อากาเนะ มานี่สิ”

          “หืม?”

          จุ๊บ

          ไม่ทันที่โมริยะจะตั้งตัวก็โดนสุไกขโมยจูบที่ริมฝีปากน้อยๆไปเสียแล้ว แม้กระทั่งคนเป็นพี่ถอนริมฝีปากออกไปอากาเนะก็ยังคงดูมึนคงกับเหตุการณ์เมื่อครู่

          นี่เธอเพิ่งเสียจูบแรกไปหรอ?

          เอ๊ะ?

          ขี้โกงนี่นา!!

          “ยูกะ”

          “!?”

          จุ๊บ!

          และโดยไม่ทันตั้งตัวอีกเช่นกัน คุณหนูสุไกโดนจู่โจมจากเด็กอายุเจ็ดขวบที่ตัวเองไม่คิดว่าจะเสี่ยท่าให้ คุณหนูโมริยะจัดการจูบที่ริมฝีปากของคนอายุมากกว่า ไม่มีท่าทีเขินอายอะไรทั้งสิ้น

          “!!!!”

          “คิก เย้! จุ๊บยูกะได้แล้ว” ว่าแล้วก็จุ๊บอีกดีกว่า คิก คิก

          ริมฝีปากของเด็กสาวถูกจุ๊บจนเริ่มเจ็บเพราะการกดย้ำๆอย่างไม่กะแรงของอากาเนะ หล่อนรวบตัวเด็กหญิงให้อยู่นิ่งๆ เลิกจุ๊บปากพร่ำเพรื่อแล้วมองด้วยสายตาดุๆให้เจ้าตัวเล็กหงอยไปเลย เธออาจจะแกล้งยูกะมาเกินไปจนโดนโกรธ เลยถามเสียงอ่อยๆออกไปว่า

          “ยูกะโกรธเค้าเหรอคะ”

          “เปล่าค่ะ”

          “อากาเนะจังขอโทษนะคะ” พูดจบก็ซุกๆมุดๆเข้าหายูกะ อ้อนให้ยกโทษให้ เสียงงุ้งงิ้งๆงอแงดังขึ้นมาเป็นระยะเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมพูดยกโทษให้ซักที

          “….” น่ารัก กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

          “หายโกรธเค้านะ”

          “อื้ม ไม่ได้โกรธอากาเนะจังหรอกค่ะ งั้นเรานอนกันเถอะ เนอะ?”

          “อื้ม อากาเนะก็ง่วงแล้ว”

          “ฝันดีนะอากาเนะจัง จุ๊บ” จูบฝันดีถูกประทับลงบนหน้าผากของโมริยะพร้อมๆกับไออุ่นของผ้าห่มที่คนอายุมากกว่าเป็นคนเลิกขึ้นมาห่มให้ ไม่นานนักอากาเนะก็จมลงสู่ห้วงนิทราไปพร้อมๆกับยูกะในที่สุด

          .

          .

          .

          หลังจากทั้งอากาเนะและยูกะก็แทบไม่อยู่ห่างจากกันเลย ตัวติดกันจนจะเป็นปาท่องโก๋อยู่แล้ว เวลานอนอากาเนะก็มักจะหนีไปนอนที่ห้องของยูกะอยู่บ่อยๆ แทบจะหลับตาเดินในห้องของสุไกได้อยู่แล้ว ฝ่ายคุณหนูสุไกก็ไม่แพ้กัน ติดอากาเนะยิ่งกว่าอะไรเสียอีก

          แต่แล้ววันหนึ่ง สิ่งที่ทั้งสองไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นนั้นก็เกิดขึ้นมาจนได้

          “หนูไม่อยากไปนี่คะคุณพ่อ”

          “แต่พ่อต้องย้ายที่ทำงานนี่ลูก”

          “แล้วหนูจะได้เจอยูกะอีกมั้ยคะ”

          “ได้เจอสิ”

          “จริงๆนะคะ”

          “จริงสิ”

          นั่นมันก็แค่คำพูดหลอกเด็ก เพราะหลังจากนั้นฉันก็ไม่เคยได้เจอเธออีกเลย…ยูกะ…


          เสียงเปาะแปะของหยาดน้ำที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าทำให้หญิงสาวผมสั้นที่กำลังจะเดินออกจากออฟฟิศซึ่งตัวเองใช้ฝึกงานต้องเงยหน้าขึ้นมอง มือยืนออกไปคล้ายกับว่าไม่แน่ใจ ทว่าก็ได้รับคำตอบเป็นหยดน้ำสองสามหยดบนอุ้งมือ

          “อ้าว! ฝนมาตกอะไรตอนนี้! เฮ้อ..” ไม่ได้พกร่มมาด้วย โธ่เอ้ย!

          “เอ่อ.. ถ้าไม่รังเกียจ กลับด้วยกันมั้ยคะ” แม้ว่า ‘ชิดะ มานากะ’ จะคิดว่าวันนี้ตัวเองจะโชคไม่ดีเอาเสียเลย แต่ในโชคร้ายนั้นกลับมีโชคดีซ่อนอยู่ หล่อนหันกลับไปมองทางต้นเสียง เห็นหญิงสาวผมสีอ่อนคนที่พูดประโยคนั้นออกมากำลังถือร่มที่หุบเอาไว้ยังไม่กางออกมาเพราะยังอยู่ในออฟฟิศ ถ้าจำไม่ผิดเธอคงชื่อว่า ‘อากาเนะ’ ฝึกงานอยู่แผนกบัญชีของที่นี่ มานากะเดินผ่านแผนกนี้บ่อยๆเวลาโดนวานให้ไปส่งเอกสาร

          “เอ๋ จะดีเหรอคะ”

          “คุณก็กลับทางเดียวกับฉันอยู่แล้วนี่คะ” เธอพยักหน้าพร้อมกับเดินมายืนข้างๆและกางร่มรอแล้ว รอยยิ้มของโมริยะดูเศร้าๆแปลกๆเป็นเรื่องปกติ ยิ่งพอสายฝนพร่างพรายลงมาแล้วยิ่งทำให้มันดูเหงามากขึ้นกว่าเดิม ชิดะอ้ำอึ้ง ถึงแม้พวกเธอจะรู้จักกันแต่ก็เป็นการรู้จักแบบผ่านๆเท่านั้น ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไร

          “เอ่อ แต่ว่าฉัน…”

          “ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรค่ะ แหะๆ ฉันคิดว่าฝนคงตกอีกนานเลยคิดว่าชวนคุณกลับด้วยกัน…มันคงจะดีถ้า…” ช่วงประโยคสุดท้ายนั้นหล่อนพูดด้วยน้ำเสียงช้าๆและติดเศร้าอยู่ในที ชิดะไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้หญิงคนนี้จะมีน้ำเสียงเศร้าและเหงาหงอยขนาดนี้ ทว่านั่นเป็นสาเหตุให้เธอตัดสินใจตอบออกไปอย่างไม่ลังเล

          “ปะ เปล่าค่ะ งั้นขอรบกวนด้วยนะคะ”

          .

          .

          .

          “….”

          ว่ากันว่าสายฝนที่กำลังตกลงมานั้น…จะรู้เวลาตกของมัน จริงหรือเปล่าไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงนี้ บางคนบอกว่าฝนตกไม่ทั่วฟ้า เพราะอะไรทำไมถึงเลือกจะตกลงมาบริเวณนี้ หรือเพียงเพราะต้องการให้เธอมาที่นี่ เพื่อมายืนคอยดูเธอคนนั้นจะเป็นยังไงตอนที่ฝนตกหนักแบบนี้ แต่สุดท้ายเธอก็มีคนร่วมทางแล้ว

          ฉันก็อยากกางร่มให้เธอแล้วก็เดินกลับด้วยกันเหมือนกับผู้หญิงคนนั้น

          แต่ฉันรู้ว่าตัวเองไม่มีทางได้อยู่ในตำแหน่งนั้น ที่ว่างข้างๆเธอ

          ไม่มีเลย

          .

          .

          .

          “คุณหนูครับ ผมนำรถเข้าไปจอดก่อนนะครับ”

          “ได้ค่ะ งั้นคุณเซบาสเตียนส่งฉันข้างหน้าคลีนิกก็ได้ค่ะ ฉันจะได้พาทอมเข้าไปพบคุณหมอก่อนนะคะ”

          “ครับ”

          “เอ้า! ฮึบ! ทอมอย่าดิ้นสิคะ” เสียงบ่นงึมงำๆของหญิงสาวท่าทางมีฐานะดังขึ้นเบาๆในขณะที่เจ้าหล่อนกำลังอุ้มแมวสก็อตติชโฟลด์ตัวอ้วนขึ้นมาเพื่อพาไปยังคลีนิกเพื่อฉีดวัคซีนตามที่คุณหมอนัดเอาไว้ แต่ทุกอย่างดูไม่ราบรื่นเท่าไหร่เพราะเจ้าเหมียวเอาแต่ดิ้นขลุกขลักไม่ยอมให้อุ้มซักที

          “ม๊าววว” ไม่วายร้องม๊าวดังๆพร้อมตาขวางๆ

          “ทอมอยู่นิ่งๆสิคะ” ในขณะที่ ‘สุไก ยูกะ’ กำลังวุ่นวายกับการอุ้มเจ้าทอมเข้าไปในคลีนิกอยู่ทำให้เธอไม่ได้ระวังตัวแล้วเดินไปชนหญิงสาวคนหนึ่งเข้าเสียได้

          “อ๊ะ!!! / !!!!!”

          “ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆนะคะ”

          “เอ่อ…ไม่เป็นไรค่ะ”

          “ฉันขอตัวก่อนนะคะ ขอโทษจริงๆค่ะ” สุไกรีบก้มหน้าก้มตาขอโทษ อุ้มเจ้าเหมียวตรงเข้าประตูคลีนิกทันที เพราะเจ้าตัวยุ่งนี่แท้ๆทำให้เธอไปชนคนอื่นเข้า กลับบ้านต้องบอกให้คุณเซบาสเตียนลงโทษซักหน่อยแล้ว อยู่สบายจนเคยตัวไปแล้วนะทอม!

          “….” รีบอะไรขนาดนั้นนะ หืม เอ๋!?

          “เอ่อ..คุณคะ อ้าว หายไปไหนแล้ว” ในมือของ ‘วาตานาเบะ ริสะ’ มือสมาร์ทโฟนเครื่องหรูของหญิงสาวคนเมื่อครู่ที่เธอไม่รู้แม้แต่ชื่อ หล่อนคงทำตกตอนที่ชนกันแน่ๆ

          แบบนี้จะไปคืนยังไงล่ะเนี่ย?

          แล้ววาตานาเบะก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าหล่อนอุ้มแมวสีส้มหน้าตากวนโอ้ยมาด้วย และข้างหลังเธอก็เป็นคลีนิกรักษาสัตว์ หล่อนคงเอาแมวมาให้สัตวแพทย์ดูหรือไม่ก็คงมาฉีดวัคซีนแน่ๆ ริสะชั่งใจมองมือถือในมืออยู่นานก็ตัดสินใจเปิดประตูคลีนิกเข้าไป

          เรื่องราวทั้งหมดเริ่มจากตรงนี้นี่เอง


          “ได้โปรด…บดขยี้ฉันทีค่ะ”

          “..!?..”

          “ยูกะ…” นี่เธอพูดอะไรออกมาเนี่ย รู้ตัวบ้างรึเปล่า!!!

          โมริยะจ้องมองไปยังใบหน้าของหญิงสาวผู้มีอายุมากกว่าด้วยสายตาตื่นตระหนกเล็กน้อย ด้วยความที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา เขามองหล่อนแลบลิ้นออกมาเลือดรสปร่าที่ไหลซิบออกมาจากริมฝีปากสวย ดวงตาหวานช้อนมองตอบกลับมา แววตาเว้าวอนถูกส่งมาให้จนอากาเนะยากที่จะต้านทาน

          “อากาเนะจูบฉันอีกสิ จูบฉัน” เสียงรบเร้าดังขึ้นมาไม่ขาดตอน หล่อนเอื้อมแขนไปโอบรอบคอคนผมสีอ่อน ดึงรั้งลงมามอบจูบให้โมริยะ ทันทีที่ริมฝีปากสัมผัสกัน อากาเนะรู้สึกได้ถึงกลิ่นสนิมของเลือดคละคลุ้งอยู่ในปาก เธอพยายามถอนจูบออกทว่ายูกะกลับไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น หล่อนกลับกดท้ายทอยคนที่อยู่ด้านบนลงมาให้ริมฝีปากชิดกันมากยิ่งขึ้น

          “ฮ่าส์ เดี๋ยวก่อน..ยูกะ..อื้ม”

          “อากาเนะ อากาเนะ”

          ให้ตายสิ อะไรเข้าสิงยูกะน่ะ ทำไมเธอถึงดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับที่ฉันรู้จักเลยล่ะ!

          “ยูกะ…”

          “เดี๋ยวนะอากาเนะรอแป๊บนึง”

          “….” โมริยะพยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย มองตามหญิงสาวที่ยันกายลุกขึ้นเดินไปทางลิ้นชักตรงตู้เสื้อผ้า คล้ายกับหล่อนกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่

          “อะไรน่ะยูกะ…”

          “เนกไทค่ะ”

          “….”

          “นี่ค่ะ” หล่อนยื่นเนกไทที่หยิบจากลิ้นชักตู้เสื้อผ้ามาให้ โมริยะก็ได้แต่มองมันตาปริบๆ ลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ

          “ละ แล้วเอามาทำไมเหรอ”

          “คิก”

          “….”

          “ยูกะ..อย่าบอกนะว่า..”

          “ฉันไม่เป็นไรหรอก” หล่อนว่าแบบนั้นพร้อมทั้งใช้เนกไทนั้นคล้องคอโมริยะ ดึงเขาเข้ามาจูบอีกครั้ง

          “แต่…อื้ม…ยะ..ยูกะ” จากตอนแรกที่ขัดขืน ตอนนี้กลับเริ่มให้ความร่วมมือกับคณหนูสุไกอีกครั้ง กลิ่นเลือดจางๆจากการจูบกระตุ้นสัญชาตญาณของโมริยะให้ตื่นขึ้น เขาเอื้อมมือไปดึงรั้งเอวของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วกดไหล่ของหล่อนลงกับเตียง จูบที่ถูกค้างเอาไว้ในตอนแรกถูกถอนออกพร้อมกับการมองเห็นของสุไกที่ถูกปิดกั้นโดยเนกไทที่ตัวหล่อนเป็นคนหยิบยื่นให้คนผมสีอ่อนเองกับมือ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ความอึดอัดจากการมองไม่เห็นนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกแย่ลงเลยซักนิด กลับรู้สึกดีเสียด้วยซ้ำไป

          “ยูกะชอบแบบนี้เหรอ ฉันจะไม่ยั้งมือแล้วนะ”

          “อื้ม”

          เอาจริงดิ…

          ตอนนี้โมริยะเหงื่อตก ทว่ามือไล้ลากไปตามเรียวขาของหญิงสาว แนบเขี้ยวคมที่มุมปากลงกับต้นขาเนียน ออกแรงกัดจนมันเป็นรอยฟันสีแดงๆ ทว่าโมริยะดูเหมือนจะไม่หยุดอยู่แค่การกัดครั้งเดียวแล้วปล่อย หล่อนกัดซ้ำลงไปอีกที่รอยเดิม ขาขาวๆของสุไกเริ่มห้อเลือดจากการโดนเขี้ยวคมของอากาเนะกดลงมา

          “อาส์ อากา..เนะ อ่ะ!” ยูกะกัดริมฝีปากของตัวเอง ร่างกายบิดเกร็งไปหมด ความปวดปร่าที่ต้นขายังคงเล่นงานหล่อนอย่างต่อเนื่องเมื่อสัมผัสอุ่นชื้นจากการที่โมริยะขูดเขี้ยวไล้ไปกัดที่ส่วนอื่นของขา ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆให้ลมหายใจติดขัด

          “เอ่อ..เจ็บเหรอ”

          “เปล่า…” หล่อนส่ายหน้าเบาๆ มือของสุไกยื่นออกมาหวังจะสัมผัสอีกฝ่ายแต่เพราะโดนเนกไทปิดตาเอาไว้ทำให้ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตอนนี้อากาเนะอยู่ตรงไหน

          “….” มือนุ่มของยูกะถูกกอบกุมไว้ด้วยมือของอากาเนะ เขาจับมือของเธอมาวางเอาไว้บนบ่า ส่วนของตัวเองนั้นถูกคุณหนูของเธอกัดเอาไว้เสียแล้ว โมริยะทอดสายตามองใบหน้าของสุไก อยู่ๆก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าทั้งหลายที่ใช้ปกปิดร่างกายของหล่อนเกะกะขึ้นมา อากาเนะค่อยๆดึงมือของตัวเองออกทว่ากลับใส่นิ้วทั้งสองเข้าไปในโพรงปากของคุณหนูแทน โมริยะสะดุ้งเบาๆเมื่อนิ้วชี้และนิ้วกลางของเธอถูกอีกฝ่ายใช้ลิ้นเลีย สุไกเริ่มไล้ลิ้นไปตามนิ้วมือทั้งห้าของอีกฝ่ายพลางดูดมันเข้าออกช้าๆ

          “ยูกะ อ๊ะ! แบบนี้มัน…” ใบหน้าของโมริยะมีสีเข้มขึ้น ริมฝีปากสั่นระริก ภายในปากของสุไกช่างอ่อนนุ่ม อบอุ่น และชุ่มชื้น จิตใต้สำนึกกำลังบอกเธอถึงสิ่งที่สุไกต้องการ แม้ไม่ได้สบตากันโดยตรง แต่โมริยะก็รู้สึกถึงความรู้สึกที่ร้อนแรงนั้นได้ เขาตัดสินใจพลิกตัวหล่อนให้นอนคว่ำลงกับเตียง ค่อยๆปลดเปลื้องเสื้อผ้าอันแสนเกะกะสายตาออกทีละชิ้นอย่างใจเย็น จนกระทั่งเผยให้เห็นแผ่นหลังขาวเนียนของคนอายุมากกว่า อากาเนะไล้ปลายลิ้นอุ่นชื้นมาตั้งแต่ซอกคอขาว เขี้ยวขาวของโมริยะฝังลงไปบริเวณกลางหลังของหญิงสาว สุไกสะดุ้งตัว เล็บของหล่อนจิกลงบนเตียงนุ่ม กลิ่นคาวสนิมของเลือดเริ่มกลับมาคละคลุ้งในห้องอีกครั้งเมื่อโมริยะไม่ยอมลดแรงในการกัดลงซักนิดเดียว

          “อากาเนะ ฉัน..เจ็บ..” โมริยะยังคงขบไล้ไปทั่วแผ่นหลังเนียนของอีกฝ่าย เธอไล้ริมฝีปากและปลายลิ้นอุ่นไปตามซอกคอของสุไก ขบเม้มสร้างรอยแดงไปทั่วแผ่นหลัง ริมฝีปากของโมริยะย้อนกลับมาแตะที่หลังหูของอีกฝ่ายเบาๆ

          “เธอ…อยากให้หยุดมั้ย..” อากาเนะถามเสียงแหบพร่า เขาเม้มกัดใบหูของยูกะเป็นการหยอกล้อเล็กน้อย ตาคมเลื่อนต่ำลงมามองหญิงสาวที่ถูกพันธนาการการมองเห็นเอาไว้ด้วยเนกไทสีทึบ

          “มะ..ไม่”

          “งั้นเราเลิกทำแบบนี้ดีมั้ย?” คนผมสีอ่อนเลิกคิ้ว แม้ว่ายูกะจะไม่เห็นก็ตาม ทว่าด้วยน้ำเสียงที่เขาพูดออกมาแล้วหล่อนรู้สึกได้ว่าถ้าบอกให้หยุด เขาต้องหยุดจริงๆตามที่บอกแน่ๆ

          “ไม่” เพราะแบบนี้เธอเลยตอบออกไปอย่างนั้น

          “…..”

          “อากาเนะกัดฉัน…” หล่อนพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน เร่งเร้าให้โมริยะรีบฝังเขี้ยวลงมาบนเรือนร่างของตัวเองอีก จากตอนแรกที่การโดนปิดตาไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรตอนนี้มันกลับทำให้เธอเริ่มอึดอัดเสียแล้วเมื่อโดนอีกฝ่ายยอกย้อนเข้าให้

          “พูดว่าชอบสิ…ยูกะ”

          “ไม่”

          “ชอบสินะ เธอต้องการใช่มั้ย ถ้าไม่พูดว่าชอบฉันจะไม่กัดยูกะนะ” โมริยะเล่นไม้เดิมเหมือนกับเมื่อครู่ ทว่าคำตอบที่ได้กลับมานั้นไม่น่าสบอารมณ์เอาเสียเลย เขาพลิกตัวกดร่างของสุไกให้กลับมานอนหงายเช่นเดิม

          “อื๊อ! ไม่” ริมฝีปากของยูกะโดนบดขยี้รุนแรงกว่าทุกครั้ง อาจเพราะความคุกรุ่นในตัวโมริยะที่อีกฝ่ายไม่ยอมตอบคำถามแล้วยอมรับออกมาดีๆว่าตัวเองชอบอะไรแบบนี้ก็ได้

          “ถ้าไม่ชอบทำไมถึงไม่ขัดขืนล่ะ ตอบฉันสิ!”

          “อ่ะ!..ฉัน..”

          “ยูกะ”

          “อากาเนะลงโทษฉัน ลงโทษยูกะสิคะ”

          ฉันเข้าใจแล้ว ยูกะเป็นมาโซคิสม์…

          ใครหรืออะไรทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้…

          “….” อากาเนะเงียบไปจนคุณหนูเริ่มใจไม่ดี แม้สัมผัสของเขาจะยังอยู่ก็ตาม แต่ไม่นานความมืดทึบทั้งหมดที่โดนปิดกั้นก็ค่อยๆมลายหายไป แสงนวลจากหลอดไฟในห้องเข้ามาแทนที่ หล่อนหยีตาเพื่อปรับโฟกัส เสียงหอบหายใจยิ่งแรงขึ้นไปอีกเมื่อสิ่งแรกที่หล่อนเห็นคือใบหน้าของโมริยะ

          “อ่ะ! เดี๋ยว! อากาเนะจะทำอะไร!?”

          “ฉันอยากมองหน้ายูกะชัดๆ”

          “ไม่นะ ฉะ ฉัน”

          “ยูกะ ชอบให้ทำแบบนี้ใช่มั้ย”

          “อื้ม ฮ่าส์ เดี๋ยวค่ะ อาส์” ชอบหรือไม่ชอบไม่จำเป็นต้องตอบด้วยคำพูด เมื่อการกระทำกำลังแสดงออกมาให้รับรู้ได้เป็นอย่างดี ริมฝีปากนุ่มทาบทับเริ่มต้นจูบผู้หญิงใต้ร่างอีกครั้ง มือของสุไกไล้ขึ้นไปตามร่างกายของอีกฝ่าย ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของโมริยะออกเพราะถ้าให้เขาถอดเองคงจะลำบากอยู่ไม่น้อย ที่สุดแล้วหญิงสาวทั้งสองก็เปลือยเปล่า

          “เอ๋ อากาเนะมัดฉันทำไมคะ” เนกไทที่ตอนแรกถูกทิ้งเอาไว้บนพื้นเตียงถูกอากาเนะหยิบขึ้นมาอีกครั้ง เขารวบข้อมือของคุณหนูสุไกแล้วจัดการมัดมันด้วยเนกไทแทนที่จะปิดตาหล่อนเหมือนอย่างคราวแรก

          “ยูกะจะได้ไม่ดื้อกับฉันไง” พูดไม่ทันขาดคำสุไกก็มุ่ยหน้าขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดื้อรั้น คิดหาข้ออ้างมาพูดให้โมริยะใจอ่อน

          “แต่แบบนี้มันไม่ถนัดนะคะ”

          “หืม?” หญิงสาวผมสีอ่อนกดหัวคิ้วลง ตาคมฉายแววก้าวร้าวขึ้นมาทันทีที่สุไกพูดแบบนั้น เขาเชยคางหล่อนให้เชิดขึ้น ไม่ยอมปล่อยอย่างที่ยูกะคิดเอาไว้ มืออีกข้างของโมริยะจิกที่ต้นขาของยูกะ เล็บคมลากกรีดตามเนื้อเนียนจนมันขึ้นสีแดง เธอไม่ได้หยุดแค่เพียงต้นขาทว่ากลับลากยาวไปถึงหน้าท้องของอีกฝ่าย แทะเล็มลากไล้ลิ้นอย่างไม่รู้จักเหนื่อย ฟันเรียงสวยของโมริยะกัดลงบนผิวของคุณหนูอีกแล้ว ร่องรอยสีกุหลาบปรากฏขึ้นบนเรือนร่างของหญิงสาวทุกครั้งที่สัมผัสชื้นซึ่งอากาเนะเป็นผู้สร้างลากผ่านไป โมริยะสบตากับคนที่มองอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะก้มต่ำลงมายังท้องน้อยตรงหน้า เพียงแค่แตะปลายลิ้นก็สัมผัสได้ถึงความพรั่งพร้อมชุ่มฉ่ำที่ชวนหลงใหล มือเรียวรั้งสะโพกสวยไม่ให้ขยับ เธอเริ่มสำรวจตรวจตราน้ำหวานใสตรงหน้าเพื่อให้ลำคอได้กลืนรสชาติลงไปอย่างที่ต้องการ

การต่อสู้ระหว่างปลายลิ้นกับความนุ่มลื่นภายในร่างกายดูจะยิ่งเข้มข้นพร้อมกับเสียงครางเริ่มดังถี่ขึ้น ยิ่งสะโพกส่ายไปมาขยับขึ้นมากเท่าไหร่ปลายลิ้นก็ยิ่งเร่งจังหวะเร่งเร้าดูดกลืนความหอมหวานอย่างต่อเนื่อง ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเร่งเร้า ยิ่งร้องครางมากเท่าไหร่ก็ยิ่งโดนปลายลิ้นละเลงลึกเข้าไปมากกว่าเดิม

          “อ๊า อากาเนะ…จะเสร็จ..แล้ว”

          “ยูกะชอบมั้ย พูดสิว่าชอบ”

          “อื้ม ฉะ ฉัน…” หล่อนพูดเสียงสั่นๆ ช่วงท้องเกร็งยิ่งกว่าเก่าเมื่อเขาผละหยุดกิจกรรมเมื่อครู่ขึ้นมาคุยกับเธอ อารมณ์ค้างๆของสุไกทำให้หล่อนแทบพูดอะไรไม่ได้

          “ถ้าไม่ตอบ ฉันจะไม่ทำต่อนะ” โมริยะยักคิ้วใส่หญิงสาวที่นอนราบอยู่กับเตียง ท่าทางหล่อนดูทรมาณอยู่ไม่น้อย เสียงหอบหายใจดังถี่ของหล่อนทำให้อากาเนะเลือกที่จะไม่สานต่อแล้วเปลี่ยนไปกัดตามเรียวขาย้ำรอยเดิมแทน ไล่ไปจนถึงข้อเท้าเกร็งของสุไก โมริยะใช้ปากและลิ้นของเธอไล้เลียตั้งแต่หลังเท้า เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปลายเท้าของอีกฝ่ายอย่างไม่รังเกียจ ปลายลิ้นอุ่นแตะที่ปลายเท้า ค่อยๆไล้เลียทีละนิดละน้อย เขาช้อนตาขึ้นมองสีหน้าของสุไก นัยน์ตาของหล่อนสั่นระริก ยิ่งลิ้นร้อนๆนั่นสัมผัสไปทั่วทั้งเท้าของเธอมันยิ่งสร้างความทรมาณจนแทบขาดใจ

          “อ๊าาาา อากาเนะ อย่าทำแบบนั้นนะคะ!”

          “ฉันรู้ว่ายูกะชอบ อืม…” สุไกเชิดหน้าขึ้นเมื่อโมริยะแกะนิ้วเท้าทั้งห้าที่เกร็งเข้าหากันแน่นของเธอกางออก ก่อนแทรกลิ้นไล้เลียไปตามซอกนิ้ว ทั้งแผ่วเบาและรัวเร็วสลับกันไป แต่อากาเนะเหมือนไม่ได้ระวัง เขี้ยวแหลมที่มุมปากก็ไปโดนกับนิ้วเท้าของคนสาวผมสีเข้มเสียแล้ว

          “อ๊าส์ อากาเนะ ฉันไม่ไหวแล้ว ได้โปรด..”

          “อยากให้ฉันทำอะไรเหรอ พูดสิ ขอร้องฉัน”

          “ได้โปรด อาส์ อากาเนะทำกับฉันทีนะ นะคะ” คุณหนูสุไกอยากจะยกแขนขึ้นโอบคอเขาแต่ติดที่โดนจับมัดข้อมือเอาไว้ ได้แต่จิกเล็บระบายความวาบหวามลงกับฝ่ามือตัวเอง

          “ทำ..กับใคร หืม” ลิ้นร้อนระรัวรุนแรง สร้างความรู้สึกพุ่งพรวดจนอยากดิ้นปลายเท้าหนี หากแต่สุไกกลับไร้กำลัง ได้แต่ยินยอมรับการปลุกเร้านี้อย่างไม่มีทางเลือก

          “ทำกับฉัน ทำกับยูกะ ได้โปรด นะคะ ฉันไม่ไหวแล้ว” จบประโยคของหล่อนริมฝีปากร้อนของหญิงสาวผุ้ซิ่งอายุน้อยกว่าก็ทาบลงบนที่เดียวกัน กดจูบอย่างหนักหน่วงพร้อมปลายลิ้นอุ่นชื้นที่ถูกส่งไปสำรวจภายในปากของอีกฝ่าย ทางด้านสุไกเองนั้นจูบตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเต็มใจ แต่เคลิ้มกับรสจูบอยู่ได้ไม่นานก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ถูกกดแทรกเข้ามาภายในร่างกาย

          “อากาเนะ อ่าา อ๊ะ อากา..เนะ..”

          “แรงกว่านี้..ได้ไหมคะ…?” หลังผละจูบออกแล้ว ในจังหวะที่โมริยะก้มลงมาเพื่อขบกัดคอขาวระหงของเธอนั่นเอง ยูกะกระซิบเสียงกระเส่าที่ข้างหูร้องขอ

          “ได้สิคะ สำหรับยูกะ ฉันยินดีทำตามความต้องการทุกอย่าง”

          “แก้มัดให้ฉันทีสิคะ”

          “หืม?”

          “ฉันก็อยากสัมผัมอากาเนะบ้างนี่คะ” แววตาหงอยๆถูกส่งมาให้ น้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าที่ขึ้นสีเข้มนั่นเริ่มทำให้อากาเนะใจอ่อนอย่างที่ไม่ควรจะเป็น มือข้างที่ว่างร่นต่ำลงไปจนถึงปมของเนกไทที่ใช้มัดข้อมือของสุไก ค่อยๆแกะมันด้วยมือข้างเดียวจนกระทั่งสิ่งพันธนาการหลุดออกมาปล่อยให้ข้อมือทั้งสองของคุณหนูสุไกเป็นอิสระ หล่อนยกมันขึ้นมาโอบรอบคอของโมริยะ ดวงตาสวยช้อนตาขึ้นมอง เหมือนหล่อนจะยังไม่พอใจ อยากได้มากกว่านี้ มากกว่าที่ขอไปในตอนแรก

          ยูกะดึงรั้งหญิงสาวอีกคนลงมาประกบริมฝีปาก บดเบียดขบกัดอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะถูกลงโทษในภายหลัง เสียงหอบหายใจจากการจูบดังขึ้นเป็นระยะ ในจังหวะที่ดวงตาทั้งสองคู่สบกันนั้นเองโมริยะก็ถอนริมฝีปากออก ลิ้นชื้นถูกใช้เลียคราบเลือดที่เนินอกของสุไก ความเจ็บแสบแล่นผ่านร่างกายแสนบอบช้ำ อากาเนะไม่ได้หยุดเพียงแค่เนินอกทว่าไล้เลียแผลทั่วทั้งร่างกายของคนใต้ร่าง สุไกก็อดไม่ได้ที่จะกัดปากตัวเอง หรี่ตาลงมองการกระทำของโมริยะ เธอเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าที่เขากำลังทำอยู่นั้นหมายถึงอะไร

ปลายนิ้วเร่งรัดขยับเข้าออกไปพร้อมกันในขณะที่หญิงสาวผมสีเข้มกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสชื้นบนเรือนร่าง โมริยะกดนิ้วลึกเข้าไปอีกเมื่อสุไกเกร็งช่วงล่าง หล่อนหลุดเสียง ‘อึก’ ออกมาเบาๆ เบือนหน้าหนีไปอีกทาง พ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เล็บของหล่อนจิกลงบนไหล่ของอีกฝ่าย ค่อยๆขยับบดเบียดสะโพกเข้าหาสิ่งเติมเต็มที่สร้างความวาบหวามให้กับร่างกาย เสียงหอบหายใจของสุไกดังถี่ขึ้นเรื่อยๆอย่างห้ามไม่ได้ คืนนี้แทบไม่อยากนับเลยว่ากี่ครั้งกันที่โมริยะและสุไกมีความสุขด้วยกันและถึงจุดปลายฝันที่ต้องการไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

          “ยูกะเป็นเด็กดี ฉันจะให้รางวัลนะ” นิ้วเรียวของอากาเนะไล่เช็ดเหงื่อตามไรผมของยูกะ แววตาก้าวร้าวอย่างเมื่อก่อนหน้าเริ่มอ่อนลงแล้ว เกลี่ยปอยผมชุ่มเหงื่อนั่นออกอย่างช้าๆ ตอนนี้สุไกแทบไม่มีแรงจะตอบ หล่อนหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะปรับลมหายใจของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ

          “อะไรคะ” น้ำเสียงแผ่วเบาและแหบพร่าของสุไกถูกเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัย ตามเรือนร่างของเธอตอนนี้มีแต่รอยแผลที่โมริยะเป็นคนทำทั้งนั้น เจ็บแต่ก็รู้สึกดี ยิ่งพอเขาเป็นคนทำแล้วยิ่งรู้สึกดีเข้าไปใหญ่

          แม้จะอากาเนะอาจจะแทนริสะไม่ได้ก็ตาม

          “แป๊บนะคะ จุ๊บ” จูบเบาๆถูกทาบลงมาที่ริมฝีปากของหญิงสาวผมสีเข้ม หล่อนมีสีหน้ามึนงงอยู่ไม่น้อย แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรอีกฝ่ายก็ยันตัวลุกออกไปเสียก่อน

          “????”

          .

          .

          .

          “ยูกะคอแห้งมั้ย?” ถามไปแบบนั้นแต่ตัวเองถือแก้วน้ำกลับมาให้แล้วเพราะคาดจากเสียงที่คุยด้วยกันเมื่อครู่แล้วคงคอแห้งมากแน่ๆ

          โมริยะนั่งลงตรงข้างๆขอบเตียงพลางค่อยๆพยุงร่างของคุณหนูสุไกขึ้นมานั่ง ปากแก้วน้ำถูกนำมาแตะไว้ที่ริมฝีปากของหญิงสาว หล่อนคงมีแรงเหลือพอที่จะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเองได้อยู่ น้ำอึกแล้วอึกเล่าไหลผ่านลำคอแห้งผากของยูกะ ทว่ายังไม่ทันที่หล่อนจะดื่มหมดแก้วน้ำก็ถูกอากาเนะดึงกลับไปถือไว้เหมือนเดิมเสียก่อน ยูกะมองอย่างไม่เข้าใจ ลิ้นของเธอแลบออกมาเลียหยดน้ำที่เกาะอยู่ตามริมฝีปากพลางมองโมริยะไปด้วย เขากำลังดิ่มน้ำจากแก้วๆเดียวกับที่เธอเพิ่งดื่มไปเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนเขาจะอมมันเอาไว้ ไม่ได้กลืนลงไป

          – กึก –

          เสียงแก้วน้ำที่ถูกวางลงบนโต๊ะตรงหัวเตียงดังแผ่วขึ้นท่ามกลางความเงียบ โมริยะประคองหน้าอีกฝ่ายให้เงยขึ้นมา ก้มลงประกบปากลงบนที่เดียวกัน น้ำค่อยๆถูกส่งผ่านจากโมริยะไปสู่สุไก หญิงสาวผมสีเข้มหลับตาแน่น หล่อนโดนเขี้ยวเล็กๆของโมริยะขบกัดที่ริมฝีปากอีกแล้วหลังเขาป้อนน้ำเสร็จ โมริยะมอบจูบหวานนุ่มเว้าวอนให้กับเธออีกครั้ง มันเริ่มเปลี่ยนเป็นจูบเร่งเร้ามากขึ้นทีละน้อยพร้อมกับฝ่ามือที่เริ่มลูบไล้เรือนร่างของกันและกันเหมือนอย่างค่ำคืนที่ผ่านมา ปลายลิ้นต่างเกี่ยวกระหวัดแลกเปลี่ยนลมหายใจร้อนอย่างไม่รู้เบื่อ ยิ่งจูบตอบกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างแรงอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น

          “ฮ่าส์ แฮ่ก..พอแล้วอากาเนะฉันไม่ไหวแล้ว”

          “ฉันยังไม่อยากอยู่ห่างยูกะเลยนะ”

          “ฉันไม่มีแรงแล้ว…”

          “ก็ได้” โมริยะจำใจหยุดกิจกรรมทุกอย่างแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆสุไก แขนเอื้อมไปดึงรั้งเอวอีกฝ่ายเข้ามากอดเอาไว้ หน้าผากของคนทั้งสองแนบชิดกัน อากาเนะสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เริ่มกลับมาเป็นจังหวะของยูกะ ไม่มีเสียงพูดคุยดังขึ้นมาอีกเพราะสุไกนั้นชิงหลับไปก่อนหญิงสาวอีกคนแล้ว ตาสีอ่อนทอดมองไปยังร่างของคนที่เพิ่งหลับสนิทไปได้ไม่นาน ผ้านวมผืนหนาถูกดึงขึ้นมาห่มให้ เวลานี้อากาเนะยังหลับไม่ลง ยังมีเรื่องอีกหลายเรื่องให้คิด โดยเฉพาะเรื่องของยูกะกับเขาคนนั้น

          แล้วตอนนี้ฉันแทนเขาได้รึยังนะ ยูกะ?

          .

          .

          .

          .

          “สวัสดีครับคุณวาตานาเบะ คุณหนูรออยู่ที่ชั้น 46 ห้องด้านในสุด ซ้ายมือถัดจากลิฟต์นะครับ” เสียงอันคุ้นเคยสำหรับวาตานาเบะพูดบอกทางไปยังห้องที่เธอต้องเข้าไป เขาผายมือประกอบด้วยทำให้ไม่ต้องเดาห้องให้ยากนัก เขาดูแก่ตัวลงไปมากทีเดียวนับจากวันที่เธอเจอยูกะครั้งแรก

          “สวัสดีค่ะคุณเซบาสเตียน งั้นฉันขอตัวนะคะ” ริสะทักทายอย่างเป็นปกติที่สุด ก้มหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาต

          “ครับ”

          .

          .

          .

          “ลุงคนนั้นเค้ารู้จักริสะด้วยเหรอ” พอสบโอกาสที่เซบาสเตียนเดินออกไปแล้วชิดะก็สะกิดหญิงสาวอีกคนยิกๆ ขยับเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะได้คุยถนัดๆและไม่เสียงดังจนพ่อบ้านตระกูลสุไกได้ยินเข้า

          “รู้จักสิ” อีกคนพยักหน้าขึ้นลงเป็นการตอบรับเบาๆ ไม่ใช่รู้จักธรรมดา แต่รู้จักดีเลยต่างหากล่ะ

          “เอ๋!? ริสะเคยทำโครงการให้บริษัทนี้มาก่อนแล้วเหรอ?”

          “เปล่าหรอก เอ่อ..มันซับซ้อนกว่านั้นน่ะ” เขายกมือขึ้นเกาท้ายทอย ไม่รู้จะเริ่มอธิบายตั้งแต่ตรงไหนดี วาตานาเบะนิ่งไปซักพักเพื่อเรียบเรียงเหตุการณ์ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ

          “ยังไงล่ะ?”

          “เพราะยูกะไง”

          “แล้วยูกะแฟนเก่าเธอเกี่ยวอะไรล่ะ?” คิ้วของมานากะขมวดลงอีกครั้ง หล่อนไม่ชอบให้เขาพูดชื่อยูกะต่อหน้าเลย ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ที่รู้สึกไม่พอใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ ทว่าดูเหมือนริสะจะไม่ได้สังเกตอาการไม่พอใจของหญิงสาวอีกคนเลยแม้แต่น้อย เขายังพูดตอบคำถามของเธอต่อ

          “ก็…บริษัทนี้มันก็ของยูกะนั่นแหละ ท่านสุไกก็คือพ่อของยูกะไง”

          “เธอจะบอกว่าที่เรามาที่นี่คือมาพบแฟนเก่าเธอ ซึ่งก็คือลูกสาวท่านสุไก ที่กำลังจะแต่งงานเดือนหน้านี้งั้นเหรอ!?”

          “อืม ใช่”

          “ห๊า!?”

          “ตกใจขนาดนั้นเชียว คิก” ท่าทางตกใจของชิดะทำให้วาตานาเบะหลุดขำออกมาเล็กน้อย แบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบแหะ..

          “ยังจะมาหัวเราะอีก แล้วทำไมไม่บอกฉันล่ะ โอ้ย อะไรเนี่ย แล้วเธอโอเคใช่มั้ย?” ประโยคหลังสุดที่ถูกถามขึ้นมาเล่นเอาใจริสะชื้นขึ้นมา อย่างน้อยก็รู้ว่าเธอยังเป็นห่วงเขาอยู่บ้าง วาตานาเบะส่ายหน้าเบาๆเป็นการปฏิเสธ เขาไม่ได้เป็นอะไรมาตั้งแต่ต้นแล้ว อาจจะมีเจ็บบ้างเพราะความผูกพันธ์ของตัวเองกับยูกะซึ่งอยู่ด้วยกันมานาน แต่ก็ได้มานากะมาช่วยให้ลืมมันไป

          “ตอนแรกก็ไม่หรอก แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”

          “ลืมได้จริงๆเหรอ” แววตาแข็งกร้าวในตอนที่ชื่อของคุณหนูสุไกถูกพูดขึ้นอ่อนลงแล้ว มือของหล่อนสัมผัสกับมือของวาตานาเบะเบาๆก่อนที่มันจะถูกคนผมประบ่ารวบไปกุมเอาไว้หลวมๆ

          “ไม่ลืมหรอก แต่พอทำใจได้บ้างแล้ว”

          “ทำไมดูง่ายจัง ฉันน่ะอยากจะลืมได้ไวๆแบบริสะบ้างจัง” เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เสียงของริสะแต่เป็นมานากะ เธอยังคิดถึงอากาเนะอยู่ แม้ว่าเรื่องมันจะผ่านมาแล้วก็ตาม แต่ใจยังคงลืมหญิงสาวที่มีรอยยิ้มและดวงตาเศร้าๆคนนั้นไม่ได้เสียที

          “อืม… จริงๆมันก็ไม่ยากนะ”

          “หา?”

          “เธอต้องลองเปิดใจ ลองชอบคนใครสักคนดู จะได้เอาเวลาไปคิดถึงคนนั้นแทนแฟนเก่าไง”

          “อืม…น่าสนใจดี แต่ฉันยังไม่มีคนที่ชอบนี่นา” ใบหน้าเปื้อนยิ้มของริสะพลันหุบลงอย่างกระทันหัน ริมฝีปากเม้มเข้าหากันโดยมานากะไม่ทันสังเกต เขารีบปรับสีหน้าของตัวเองให้เป็นปกติที่สุดและพูดออกไปเบาๆ

          “งั้นเหรอ…”

          ‘ยังไงก็คงเป็นฉันไม่ได้สินะ’

          .

          .

          อีกฝั่งของกำแพงที่กันระหว่างห้องกับโถงทางเดินนั้น สุไกและโมริยะได้เข้ามารออยู่แล้ว ปัญหาตอนนี้ของสุไกก็คือเสียงหัวใจที่เต้นเร็วเสียจนน่ารำคาญ กลัวว่าอากาเนะที่นั่งอยู่ข้างๆจะได้ยินมัน หล่อนแค่ตื่นเต้นที่จะได้เจอริสะอีกครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้เจอริสะพร้อมอากาเนะ พร้อม‘คู่หมั้น’ของเธอ

          “อากาเนะแต่งตัวให้เรียบร้อยสิ ผูกเนกไทให้มันดีๆหน่อยสิคะ” สายตาของหล่อนเหลือบไปเห็นเนกไทที่รูปร่างแปลกๆของอากาเนะ หัวคิ้วกดลงเล็กน้อยและพูดดุไปเหมือนพี่สาวดุน้องสาวยังไงอย่างงั้น

          “ปกติฉันไม่ผูกนี่นา ทำไมมันยุ่งยากแบบนี้ล่ะ”

          “ไหนมานี่สิ ฉันจะผูกให้”

          โมริยะมองอีกฝ่ายที่แกะเนกไทของเธอออกแล้วผู้ให้ใหม่อย่างช้าๆ ยูกะก็ยังคงเป็นยูกะที่อ่อนโยนเสมอสำหรับเธอ อยากจะเอื้อมมือไปโอบกอดเธอเข้ามาใกล้เสียตอนนี้ ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในที่ทำงานล่ะก็นะ

          “นี่ยูกะ…”

          “หืม?”

          “คิดถึงสมัยเป็นเด็กเลยล่ะ” โมริยะยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อจู่ๆภาพความทรงจำในวัยเด็กของเธอและสุไกก็ฝุดขึ้นมา นึกถึงวันวานที่อีกฝ่ายคอยดูแล เอาอกเอาใจเธอ

          “ทำไมอยู่ๆถึงคิดถึงล่ะ มันนานมาแล้วนะคะ” หล่อนยิ้มเช่นกัน คิดถึงช่วงวันเวลานั้นแล้ว มันช่างมีความสุขเหลือเกิน ช่วงวัยเด็กที่แสนมีค่าของเธอ

          “ใช่ ตอนนั้นยูกะก็ดูแลฉันแบบนี้เลย”

          “ตอนนั้นอากาเนะซนมากเลย ฉันกับคุณเซบาสเตียนปวดหัวทุกวันเลยนะคะ”

          “…..”

          “หน้าทำหน้าแบบนั้นสิ ฮะๆ งอนเหรอ”

          “เปล่า แค่..เชอะ…” อากาเนะเบือนหน้าหนี แสร้งทำเป็นงอน ที่จริงแค่อยากให้สุไกง้อเหมือนตอนเด็กๆ ตอนนั้นเธอเป็นคนเอาแต่ใจเหลือเกิน แต่ยูกะก็ตามใจเธออีกเหมือนกัน กลายเป็นให้ท้ายไปซะงั้น

          “อย่างอนสิ ตอนเด็กๆออกจะเป็นเด็กดี ทำตัวน่ารักกับฉันแท้ๆ”

          “เอ..จะว่าไปแล้ว…ยูกะเธอเคยจูบฉันนี่!!! ตอนนั้นฉันแค่ 7 ขวบเองนะ”

          “เอ๋? ไม่จริงอากาเนะต่างหากจูบฉัน”

          “ไม่ เธอนั่นแหละ ทำแบบนั้นกับเด็ก 7 ขวบได้ยังไง!”

          “อย่าว่าแต่ฉันเลย อากาเนะเองก็ด้วยค่ะ”

          “ทำไม? ฉันทำอะไร? หึ”

          “ถ้าฉันจำไม่ผิดล่ะก็…อืม… เธอเคยขอฉันแต่งงานนะ” ในที่สุดสุไกก็งัดไม้ตายมาใช้ หล่อนยกยิ้มอย่างผู้ชนะเมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของอีกฝ่าย ยักคิ้วให้ข้างหนึ่งเพิ่มระดับความน่าหมั่นไส้ไปอีกขั้น

          “….”

          “คิก เรื่องจริงนี่ ฉันจำได้”

          “….”

          ‘มันก็เป็นเรื่องจริงนั่นแหละ เรื่องจริงที่ถ้าไม่ถูกพ่อแม่บังคับ เราคงไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ..’

          “ชิ! พูดมากจริงๆยูกะ”

          “อ้าวก็มันเรื่องจริงนี่คะ หรืออากาเนะจะ— อื๊อ” โมริยะรู้สึกเขินอายเกินกว่าจะทนฟังสิ่งที่สุไกพูดต่อไปได้ เธอจัดการคว้าหญิงสาวตรงหน้ามาปิดปากโดยการจูบ! ใช่ หล่อนจะได้เลิกล้อเลียนวีรกรรมวัยเด็กของเธอเสียที โมริยะประคองใบหน้าหวานไว้ในอุ้งมือทั้งสอง ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปแนบชิดรับลมหายใจร้อนผ่าวของกันและกัน แต่ดูเหมือนสุไกต้องการมากกว่านั้น หล่อนเองก็จูบตอบและดึงรั้งใบหน้าสวยเข้ามามอบจูบอย่างที่หัวใจต้องการ

          ทุกอย่างกำลังผ่านไปด้วยดี แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…

          – ผลั๊วะ! –

          “เจ้านายคะ มาโอะพาพวกคุณ interior มาพบแล้วค่ะ!”

          “!!!!!!”

          “!!!!!!”

          ‘นั่นมันยูกะกับคู่หมั้นของเธอ… เดี๋ยวก่อนนะ ผู้หญิงคนนั้นมัน! มานากะ…’ วาตานาเบะหันไปมองหน้าชิดะด้วยหน้าตาตื่นๆ แต่ก็พบว่าฝ่ายนั้นก็มองมาทางเธอเช่นเดียวกัน สายตาเดียวกันเป๊ะๆ ก่อนที่มานากะจะหันไปมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาอีกรอบ หล่อนหน้าซีดเมื่อพบว่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องจริงไม่อิงโฟโต้ช็อปหรือโปรแกรมตัดต่อ

          ‘อากาเนะ…ทำไมถึง…’

Fiction

No Choice (M.A.R.Y.) : 05

– 05 : Love me –

Manaka S. x Akane M. x Risa W. x Yuuka S.

ปกฟิค5


          “อะไรนะคะ? คุณพ่อจะให้หนูย้ายเข้าไปอยู่กับยูกะงั้นเหรอ?”

          เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของบ้านโมริยะ หญิงสาวตาคมลุกพรวดมาจากโซฟาที่เธอกำลังนั่งอยู่ขึ้นมาประจันหน้ากับผ้เป็นบิดา คุณโมริยะถอนหายใจเบ่าๆ เหนื่อยหน่ายกับลูกสาวหัวดื้อหัวรั้นเป็นที่สุด แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่ออากาเนะเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของเขา ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีและถูกตามใจอยู่เสมอ เขาเลยไม่ค่อยจะแปลกใจว่าทำไมลูกสาวคนนี้โตมาถึงได้ดื้อนัก

          “ลูกจะตกใจทำไม ยังไงอีก 2 เดือน ลูกก็แต่งงานกับคุณหนูสุไกอยู่แล้ว”

          “แต่นั่นมันก็อีกตั้ง 2 เดือนนะคะ จะให้หนูย้ายไปอยู่กับเค้าทำไม มันเร็วไปนะคะ”

          “ก็จะได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันไง ลูกจะได้รู้จักคุณหนูสุไกดียิ่งขึ้น”

          “แต่ว่า—”

          “พ่อจะไม่พูดซ้ำนะ เก็บข้าวของของลูกซะ ไม่ก็ซื้อใหม่เอาละกัน ที่คอนโดนั่นน่าจะมีของครบอยู่แล้วแหละพ่อคิดว่านะ”

          “คุณพ่อ…”

          “อย่างอแงเป็นเด็กๆไปหน่อยเลยอากาเนะ ลูกโตแล้วนะ”

          “ชิ!”

          “มันไม่ได้แย่แบบนั้นหรอกน่า เชื่อพ่อสิ”

          “คุณพ่อไม่ได้เป็นคนไปอยู่เองนี่คะ คนที่ไปอยู่กับเค้าน่ะ คือหนู!”

          “ฮ่าๆ แหมทำเป็นบ่นไปได้ ทีตอนเด็กๆลูกน่ะติดคุณหนูสุไกจะตายไป อ้อนพ่อไปเล่นกับเค้าทุกวันเลยนะ ทีงี้ล่ะทำเป็นอิดออด”

          “แต่คุณพ่อคะ นั่นมันตอนหนูเด็กนะคะ นี่โตแล้ว แล้วก็กำลังจะแต่งงานกับเค้า เค้าที่เป็นเพื่อนในวัยเด็กของหนู

          .

          .

          .

          “ผมคงช่วยคุณหนูได้แค่นี้นะครับ คุณหนูยูกะ” เซบาสเตียนพูดขึ้นหลังจากให้พวกพ่อบ้านใต้ความดูแลของเขาช่วยกันยกย้ายของของคุณหนูสุไกขึ้นมายังคอนโดของหล่อน

          “แค่นี้ก็มากพอแล้วค่ะ อย่างน้อยหนูก็ได้อยู่คอนโดเดียวกับเค้าแล้ว”

          “แต่ผมเกรงว่าเรื่องมันจะไปถึงหูนายท่านน่ะสิครับ คุณหนูแน่ใจแล้วนะครับว่าจะอยู่คอนโดเดียวกับคุณวาตานาเบะ ถึงแม้เราจะอยู่ชั้น VIP ก็ตาม แต่…” หัวหน้าพ่อบ้านพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ ถ้าคุณท่านสุไกรู้ว่าเขาเป็นคนช่วยคุณหนูให้ย้ายมายังคอนโดที่อดีตคนรักของคุณหนูอยู่อาจจะโดนลงโทษอะไรก็ได้ แม้ในใจจะไม่อยากทำเท่าไหร่ แต่เขาทนเห็นคุณหนูสุไกที่ตัวเองเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานทำสีหน้าเศร้าๆอยู่ตลอดเวลาแบบนั้น

          “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่างน้อยถ้าเกิดท่านพ่อรู้ขึ้นมาจริงๆ หนูจะรับผิดชอบเองค่ะคุณเซบาสเตียน”

          “ผมจะส่งการ์ดที่ไว้ใจได้มาคอยเฝ้าดูให้แทนการ์ดของนายท่านละกันนะครับ”

          “ขอบคุณมากค่ะ”

          “ถ้าคุณหนูมีเรื่องอะไรอยากให้ผมทำ เรียกใช้ผมได้ตลอดเวลานะครับ”

          “ค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณเซบาสเบียน”

          “ด้วยความยินดีครับ ดูแลตัวเองด้วยนะครับคุณหนู”

          “ค่ะ”

          “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ อีกสักครู่คนของเราคงรับคุณโมริยะมาส่งที่นี่นะครับ”

          “ค่ะ ฉันจะรอเธออยู่ตรงนี้”

          “ครับ”

          .

          .

          .

          ไม่นานหลังจากนั้นนักโมริยะก็มาถึงคอนโดที่พ่อของเธอพูดไว้ อากาเนะมีสีหน้ากระอักกระอวนอยู่ไม่น้อย เพราะต้องมาอยู่กับยูกะสองคน แม้ทั้งคนทั้งคู่จะเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน แต่เพราะระยะเวลายาวนานเกือบสิบปีเห็นจะได้ทำให้ทั้งอากาเนะและยูกะไม่ได้สนิทใจกันมากเหมือนเมื่อก่อนซะทีเดียว

          “แล้วเราจะทำอะไรดีล่ะยูกะ อยู่แต่ในห้องมันน่าเบื่อนี่นา”

          “แต่นี่มันดึกแล้วนะ กว่าจะจัดของเสร็จอีก ฉันว่าเข้านอนเลยดีกว่า”

          “ไม่เอา นอนไม่หลับ” คนอายุน้อยกว่าทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง เริ่มงอแงแบบเด็กเอาแต่ใจให้หญิงสาวอีกคนเลิกคิ้วมอง สุไกค่อยๆนั่งลงข้างๆโมริยะ ทำไมวันนี้ถึงงอแงจังนะ?

          “เอ๋…”

          “ยูกะ…”

          “หืม?”

          “ไปเดินเล่นกันเถอะ”

          “ตอนนี้เหรอคะ?”

          “อื้ม”

          “เห…” สุไกลากเสียงยาว เหมือนหล่อนกำลังคิดอยู่ว่าจะออกไปดีมั้ย ที่จริงจะปล่อยให้อากาเนะไปคนเดียวก็ได้ แล้วตัวเธอก็อาบน้ำเตรียมนอนอยู่บนห้อง “แล้วถ้าตอบว่าไม่ไปล่ะคะ?”

          “ฉันก็จะไปคนเดียว”

          “อ้าว”

          “ก็ยูกะไม่อยากไปนี่”

          “แล้วถ้าฉันบอกว่าไปด้วยล่ะคะ”

          “เราก็ไปด้วยกันไง คิก”

          กวนนะคะ…

          “ฉันล้อเล่นนะ ไปด้วยกันนะยูกะ ปะ”

          “อื้ม ก็ได้”

          โมริยะถือวิสาสะจับมือของสุไก อีกฝ่ายก็ยอมให้จับแต่โดยดี พวกเธอสองคนพากันลงลิฟต์ไปชั้นล่าง แต่ในจังหวะที่กำลังก้าวออกจากลิฟต์นั้น คุณหนูของโมริยะก็ได้ยินเสียงคุ้นหู เหมือนกับว่าจะอยู่ใกล้ๆนี้เอง เธอดึงมือของอากาเนะเอาไว้ให้หยุดยืนอยู่ตรงมุมอับที่ไม่มีใครเห็นเพื่อฟังว่าเจ้าของเสียงนั้นกำลังคุยกับใคร

          “อืม งั้นเรากินอะไรกันก่อนมั้ย แล้วค่อยคุยงาน”

          “ก็ดีค่ะ ฉันคิดว่าน่าจะนานนะคะ”

          “นั่นสิ ดูเหมือนลูกค้ารายนี้จะเอาแต่ใจพอสมควรเลยนะ”

          “ระดับผู้บริหารนี่คะ แถมยังเป็นของขวัญแต่งงานให้ลูกสาวเค้าอีก”

          “อืม งั้นวันนนี้ยุยก็อยู่ทานข้าวกับพี่เลยนะ อ้อ มีมานากะอีกคน เดี๋ยวคงตามมาน่ะ”

          “ได้ค่ะ ขอรบกวนด้วยนะคะ”

          สุไกได้ยินเพียงแค่นั้นทว่าเห็นหน้าชัดเจนว่าทั้งสองคนคือใคร หนึ่งคืออดีตคนรักของเธอ วาตานาเบะ ริสะ ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวที่เธอไม่คุ้นหน้า แต่ดูแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าริสะอยู่เล็กน้อย โมริยะมองด้วยความสงสัยว่าทำไมอยู่ๆสุไกถึงได้ดึงเธอเอาไว้ แต่ในขณะที่กำลังจะเดินออกไปนั้นยูกะก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

          “เดี๋ยวค่ะ อากาเนะ!”

          “หืม? ทำไมเหรอ?”

          “ฉันเหมือนเห็นคนรู้จักเลยค่ะ เอ่อ..เราอยู่ตรงนี้สักพักก่อนได้มั้ยคะ”

          “อ่า..เอ่อ..ได้..ได้สิ” อะไรของเค้าเนี่ย จู่ๆก็บอกให้หยุด แถมลากมายืนหลบมุมตรงนี้อีก?

          “ยูกะ..จำเป็นต้องแอบด้วยเหรอ คนรู้จักไม่ใช่เหรอ?”

          “คือฉันไม่อยากให้เค้าเห็นฉันน่ะค่ะ…”

          “ยูกะ…”

          คนที่ยูกะกำลังมองอยู่นั่น ฉันรู้สึกคุ้นๆนะ เหมือนเคยเห็นผู้หญิงตัวสูงคนนั้นที่ไหนสักแห่ง

          เอ…คุ้นจัง แต่นึกไม่ออก คุ้นมาก ฉันต้องเคยเจอเธอมาก่อนแน่ๆ

          “ยูกะเป็นะไรรึเปล่า ทำไมร้องไห้ล่ะ..”

          “ปะ..เปล่าค่ะ ฉันก็แค่…”

          “ยูกะ…”

          “ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราไปเดินเล่นกันเถอะ..นะ”

          “อ่ะ อืม…” คนผมสีอ่อนตอบรับไปเบาๆ แต่เท้าของเธอไม่ได้ขยับไปไหน ยังยืนอยู่ที่เดิมพร้อมๆกับดึงตัวสุไกเข้าสู่อ้อมกอดของตัวเอง ลูบหลังเธอเบาๆ ปลอบประโลมคุณหนูของเขาให้หยุดร้องไห้ ค่อยๆบรรจงเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของหญิงสาว

          “ไม่ร้องนะ เดี๋ยวออกไปข้างนอกเธอก็ไม่สวยหรอก ตาบวมหมดแล้ว”

          “โธ่ แค่นี้เองนี่คะ ฉันไม่ได้ร้องไห้หนักสักหน่อย ไม่บวมหรอก”

          “มีอะไรเล่าให้ฉันฟังได้นะ ถ้าเธอไม่สบายใจ ไหนๆตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันแล้ว เอิ่ม..นั่นแหละ ถือว่าฉันเป็นเพื่อนซักคนละกันนะ”

          “ขอบคุณนะคะ..” อากาเนะลอบถอนหายใจเบาๆ อย่างน้อยตอนนี้เสียงสะอื้นของยูกะก็เบาลงแล้ว…

          .

          .

          .

          ริสะ : มานากะอยู่ไหนแล้ว ทำไมมาช้าจัง

          มานากะ : รถติด รอเดี๋ยวสิ

          ริสะ : อยากกินอะไร?

          มานากะ : ทำงานไม่ใช่เหรอ ทำไมชอบถามเรื่องกินจัง

          ริสะ : ก็มันเริ่มดึกแล้ว ฉันกลัวเธอหิว

          มานากะ : งั้นอะไรก็ได้ เธอก็ถามโคบายาชิจังสิ

          ริสะ : อืม งั้นก็ได้

          มานากะ : ……

          ริสะ : อะไรหรอ?

          มานากะ : เปล๊า แค่นี้นะ ฉันจะขับรถ

          ริสะ : ค่ะ ขับรถดีๆนะ

          บทสนทนาในแชทจบลงแค่นั้น วาตานาเบะเงยหน้าขึ้นมามองรุ่นน้องสาวคนสวยก่อนจะเอ่ยปากถามตามที่คุยกับมานากะในแชทเป๊ะๆ

          “ยุยอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ย พี่กะจะทำแกงกะหรี่น่ะ” แถมยิ้มตาหยีให้ด้วย

          “ฉันชอบแกงกะหรี่ค่ะ”

          “โอเค งั้นยุยรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา รีโมทอยู่ตรงชั้นวางตรงนั้นนะ”

          “เอ่อ..ค่ะ”

          คนอายุมากกว่าวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ ฝากโคบายาชิเฝ้าไว้ให้หน่อย ถ้ามานากะโทรมาให้เข้าไปเรียกเขาที่ห้องครัว แต่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร เสียงของคนที่วาตานาเบะฝากให้เฝ้าโทรศัพท์เอาไว้ก็ดังขึ้นข้างหลัง หันกลับไปก็เจอยุยยืนมองทำตาแป๋ว

          “พี่ริสะกำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ ให้ฉันช่วยนะคะ”

          “เอ๋? อย่าเลย ยุยไปนั่งรอเถอะ พี่เกรงใจ”

          “แต่นั่งเฉยๆมันน่าเบื่อนี่คะ ในทีวีก็ไม่มีรายการอะไรน่าดูด้วย”

          “เอ่อ..ยุย..พอทำอาหารเป็นใช่มั้ย?”

          “ค่ะ พอทำเป็นค่ะ”

          “งั้นช่วยไปหยิบหอมใหญ่ในตู้เย็นแล้วมาปอกเปลือกให้พี่ทีนะ”

          “ได้ค่ะ หั่นด้วยไหมคะ”

          “อื้ม หั่นเป็นชิ้นเล็กๆด้วยก็ดี”

          โคบายาชิพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย หล่อนกำลังเดินไปหยิบหอมใหญ่ตามที่อีกฝ่ายบอก ระหว่างที่กำลังเดินกลับมา เหมือนหล่อนจะไม่ได้ดูทางเลยก้าวพลาด วาตานาเบะที่หันมาเห็นพอดีเลยเข้าไปรับ ยังดีที่โคบายาชิไม่ได้ไปล้มไกลอะไรมาก ไม่อย่างนั้นต้องได้แผลซักสองสามแผลแน่ๆ

          “ว้ายยยยยยยยยย”

          “!!!!!!!!”

          “…..”

          “ยุย! เป็นอะไรรึเปล่า เฮ้อ ค่อยยังชั่ว ตกใจหมดเลย”

          “เอ่อ…เปล่าค่ะ”

          “เอ่อ…คือ ยุย…”

          -ตี๊ด-

          เสียงเปิดประตูด้วยคีย์การ์ดพร้อมกับร่างของหญิงสาวผมสั้นอีกคนที่เดินเข้ามาในห้อง หน้าตาของหล่อนดูตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นสภาพของวาตานาเบะและโคบายาชิ ตอนแรกริสะคิดว่าต้องโดนด่าแน่ๆ แต่เปล่า เธอแค่ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆเท่านั้น

          “ทำอะไรกันน่ะ…

          “มานากะ!!! คือฉัน..”

          “…..”

          “มานากะ เดี๋ยว! มันไม่ใช่แบบที่เธอเห็นนะ!”

          “ขอโทษที่มารบกวนนะ ฉันไปรอในห้องนั่งเล่นแล้วกัน” ชิดะไม่ฟังคำแก้ตัวอะไรของวาตานาเบะทั้งนั้น หล่อนหันหลังเดินออกไปโดยทิ้งให้ริสะอยู่กับยุยเพียงแค่สองคน

          “…..”

          “เดี๋ยวสิ!” แต่วาตานาเบะเรียกไปตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว

          “รุ่นพี่…”

          .

          .

          บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก มานากะเอาแต่นั่งเงียบ มีพูดเสริมบ้างแค่เล็กน้อยในเรื่องงาน แต่ถ้าคุยเรื่องสัพเพเหระเธอจะไม่เข้ามาคุยด้วยเลย นั่งกินนั่งฟังเงียบๆจนทำให้โคบายาชิออกจะอึดอัดอยู่เล็กน้อย

          .

          .

          .

          “ยุยกลับไปแล้วล่ะ” วาตานาเบะพูดขึ้น มือแตะลงบนไหล่ของหญิงสาวผมสั้นอีกคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเบือนหน้าหนีไปจ้องแต่โทรทัศน์ตรงหน้าตั้งแต่กินข้าวเสร็จแล้ว

          “อืม…”

          “มานากะ”

          “อะไร”

          “งอนเหรอ”

          “เปล่า”

          “งั้นโกรธเหรอ?”

          “นี่! งอนกับโกรธมันต่างกันยังไง หา?”

          “อ้าว ก็มานากะดูอารมณ์ไม่ดีนี่นา ตอนคุยกับฉันก็ไม่มองหน้า แถมถามคำตอบคำด้วย” ริสะนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆมานากะ กดปิดทีวีไปเสียเพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ดูมันเลย เพียงแค่จ้องเอาไว้เพราะไม่อยากมองหน้าเขาเท่านั้นเอง

          “ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่หงุดหงิดเรื่องงานนิดหน่อย” หล่อนบอกปัดไป ทำท่าจะลุกขึ้นจากโซฟาทันทีที่วาตานาเบะหย่อนตัวลงนั่ง

          “เดี๋ยวสิมานากะ จะไปไหนน่ะ?” ข้อมือของหล่อนถูกเขารั้งเอาไว้ก่อน ชิดะถอนหายใจเบาๆแล้วนั่งลงข้างๆริสะตามเดิม

          “ก็งานเรียบร้อยแล้วนี่ ฉันกลับดีกว่า”

          “ไม่นอนนี่หรอ”

          “ทำไมต้องนอนด้วย”

          “ก็ฉันเหงา”

          “……”

          “นอนนี่นะ”

          “……” มานากะยังคงเงียบ ไม่ตอบ ภาพที่เห็นตอนที่เธอเข้ามาในห้องของริสะยังติดตาอยู่เลย แล้วนี่เขายังจะขอให้มานอนด้วยอีก

          ฝันไปเถอะ..

          “ทำไมล่ะ งอนที่ฉันช่วยยุยเหรอ”

          “เดี๋ยวนี้เรียกกันสนิทสนมจังนะ เหอะ”

          “อ้าวก็ทำงานร่วมโปรเจคกันมาเป็นเดือนแล้วนี่นา โธ่มานากะ ไม่เอาน่า ไม่งอนสิคะ”

          “ไม่รู้แหละ ฉันจะกลับแล้ว” วาตานาเบะมองตามตาละห้อย ถ้าร้องหงิงได้คงร้องออกมาแล้ว เหมือนเจ้าตูบหงอยๆตัวนึง เขายังไม่ยอมปล่อยข้อมือของชิดะไปง่ายๆ กลับใช้มืออีกข้างรวบเอวอีกฝ่ายเข้ามาจูบแทน เพียงชั่วขณะที่ตาสีเข้มสบเข้ากับดวงตาของอีกฝ่าย ริสะเห็นแววตาตัดพ้อของมานากะอยู่ด้วย

          “มานากะ…”

          “ปล่อย มันดึกแล้วริสะ ทำไมดื้อจัง”

          “โอเค งั้นกลับบ้านดีๆนะ”

          “อืม”

          “ถึงบ้านแล้วไลน์มาบอกฉันด้วย”

          “ก็ได้ ไปนะ”

          “…..”

          เจ้าของห้องมองตามอีกฝ่ายออกไปจนกระทั่งหล่อนปิดประตูลง เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก็ถูกปล่อยออกมา นี่ก็เดือนกว่าๆแล้วที่ความสัมพันธ์ของพวกเธอเป็นแบบนี้ เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรักก็ไม่เชิง เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก เขายังจำมานากะบอกได้ดีว่าขอเวลาคิดก่อน แต่ตอนนี้มันก็นานพอสมควรแล้ว

          หรือบางที…เขาควรจะตัดใจกันนะ?


          ลมเอื่อยๆพัดมากระทบร่างของหญิงสาวสองคนที่ออกมาเดินเล่นยามราตรี เวลาตอนนี้ก็ดึกมากแล้วหากแต่สุไกไม่ยอมกลับไปที่คอนโด โมริยะที่เป็นคนชวนออกมาทำได้แค่เดินเล่นไปเรื่อยๆเป็นเพื่อนหล่อน คอยหันไปมองหญิงสาวอายุมากกว่าที่ก้มหน้าเดินไม่ดูทางจนเธอต้องคอยจับมือเอาไว้แบบนี้ กลัวว่าเธอจะร้องไห้ขึ้นมาอีก เห็นยูกะเป็นคุณหนูที่ค่อนข้างเข้มแข็งก็เถอะ ที่จริงแล้วเป็นคนอ่อนไหวมากๆคนนึงเลย

          “ยูกะนี่มันดึกแล้วนะ กลับคอนโดกันเถอะ”

          “อากาเนะเบื่อเดินเล่นแล้วเหรอ?”

          “ก็เปล่า แต่ฉันคิดว่ามันดึกแล้ว แล้วยูกะก็น่าจะง่วงแล้วนี่ จริงมั้ย ก่อนออกมาก็บอกว่าอยากนอนไม่ใช่เหรอ”

          “อืม งั้นกลับก็ได้..”

          โมริยะค่อยๆแตะมือที่แก้มของสุไกอย่างแผ่วเบา เลื่อนมือไปเชยคางอีกฝ่ายขึ้นมา เอาแต่ก้มหน้าแบบนี้คงคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ อีกอย่างคือเธอจะเดินไปชนนู่นชนนี่เอาได้ถ้าไม่เงยหน้าขึ้นมามองทาง ไล้นิ้วไปตามขอบตาที่บวมแดงจากการร้องไห้เมื่อครู่ ยูกะกระพริบตามองอากาเนะอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนกำลังทำอยู่ แต่แล้วก็เหมือนจะได้รับคำตอบเมื่อหญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนขยับหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆก่อนที่ริมฝีปากของโมริยะจะแนบชิดกับริมฝีปากของสุไก

ไม่นานเขาก็ผละออก เหมือนดวงตาสีอ่อนจะเหลือบไปเห็นเชือกรองเท้าที่ปมหลุดออกของหญิงสาวอีกคนเข้าให้เลยย่อตัวลงมาผูกให้ใหม่ ความเงียบเริ่มโรยตัวลงมาเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดอะไรขึ้นอีกจนกระทั่งเดินกลับถึงคอนโด

          .

          .

          .

          “ดูเหมือนจะมีเรื่องรบกวนนิดหน่อยนะริสะ” นากาฮามะพูดขึ้นขณะที่ตัวเองกำลังรวบรวมเอกสารของลูกค้าทั้งหลาย หล่อนเรียกวาตานาเบะมาเข้าพบแค่คนเดียว เรียกมาหลายคนแล้ววุ่นวาย ให้ไปบอกต่อๆกันเองน่าจะง่ายกว่า

          “อะไรเหรอคะบอส”

          “ลูกค้าอยากพบ interior น่ะ ช่วยไปพบเค้าที”

          “แค่คราวแล้วก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้วนี่คะ”

          “ไม่ใช่ท่านสุไกที่อยากพบพวกเธอหรอก…”

          “อ้าว แล้วงั้น?”

          “ลูกสาวเค้าไง เจ้าของบ้านที่เรารับผิดชอบโปรเจคนี่แหละ”

          “……”

          ยูกะสินะ…

          นี่ก็เดือนกว่าแล้วนะ ที่ติดต่อเธอไม่ได้เลย…

          .

          .

          .

          .

          “อากาเนะอยากรู้มั้ยว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร”

          “ยูกะหมายถึงใคร” โมริยะที่กำลังนั่งสไลด์หน้าจอสมาร์ทโฟนของตัวเองอยู่บนเตียงถามกลับ หล่อนเงยหน้าขึ้นมามองคู่สนทนา คิ้วเลิกขึ้นด้วยความสงสัย

          “คนที่เราเจอที่ชั้นล่าง เมื่ออาทิตย์ก่อนไง”

          “อ๋อ…” เขาครางในลำคอเบาๆ เหมือนพอจะเริ่มนึกออกแล้วว่ายูกะหมายถึงผู้หญิงคนไหน เธอคนนั้นที่อากาเนะคุ้นหน้าแต่ก็นึกไม่ออกซักทีว่าใคร

          “เค้าคือแฟนเก่าฉันเองแหละ”

          “แฟนเก่า…”

          “อื้ม ไม่คิดว่าจะเจอโดยบังเอิญแบบนั้น แถมยังอยู่กับผู้หญิงคนอื่นอีก”

          “…..”

          “เฮ้อ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ก็ฉันเป็นฝ่ายทิ้งเค้านี่นา”

          “เพราะโดนบังคับให้แต่งงานสินะ…” คำว่าแฟนเก่าของสุไกทำให้โมริยะเริ่มนึกถึงใครบางคนที่เธอเป็นฝ่ายทิ้งเขามาเหมือนกัน เพื่อแต่งงานกับเพื่อนสมัยเด็กที่ตัวเธอก็ไม่แน่ใจว่า ‘ยังรักอยู่หรือเปล่า’ ใครจะไปรู้ ถ้าอยู่ด้วยกันไปนานๆอากาเนะอาจจะกลับมารักยูกะเหมือนครั้งเมื่อวัยเยาว์ก็ได้

          “ใช่…”

          “ฉันเข้าใจ เราเหมือนกัน”

          “แต่แฟนอากาเนะคงไม่มีแฟนใหม่ไวขนาดแฟนฉันหรอก เฮ้อ..ก็พอเข้าใจนะ เพราะว่าเค้าเป็นคนเสน่ห์แรงมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”

          “คนเจ้าชู้เหรอ”

          “เปล่านะ ไม่ใช่ซะหน่อย”

          “เห…”

          “เป็นคนดีมากเลยนะ แถมรักสัตว์ด้วย”

          “เห…”

          “อากาเนะฟังอยู่รึเปล่าเนี่ย”

          “เห…”

          สุไกละสายตาจากหนังสือที่ตัวเองอ่านขึ้นมามองไปยังอากาเนะก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ฟังที่เธอพูดเลยซักนิด ตอนนี้กำลังจิ้มเกมในโทรศัพท์อย่างเมามัน ปากก็ตอบเออออไปงั้นไม่ให้ห้องมันเงียบเท่านั้นเอง

          “ถ้าไม่อยากฟัง ฉันไม่เล่าก็ได้” ยูกะมุ่ยหน้า ถือหนังสือลุกขึ้นเดินไปห้องอื่นแทน ปล่อยให้อากาเนะเล่นเกมไปคนเดียวในห้องนอนนั่นแหละ

          “!!!!!!!!”

          “เดี๋ยว! ยูกะจะไปไหน”

          “…..”

          “ฟังแล้ว ฉันเลิกเล่นแล้ว เล่ามาเถอะนะ นะ นะ ยูก๊าาาาาา”

          “…..”

          สุดท้ายอากาเนะก็ต้องโยนโทรศัพท์ไว้บนเตียงแล้ววิ่งออกไปลากยูกะกลับมานั่งคุยในห้องนอน หล่อนยังทำหน้าบูดๆอยู่เลย เบือนหน้าหนีไม่ยอมคุยด้วยทุกครั้งที่อากาเนะพยายามง้อ แขนของโมริยะกอดอยู่รอบเอวหญิงสาว เสียงงิ้งเบาๆที่ข้างหูของสุไกคล้ายกับจะอ้อนให้หล่อนยอมกลับมาคุยด้วย

          “อยากเล่นเกมไม่ใช่หรอคะ ก็เล่นไปสิ”

          “โธ่ ก็เลิกเล่นแล้ว เล่ามาเถอะนะ”

          “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่จะบอกว่าผู้หญิงคนนั้นคือแฟนเก่าฉันเอง เค้าชื่อ วาตานาเบะ ริสะ”

          “เอ๋?”

          “อะไร?”

          “ฉันเคยเจอคนชื่อวาตานาเบะ ริสะด้วยล่ะ ตอนที่ฉันไปเดทที่โซนศูนย์การค้ากับมานากะ”

          “เอ๋? จริงเหรอค่ะ ใช่คนนี้รึเปล่า?” สุไกเปิดรูปคนรักเก่าของเธอที่มีอยู่ในโทรศัพท์ให้โมริยะดู  หญิงสาวผมสีอ่อนหยีตามองก่อนพยักหน้าขึ้นลงเบาๆ มั่นใจว่าใช่ๆแน่เพราะเขาเป็นเพื่อนของมานากะ

          “ยูกะ ฉันเคยเจอเธอคนนี้จริงๆด้วย เค้าเป็นเพื่อนของมานากะ”

          “มานากะเหรอ?”

          “เอ่อ..แฟนเก่าฉันนั่นแหละ”

          “แล้วอากาเนะเลิกกับแฟนเก่าแล้วสินะ”

          “ก็แหงสิ พ่อบังคับให้ฉันโทรไปบอกเลิกเค้า แล้วก็หลบหน้า บล็อคทุกช่องทางการติดต่อเลย ฉันรู้สึกผิดต่อมานากะมากนะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้…” พูดถึงตรงนี้ก็อากาเนะก็ค่อยๆคลายกอดออกจากเอวของคุณหนูสุไก เธอถอนหายใจเบาๆ

          “ไม่เป็นไรนะ อากาเนะ…”

          “อื้ม” โมริยะตอบเสียงแผ่ว ปีนขึ้นเตียงไปหยิบโทรศัพท์มากดเล่นต่อ บางทีการนึกถึงอะไรที่เราไม่มีทางกลับไปแก้ไขได้แล้วก็ทำให้หดหู่ขึ้นมาเสียดื้อๆ มีแต่ต้องหาอะไรมาเบนและดึงความสนใจออกจากสิ่งนั้นเหมือนที่อากาเนะกำลังทำอยู่ตอนนี้

          “อากาเนะทำอะไรอ่ะ ให้ฉันเล่นด้วยสิ”

          “ก็โหลดเกมลงมาเครื่องตัวเองสิยูกะ”

          “แต่ฉันอยากเล่นเกมที่อากาเนะกำลังเล่นอยู่นี่นา”

          “อย่าจับสิยูกะ เดี๋ยวตัวฉันตายนะ”

          “ยูกะขอจบตานี้ก่อนฉันจะสอน”

          “ยูกะเดี๋ยว อีกนิดเดียว จะ จะ ยูกะ!”

          “ขอดูด้วยไม่ได้เหรอ ก็อยากดูด้วยอ่ะ”

          “ยูกะอย่าจับ มันจะ เฮ้ย! มันจะตายนะ อย่า! โอ้ยตายแล้ว!” สาวตาคมสบถออกมาด้วยความอารมณ์เสีย จิ๊ปากขัดใจเล็กน้อยพร้อมแย่งโทรศัพท์กลับมา หล่อนปรายตากลับไปมองสุไกที่มีสีหน้าหงอยๆ เห็นแบบนี้แล้วก็โกรธไม่ค่อยจะลง แต่คงต้องดุบ้างแล้วล่ะ ไม่งั้นวันหลังคุณหนูแสนเอาแต่ใจคนนี้ต้องทำอีกแน่ๆ

          “อยากเล่นเหรอ เอาโทรศัพท์เธอมาสิ ฉันจะโหลดให้”

          “เอ๋ จริงเหรอ อากาเนะสอนฉันเล่นด้วยนะ”

          “อืม ได้สิ”

          .

          .

          .

          “ยูกะ” เสียงของโมริยะเรียกให้คุณหนูเจ้าของห้องละสายตาจากเจ้าจอสี่เหลี่ยมบนมือไปมองอีกฝ่าย หล่อนทำหน้าตาสงสัยว่าเรียกทำไม

          “หืม?”

          “ตอนนี้ยูกะก็ยังรักคุณวาตานาเบะอยู่เหรอ”

          “ใช่สิ ก็พึ่งเลิกกันไปได้เดือนเดียวเองนะ”

          “อ๋อ”

          “ทำไมหรอ”

          “เปล่า”

          “ต้องมีอะไรแน่ๆ อากาเนะบอกฉันมาเถอะ อย่าดื้อสิ” สุไกขยับมานอนใกล้ๆอีกฝ่ายรบเร้าจะให้เขาพูดให้ได้

          “…..”

          “คือว่ายูกะ..” โมริยะกลั้นหายใจอยู่พักนึง ก่อนเปล่งเสียงออกมา เธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ รู้สึกกังวลกับความคิดประหลาดของตัวเอง ที่จู่ๆก็ผุดขึ้นมาในหัว… ไม่น่าจ้องมองเธอนานๆแบบนั้นเลย ให้ตายสิ…

          “หืม?”

          “เอ่อ..เธอจะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันขอ..”

          “ขอ…”

          “ขอจูบเธอหน่อย…”

          “หา!?”

          “เอ่อ…ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” ถึงก่อนหน้านี้จะเคยจูบกันมาแล้วก็จริง แต่นั่นมันตอนที่ยูกะไม่สบายใจหรือเศร้าเธอถึงยอม แต่นี่หล่อนยังนอนอารมณ์ดีเล่นเกมอยู่ข้างๆ ไม่แปลกถ้าเธอคิดจะปฏิเสธจูบนี้อยู่แล้ว

          “เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น แต่ว่า..คือ..ฉัน..”

          “คือ..ฉันแค่อยากแน่ใจเท่านั้นเอง”

          “แน่ใจอะไร?”

          “ตอนเด็กๆฉันเคยชอบเธอ ฉันแค่อยากแน่ใจความรู้สึกตัวเอง ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง ฉันไม่รู้ว่าฉันยังรักมานากะอยู่มั้ย หรือแค่คบกับมานากะเพราะอะไรหลายๆอย่างของเขาเหมือนกับเธอ ฉันก็แค่สับสนน่ะ ขอโทษนะที่ขออะไรเห็นแก่ตัวแบบนั้น” โมริยะยิ้มแหยๆให้อีกฝ่าย ที่ได้มาแต่งงานกับยูกะอาจจะเรียกว่าบังเอิญก็ได้ แต่โมริยะก็คิดว่ามันเป็นโชคดีที่อย่างน้อยเธอได้เจอกับรักแรกของตัวเองที่ไม่ได้เจอมานานแสนนานและไม่คิดว่าจะมีวันได้เจอกันอีก

          “อากาเนะ…”

          “เอ่อ…ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

          “อากาเนะ! เดี๋ยว!” คุณหนูสุไกดึงรั้งอีกคนเอาไว้ก่อน เธอยังไม่พูดไม่จบเลยนี่นา มาหนีกันไปแบบนี้ได้ยังไง

          “!!!!!!” ดวงตาสีอ่อนของโมริยะเบิกขึ้นด้วยความตกใจที่อยู่ๆหญิงสาวอายุมากกว่าก็เข้ามาสวมกอดเธอ แต่ดูแล้วคงเพราะกลัวจะลุกหนีไปอีกถึงได้กอดเอาไว้เสียมากกว่า ไม่ได้เพราะอยากกอดจริงๆ

          “ฉันแค่ไปเข้าห้องน้ำเองยูกะ…”

          “เธอฟังฉันพูดไม่จบอีกแล้ว”

          “เอ่อ…”

          “ฉันอนุญาต”

          “????”

          “ก็..ที่เธอขอไง..เอ่อ..จูบน่ะ”

          “…..” คำอนุญาตของคุณหนูทำให้เธอมีสีหน้างุนงง ในหัวมึนตึ้บไปหมดแล้ว ไม่คิดว่าหล่อนจะให้จูบง่ายๆแบบนี้ มันแปลกเกินไป

          “ได้จริงๆเหรอ”

          “อื้ม”

          “งั้น…หลับตาลงสิ”  พอเขาพูดแบบนั้นยูกะก็ค่อยๆหลับตาลงตามที่อีกฝ่ายบอก รออยู่ไม่นานนักก็มีสัมผัสบางเบาทาบลงมาที่ริมฝีปากก่อนจะค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆ สุไกลืมตาขึ้นมาก็เห็นดวงตาสีอ่อนของเขาทำให้สบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ หล่อนเผลอเผยอปากเป็นโอกาสให้โมริยะฉวยโอกาสแทรกลิ้นอุ่นเข้ามามา สุไกรู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มที่ครอบครองริมฝีปากของเธออยู่ ลมหายใจของโมริยะที่ระรดบนผิวแก้มและเหนือริมฝีปากทำให้เธอรู้สึกเคลิบเคลิ้ม โมริยะกระชับอ้อมแขนรั้งร่างของเธอเข้าหาจนแนบชิด

          “อื้อ..อากาเนะ..อือ” จูบแรกเริ่มที่แสนอ่อนโยน ขณะนี้ได้ทวีคูณความร้อนแรงและสำรวจตรวจตรามากขึ้นเรื่อยๆ เธอหลับตาแน่นเมื่อความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่องท้อง ลมหายในเริ่มติดขัด มือทั้งสองรั้งเสื้อของอีกฝ่ายแน่น

          “แฮ่กๆ ยูกะ…”

          “อือ..หืม?”

          “ฉันยิ่งสับสนกว่าเดิมอีก ในหัวมันโล่งไปหมดเลย”

          “…..”

          “ฉันขอโทษนะ”

          “เธอรู้สึกดีมั้ย…”

          “อื้ม..”

          “มันเหมือนกับที่เธอจูบกันแฟนเก่ารึเปล่า” เสียงแผ่วของสุไกถามขึ้น คลายมือที่รั้งเสื้อของอากาเนะออก ไม่รู้ทำไมเธอถึงเลือกที่จะถามคำถามนี้ออกไป รู้สึกหึง? หวง? ทั้งๆที่ตัวเธอเองก็ยังลืมริสะไม่ได้แท้ๆ

          “ไม่..มันไม่เหมือน”

          “แล้วต่างกันยังไงเหรอ เพราะตอนนี้เธอรักเค้า แต่ไม่ได้รักฉันเหรอ”

          “ฉันรักเค้า แต่ฉันก็เคยรักเธอมาก่อน”

          “เราควรทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดีคะ อากาเนะ”

          “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันยูกะ” โมริยะส่ายหน้า ผละตัวออกห่างจากสุไก บางทีเธอควรจะหาเวลาว่างๆนั่งทบทวนตัวเองบ้าง อาจจะทำให้ได้คำตอบ แต่นั่นมันก็แค่สำหรับเธอคนเดียว ยูกะไม่มีวันหันมารักเธออยู่แล้ว

          “แต่ตอนนี้เราคงทำอะไรไม่ได้แล้วแหละ”

          “ฉันจะดูแลยูกะเองนะ ฉันสัญญา”

          “อื้ม ฉันก็จะดูแลอากาเนะนะ”

          “ที่จริงแล้วฉันอาจจะหลอกตัวเองมาตลอดก็ได้นะยูกะ…”

          “??????”

          “ฉันอาจจะคบกับมานากะเพราะแค่อยากจะลืมเธอก็ได้ แต่เค้าก็เป็นคนดีมากนะ ฉัน…ฉันรู้สึกผิด”

          “เดี๋ยวสิ อากาเนะใจเย็นๆก่อน อย่าโทษตัวเองแบบนั้นสิคะ”

          “แต่ยูกะ มานากะต้องเสียใจมากแน่ๆถ้ารู้ว่าฉันคบกับเค้าเพื่อให้ลืมยูกะ”

          “แต่ตอนนี้อากาเนะก็เลิกกับเค้าแล้วนะคะ” คุณหนูตระกุลสุไกเริ่มรู้สึกไม่พอใจ แต่เธอไม่รู้ว่าตัวเองไม่พอใจเรื่องอะไร หัวคิ้วเริ่มกดลงเรื่อยๆ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างขุ่นเคืองอยู่ในใจทว่าตัวหล่อนเองทำอะไรกับความรู้สึกนี้ไม่ได้เลย

          “แต่เค้าไม่ผิดอะไรนี่ ทำไมคนดีๆอย่างเค้าต้องมาเสียใจเพราะฉันด้วย”

          “งั้นอากาเนะจะทิ้งฉันเพื่อกลับไปหาเค้าสินะ”

          “ไม่ใช่นะ ฉันแค่…คือฉัน…อื้ม” เสียงของหญิงสาวผมสีอ่อนถูกกลืนหายไปในลำคอทันทีเมื่ออีกฝ่ายดึงคอเสื้อของเธอเข้าไปจูบ บดเบียดริมฝีปากให้โมริยะที่ไม่ทันตั้งตัวต้องตกใจ ปกติมีแต่เขาที่เป็นฝ่ายจูบเธอก่อน แต่นี่มันกลับกัน ยูกะเป็นฝ่ายดึงเขาเข้าไปจูบเสียเอง

          “ยูกะ..อื้ม” ริมฝีปากร้อนระอุทาบทับลงมาอีกครั้ง บดคลึงริมฝีปากของเธออย่างหลงไหล มือเรียวเลื่อนมาจับบั้นเอวของอีกฝ่าย จูบของยูกะช่างอ่อนหวาน และเต็มไปด้วยความปรารถนา หล่อนค่อยๆโน้มตัวโมริยะลงนอนบนเตียงทั้งๆที่ยังจูบกันอยู่อย่างนั้น จังหวะนั้นเองที่อากาเนะจับไหล่ของหญิงสาวแล้วพลิกตัวเองขึ้นไปอยู่ด้านบนพร้อมกับจูบที่ผละออกจากกัน

          “ยูกะ…แฮ่ก…”

          “……”

          “ทำแบบนี้ไม่ได้นะ”

          “ทำไมล่ะ”

          “ที่เรากำลังทำอยู่มันดีแล้วจริงๆน่ะเหรอ”

          “ฉันไม่รู้…” รู้แค่ว่าตอนนี้ไม่อยากให้เธอพูดถึงคนอื่นต่อหน้าฉันก็เท่านั้น..

          “……”

          “ยูกะ”

          “หืม?”

          “เธอยังรักคุณวาตานาเบะอยู่มั้ย”

          “ฉัน…”

          “ถ้ารัก..ฉันจะได้หยุดแค่ตรงนี้” ตาสีอ่อนของโมริยะหลบเลี่ยงสายตาของสุไกที่มองตรงขึ้นมา กัดริมฝีปากล่างอย่างนึกโทษตัวเองว่าไม่ควรทำแบบนี้กับผู้หญิงที่อาจจะยังมีความรู้สึกกับคนรักเก่าอยู่แล้ว

          “แล้วอากาเนะล่ะ”

          “ฉันจะลืมมานากะ”

          “จริงเหรอ”

          “อื้ม”

          “แล้วไม่รู้สึกเสียใจเหรอ ไม่รู้สึกผิดแล้วเหรอคะ”

          “รู้สึก แต่ฉัน…ฉันไม่อยากเสียยูกะไปอีกแล้ว”

          “อากาเนะ…”

          “ยูกะอย่าทิ้งฉันไปนะ” คำขอของอากาเนะทำให้ใจของยูกะกระตุกวูบ สัมผัสอุ่นเพราะอ้อมกอดของเขาทำให้ยากที่จะปฎิเสธ สุไถถอนหายใจออกมาเบาๆ

          “โธ่..อากาเนะพูดแบบนี้แล้วฉันจะใจร้ายทิ้งเธอไปได้ยังไง” พูดพร้อมกับกอดตอบเขาไป ลูบหลังคนเอาแต่ใจเบาๆคล้ายกำลังปลอบหญิงสาวอยู่ ขยับเคลื่อนไปหน้าไปแนบแก้มกับของอีกฝ่าย อากาเนะขี้งอแงไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อตอนเด็กๆเลยซักนิด

          “ขอโทษนะที่เอาแต่ใจ”

          “ฉันจะรักอากาเนะนะ”

          “เอ้ะ!”

          “ตอนนี้ฉันอาจจะลืมเค้าไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะลืมไม่ได้นี่ จริงมั้ย หืม?”

          “อื้ม”

          “งั้นก็เลิกทำหน้างอแงแบบนั้นได้แล้ว”

          “ไม่ได้งอแงสักหน่อย”

          “เหมือนตอนเด็กๆเลยนะ ชอบอ้อนแบบนี้ คิก”

          “เปล่าซะหน่อย” โมริยะซุกหน้าลงกับซอกคอของสุไกซ่อนใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อเพราะความเขินอาย เสียงขู่เถียงของหล่อนเหมือนกับเสียงแมวขู่ฟ่อๆยังไงอย่างงั้น

          “อากาเนะเป็นเด็กน้อยสำหรับฉันเสมอเลยนะ ไม่ว่าจะตอนนี้ หรือว่าตอนนี้”

          “เห… แต่ตอนนี้ฉันโตแล้วนะ”

          “จริงเหรอ คิก”

          “ไม่เชื่อเหรอ หึ” แขนของอากาเนะคลายกอดออก มือเรียวเริ่มซนไปแตะนู่นแตะนี่ของคุณหนูไปเรื่อย นัยน์ตาเริ่มฉายแววเจ้าเล่ห์เจ้ากลออกมาให้สุไกต้องขนลุกซู่ เหมือนเธอจะไปพูดเปิดโอกาสให้โมริยะอีกรอบเสียแล้ว

          อากาเนะไล้กลีบริมฝีปากของตัวเองไปตามคอระหง เม้มมันเบาๆพอหอมปากหอมคอก่อนจะมาจบลงที่ริมฝีปากอิ่มของคุณหนูสุไก คราวนี้กับไม่เหมือนกับก่อนหน้าที่เป็นจูบเพียงผิวเผิน กลับทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดของทั้งสองดังขึ้นเป็นระยะ จบลงที่โมริยะขบกัดริมฝีปากของสุไกเสียจนเลือดซิบ

          “อากาเนะ…แฮ่ก..”

          “คะ? ว่า..ไง…”

          “ได้โปรด…บดขยี้ฉันทีค่ะ”

          “..!?..”

Fiction

No Choice (M.A.R.Y.) : 04

– 04 : Remember –

Manaka S. x Akane M. x Risa W. x Yuuka S.

ปกฟิค4


          “นี่! เวลาทำงานทำตัวให้เป็นปกติเข้าใจมั้ย” เสียงแว้ดๆของมานากะดังขึ้นจากภายในตัวรถตรงที่นั่งข้างคนขับ ถึงนี่จะเป็นรถของเธอแต่วาตานาเบะก็เป็นขนขับมาส่ง เพราะไหนๆก็ทำงานที่เดียวกันแล้วด้วย ถือว่าชดเชยเรื่องเมื่อคืนที่แล้วไปในตัว

          “ปกติยังไงเหรอ?”

          “ก็เหมือนเดิมแบบที่ผ่านๆมาไงล่ะ งงอะไรยะ!?”

          “อื้ม ได้ค่ะ” ริสะพูดยิ้มๆขณะปลดเข็มขัดนิรภัยออก ทำให้อยู่ๆมานากะก็รู้สึกหมั่นไส้เขาขึ้นมานิดๆ

          “ยิ้มอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

          “เปล่า”

          “อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เข้าใจมั้ยริสะ”

          “ทำไมต้องปิดบังด้วยล่ะ โอเค ก็ได้ๆ ฉันยอมแล้ว”

          “ดี! ฉันยังไม่พร้อมให้เจ้าพวกนั้นรู้เรื่องนี้ นี่ถ้ารู้ล่ะก็ คงถูกล้อไปอีกนานแน่ๆ”

          “ที่แท้มานากะเขินหรอกเหรอ” คนผมประบ่ายื่นมือไปเชยคางชิดะขึ้นเล็กน้อย ดูวันนี้เขาจะอารมณ์ดีอยู่ไม่เบาหลังจากเมื่อวานได้หยุดงานอยู่ที่บ้านของมานากะทั้งวัน

          “เปล่า มะ…ไม่ใช่นะ แต่ฉันขอเวลาหน่อยสิ เธอรับปากแล้วนี่” มานากะเบือนหน้าหนี จับมือของวาตานาเบะออกจากคางของตัวเอง ใจเธอยังสั่นๆอยู่เลยเวลาเขาทำดีด้วยแบบนี้

          “อืม เข้าใจแล้ว งั้นเข้าบริษัทกันเถอะ”

          “ไม่ได้ๆ ฉันต้องเข้าไปก่อนสิ เข้าไปพร้อมกันแบบนี้มันน่าสงสัย”

          “คิดมากไปรึเปล่า คนอื่นเค้าไม่สงสัยเรื่องยิบย่อยพวกนี้หรอกนะ” แต่ริสะก็บ่นไปงั้นๆ สุดท้ายเขาก็ต้องปล่อยให้อีกฝ่ายลงรถไปก่อนแล้วตัวเองถึงตามเข้าไปทีหลัง ให้เหมือนเวลาเข้างานปกติ

          .

          .

          .

          ตัดภาพไปที่อีกฝั่งของลานจอดรถนอกอาคาร มีหญิงสาวหญิงสาวหน้าตาสะสวย หล่อนมัดผมเป็นทรงโพนี่เทล หัวคิ้วกดลงจนมันแทบขมวดกันเป็นโบว์ได้อยู่แล้ว ตาของหล่อนจ้องมองไปยังชิดะที่เพิ่งลงจากรถไปก่อนที่วาตานาเบะจะตามลงมา

          “รุ่นพี่วาตานาเบะสนิทกับรุ่นพี่ชิดะขนาดนั้นเลยเหรอคะ…”

          หญิงสาวคนนั้นพูดกับต้นเคยากิที่ตัวเองใช้หลบดูอยู่เบาๆ

          .

          .

          .

          ชิดะค่อยๆเลื่อนประตูห้องทำงานออก วันนี้พวกเธอสองคนมาช้ากว่าปกตินิดหน่อยเพราะติดที่ว่าต้องใช้ห้องอาบน้ำด้วยกันนี่แหละมันถึงได้นาน หล่อนชะโงกหน้าเข้ามาดูในห้องก็เจอเพื่อนร่วมงานเกือบครบ แต่ที่น่าแปลกใจคือวันนี้คุริทาโร่ไม่ได้มาเข้างาน หรือว่าลากันนะ? ฟุยุกะก็ด้วย ปกติเพื่อนร่วมงานคนนี้จะมาเช้ามากๆ เรียกว่ามารอเปิดตึกเลยก็ได้ แต่วันนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา

          “มงตะกับฟูจังไม่มาหรอ?” มานากะหันไปถามโอเซกิที่อยู่ใกล้สุดด้วยความสงสัย

          “หื้ม ไม่รู้สิ คุริไม่เห็นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เหมือนแกกับริสะอะ ส่วนฟูจังฉันไม่รู้”

          “อ้าว แปลกแฮะปกติจะมาคนแรกๆของบริษัทเลยนะ” มานากะเลิกคิ้วสงสัย เลื่อนเก้าอี้ออกมานั่ง เหมือนในออฟฟิศจะตั้งวงเม้าท์มอยกันอีกแล้วเมื่อสมาชิกเริ่มทยอยกันมาจนเกือบครบ

          “นั่นสิ อ่ะ! นั่นไงมาแล้ว ยิ้มมาแต่ไกลเชียว”

          “ไง ทุกคน ทำไมมาทำงานเช้าจัง” ฟุยุกะพูดด้วยท่างทางดี๊ด๊าจนคนในห้องแปลกใจกันเป็นแถบๆ แต่แล้วก็ไขข้อข้องใจเมื่อเห้นคนที่เดินตามหลังเธอเข้ามา

          “ปกติเหอะ แกนั่นแหละที่มาสายกว่าปกติ”

          “ยังไม่สายนะ อ้อ! นี่มีขนมมาฝาก ชี่จังกลับมาแล้วล่ะ ชี่จังเอาไปวางบนโต๊ะตรงนั้นนะ” ไซโต้ชี้นิ้วให้แฟนสาวเอาขนมของฝากไปวางไว้ที่โต๊ะของเธอ รอจนเขาเดินกลับมาหาแล้วถึงเดินไปส่งที่หน้าประตู

          “อื้ม งั้นฉันไปแล้วนะฟูจัง ตั้งใจทำงานนะ เจอกันตอนเที่ยงค่ะ จุ๊บ” พูดจบคนตัวสูงก็จุ๊บลงที่ริมฝีปากของฟุยุกะ ผละออกมาด้วยหน้าตายิ้มๆก่อนจะโบกมือเบาๆขณะเดินกลับไปยังลานจอด

          “บ๊ายบาย / บายจ้า”

          อี๋ เหม็นคนมีความรัก..

          วงเม้าท์มอยประจำทานูกิคอร์เปอเรชั่นกลอกตากันด้วยความหมั่นไส้

          “ฟูจัง ตรงนี้” ชิดะตบเก้าอี้ตัวข้างๆที่เธอลากมารอไว้สำหรับฟุยุกะโดยเฉพาะ นี่รอแค่หล่อนคนเดียวเลย เพราะถ้าไม่มีฟุยุกะก็ไม่ค่อยมีใครเปิดประเด็นเรื่องน่าเม้าท์ซักเท่าไหร่ แถมตอนเช้าทำงานชิลๆ บางวันก็แทบไม่มีงานเข้าเลยด้วยซ้ำเพราะงานมันดันไปลงแผนกอื่นหมด

          “อรุณสวัสดิ์ทุกคน ทำอะไรกันอยู่เหรอ” เสียงคุ้นหูของนากาฮามะดังเข้ามาในห้อง เหมือนหล่อนจะเข้ามานั่งเล่นที่แผนกอย่างคนว่างงานไม่มีอะไรทำ(ทั้งที่จริงๆเอกสารเพียบ)

          “เอ๋? ทำไมวันนี้บอสเค้าบริษัทแต่เช้าเลยล่ะคะ”

          “อ๋อ เรื่องนั้นคือว่า…”

          “อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกคน”

          อ๋อ ที่แท้ไปรับเด็กฝึกงานสุดที่รักมานี่เอง หนอย น่าหมั่นไส้ชะมัด

          “อ้าว ว่าไงมานากะหายป่วยแล้วเหรอ แล้วริสะล่ะ ยังไม่มาเหรอ?”

          “เอ่อ ค่ะ หายป่วยแล้วค่ะ..” เธอตอบเสียงแผ่ว กลัวถูกจับได้จริงๆว่าที่จริงแล้วตัวเองไม่ได้ป่วยแต่….

          “อืม ถ้าริสะมาบอกเค้าเข้าไปหาฉันหน่อยนะ อ้อ มานากะด้วยล่ะ ทั้งคู่นั่นแหละ”

          “ได้ค่ะ เกี่ยวกับโปรเจคบ้านของท่านสุไกเหรอคะ?”

          “ใช่ ตั้งใจทำงานนะเทะจิ พี่ไปก่อนนะ” นากาฮามะบีบแก้มเด็กฝึกงานด้วยความหมั่นเขี้ยว อยากจับหอมแก้มไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทำไม่ได้ เดี๋ยวโดนพวกลูกน้องรุมทึ้ง แค่บีบแก้มพอแล้วกัน

          “เอ่อ ค่ะ”

          อี๋ หมั่นไส้บอส เทะจิก็อย่ายอมง่ายๆแบบนั้นสิ เดี๋ยวชีได้ใจ!!

          “อ้าวโน่นไง! ริสะมาแล้ว”

          “อ่ะ ยุยอรุณสวัสดิ์ หายหน้าหายตาไปนานเลยนะ”

          “ค่ะ ช่วงก่อนค่อนข้างยุ่งนิดหน่อยน่ะค่ะ”

          “ไง อรุณสวัสดิ์ทุกคน” มองหน้าฉันทำไมล่ะ มานากะกลอกตาและคิดในใจ รีบหลบหน้าเขาด้วยการก้มลงเปิดฝาขวดน้ำอัดลมที่ซื้อติดมือมาด้วยแทน

          “แล้วทำไมริสะมาพร้อมยุยล่ะ มาด้วยกันหรอ” แต่ประโยคนี้ก็ทำให้ชิดะรีบเงยหน้าขึ้นมามองทันที อะไรนะ?

          “อืม เจอน้องที่ร้านกาแฟข้างบริษัทพอดีน่ะ เลยเดินมาด้วยกัน”

          “อ้อ งี้นี่เอง”

          “งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ขอตัวนะคะรุ่นพี่” โคบายาชิหันมาพูดลาวาตานาเบะด้วยรอยยิ้มเขินๆ ปกติไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ พอต้องเดินขึ้นมาบนบริษัทแล้วเลยได้คุยกันยาวพอสมควร หล่อนปรายตามองปฏิกิริยาของชิดะไปพร้อมๆกันด้วย

          “อืม”

          อี๋ ขอตัวนะคะรุ่นพี่ ทำไมต้องพูดเสียงหวานด้วย ชิ แล้วยัยเฉื่อยนี่ก็ยิ้มให้เค้าจัง

          “อ่ะนี่! มานากะ ฉันซื้อโกโก้มาให้” แต่ก่อนที่ชิดะจะได้หงุดหงิดไปมากกว่านี้เขาก็พูดขึ้นมาก่อนพร้อมยื่นแก้วโกโก้มาให้

          “หา!? ให้ฉันเหรอ” มานากะชี้ตัวเองงงๆ วาตานาเบะก็พยักหน้าให้ ชิดะค่อนข้างแปลกใจอยู่มากทีเดียวที่เขารู้ว่าเธอชอบดื่มโกโก้พอๆกับพวกน้ำอัดลม..

          “รับไปสิ เดี๋ยวละลายมันจะไม่อร่อยนะ”

          “อ้าว ทำไมซื้อมาให้แค่มานากะล่ะ แล้วพวกฉันล่ะ โห ริสะ ไม่ยุติธรรมอ่ะ” โอเซกิบ่นงุบงิบๆ

          “ใช่ แย่ๆ จะซื้อมาเลี้ยงเพื่อนก็ต้องซื้อให้ครบทุกคนสิ” ตามมาด้วยเสียงเพื่อนคนอื่นๆจนวาตานาเบะต้องยอมแพ้ในที่สุด เขาถอนหายใจเบาๆ

          “เลี้ยงก็ได้ แต่ลงไปซื้อเองนะ…”

          “เย้ / เย้”

 

          หลังให้เงินพวกเพื่อนๆไปแล้วทั้งห้องตอนนี้ก็เหลือแค่พวกเธอสองคน วาตานาเบะนั่งลงข้างๆมานากะ ดูดกาแฟที่ตัวเองซื้อมาพร้อมๆกับโกโก้ของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ เพราะมานากะบอกให้ทำตัวปกติ ก็เลยทำตัวปกติมากๆอย่างเช่นตอนอยู่ด้วยกันสองคนจะไม่คุยกันมากเท่าไหร่

          “ริสะ”

          “?” เขาเลิกคิ้ว หันมามองมานากะโดยไม่ได้ขานรับอะไร

          “โคบายาชิจังนี่ก็น่ารักดีเนอะ”

          “หา? ทำไมอยู่ๆพูดแบบนี้ล่ะ?”

          “ก็ดูเหมือนเค้าชอบแอบมองเธอบ่อยๆนี่นา”

          “คงงั้นมั้ง เค้าก็เป็นเด็กที่น่ารักดี” ริสะยักไหล่ หันไปดูดกาแฟต่อจนเหลือแต่น้ำแข็ง แต่นั่นก็ทำให้ชิดะนิ่งไป

          ใช่สิ สาววิศวะมันก็ต้องดีกว่าสถาปนิกอยู่แล้วนี่

          “มานากะไม่ชอบให้ฉันอยู่กับโคบายาชิจังเหรอ?” เขาขยับเลื่อนเก้าอี้กเข้าไปใกล้มานากะ ทำท่าเหมือนจะอ้อน ถึงยังไงตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่ในห้อง ทำอะไรก็ได้นั่นแหละน่า

          “กลับไปนั่งที่เลยริสะ จริงสิ! บอสเรียกเธอกับฉันไปพบ น่าจะคุยเรื่องงานนั่นแหละ” มานากะเอามือดันหน้าของเขาออก พูดเสียงดุๆให้เจ้าหมาหงอยงี้ดไปเลย ซึ่งก็ดูเหมือนวาตานาเบะจะไม่หยุดแค่หงอย เขาจับมือของชิดะมาจูบลงที่หลังมือเบาๆพร้อมช้อนตามอง

          เอาอีกแล้ว จูบมืออีกแล้ว…

          “นี่! ทำอะไร! บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าทำแบบนี้ ถ้าคนอื่นเห็นทำไงเล่า! เธอนี่มัน!…”

          “โอเค ไม่แกล้งมานากะแล้วก็ได้ ไปกันเถอะ ป่ะ”

          “ไปไหน?”

          “ก็ไปพบบอสไง”

          “……..”

          วาตานาเบะที่เห็นชิดะเงียบไปทั้งๆที่ยังไม่ปล่อยมือเธอก็แอบกระวนกระวายใจ ทำไมถึงเงียบล่ะ แค่ไปพบบอสเอง? แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป มือแตะแก้มหล่อนเบาๆ พูดย้ำประโยคของตัวเองอีกครั้งว่าให้ไปพบบอส มานากะถึงมีปฏิกิริยาตอบกลับมา เธอพยักหน้าเบาๆ แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ลุกออกจากเก้าอี้นั้นก็มีเสียงเรียกดังมาจากทางประตู

          “รุ่นพี่วาตานาเบะคะบอสเรียกพบคะ—”

          ทำไมถึงจับมือกับรุ่นพี่ชิดะล่ะ…

          เค้าเป็นเพื่อนสนิทกันสินะ

          เหรอ แล้วที่ผ่านมา ทำไมถึง…

          “พวกรุ่นพี่นี่สนิทกันดีนะคะ ดีจังน๊า มีเพื่อนสนิททำงานที่เดียวกันแบบนี้เนี่ย”

          “!!! / !!!” มือที่เกาะกุมกันของทั้งคู่รีบปล่อยออกทันที ทำเหมือนว่าไม่ได้จับมือกันก่อนหน้านี้แล้วเลื่อนเก้าอี้ออกห่าง กลัวว่าจะโดนจับได้

          “ฉันกับรุ่นพี่ฮาบุก็ถูกบอสเรียกพบด้วยค่ะ อ่ะ! มาโน่นแล้ว” โคบายาชิยิ้ม แต่ดูยังไงๆมันก็ฝืนยิ้มชัดๆ เธอชี้ไปยังจุดที่ร่างสูงโปร่งกำลังเดินมา

          “หืม? คุยอะไรกันอยู่เหรอ” มิซุโฮะที่เพิ่งเดินเข้ามาสบทบถามเสียงเนิบๆ คิ้วของหล่อนเลิกขึ้น หันมามองโคบายาชิเป็นเชิงถามเพราะดูท่าน่าจะถามสองคนที่นั่งอยู่ในห้องไม่ค่อยได้

          “ทั่วๆไปแหละ ไงฮาบุจัง ไม่ค่อยแวะมาทางนี้เลย”

          “อา แหะๆ พึ่งปิดโครงการล่าสุดไปน่ะ ค่อนข้างหัวหมุนเลยล่ะ” ฮาบุหัวเราะแห้งๆ

          “งั้นเรารีบไปกันเถอะเดี๋ยวบอสรอนาน”

          .

          .

          .

          “มานากะวันนี้กลับด้วยกันนะ”

          “อืม…” ชิดะตอบรับเบาๆ เดินไปยังลานจอดรถพร้อมๆกับวาตานาเบะ หลังออกมาจากห้องบอสแล้วเธอก็มีอาการแบบนี้ยันเลิกงาน ริสะนึกห่วงอยู่ไม่น้อยว่าานากะไม่สบายหรือเปล่า?

          “วันนี้เธออยากกินอะไร?”

          “อืม..”

          “มานากะ…” คนผมสั้นประบ่าหันกลับมาโบกมืออยู่ข้างหน้ามานากะ แต่เหมือนหญิงสาวผมสีอ่อนจะไม่ได้สนใจเลย เธอกำลังเหม่อลอยอยู่ในห้วงภวังค์ของตัวเอง

          “…….”

          “มานากะ” ริสะเรียกอีกครั้ง

          “……” และก็ไม่ได้รับการตอบกลับเช่นเคย

          “มานากะใจลอยเกินไปแล้ว! อยากถูกลงโทษเหรอ?” สุดท้ายก็ต้องใช้ไม้นี้จนได้..

          “ห๊ะ! อื้มมม” มานากะสะดุ้งตัว หล่อนหันมามองวาตานาเบะและถูกช่วงชิงริมฝีปากไปอย่างรวดเร็ว เธอแอบเห็นสีหน้าแววตาน้อยใจจากคนที่กำลังจูบเธออยู่ด้วย..แต่ก็แค่แว้บเดียวเท่านั้น

          “อืม พอ พอแล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นนะ!”

          “ในรถไม่มีใครเห็นหรอก” เขาพูดเบาๆหลังถอนริมฝีปากออกมาแล้ว แววตาดูอ่อนลงจากก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัดก่อนถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย

          “มานากะเป็นอะไรมั้ย วันนี้เหม่อทั้งวันเลย ไม่สบายรึเปล่า?”

          “เปล่าหรอก ฉันแค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ”

          “เรื่องของคุณอากาเนะเหรอ?”

          “อืม แล้วริสะล่ะ ริสะดูไม่ตกใจเลยนะเรื่องที่เราต้องร่วมโครงการออกแบบบ้านให้ลูกสาวท่านสุไกน่ะ เธอจะไม่เป็นไรเหรอ”

          “ฉันก็เจ็บปวดนะ แต่ฉันคงทำอะไรไม่ได้หรอก จะให้ทำยังไงล่ะ? ฉันก็แค่คนธรรมดา..”

          “…….”

          “โอ๋ๆ อย่าเศร้าไปเลยนะ ไหนริสะว่าเผื่อใจไว้แล้วไง”

          “อืม แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรมากหรอก อย่างน้อยตอนนี้ก็ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว”

          “ทำยังไงถึงจะลืมๆเค้าไปได้ล่ะ? ต้องใช่เวลามากกว่านี้ใช่มั้ย”

          “อืม ไม่ก็มีคนใหม่แบบนั้นล่ะมั้ง…”

          “…….”

          มีคนใหม่งั้นหรอ… มานากะคิดใจใจ

          วาตานาเบะไม่ได้บอกชิดะว่าที่กลับด้วยกันนั้นจะกลับไปบ้านใคร ผลที่ได้ก็คือทั้งคู่มาโผล่ที่คอนโดของริสะ(แต่เป็นรถมานากะ) เขาวนรถขึ้นไปจอดบนๆหน่อยจะได้ไม่ต้องเดินเยอะ เพราะมานากะยังปวดขาอยู่หน่อยๆเลยไม่อยากให้เดินมาก

          “สรุปวันนี้มานากะอยากกินอะไร?”

          “อะไรก็ได้..ริสะทำมาเถอะ” เธอเคยมาที่คอนโดของริสะแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ก็พอจะจำได้ว่าตอนมาที่นี่จะมีแมวอยู่สี่ตัวแต่ตอนนี้ในห้องกลับเงียบสนิท ไม่มีเสียงเงี้ยวง้าวของเจ้าเหมียวทั้งหลายอยู่เลย

          “เขาเอาแมวไปด้วยหรอ?” มานากะหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟานุ่ม วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะเตี้ยๆข้างหน้า

          “ใช่ คุณเซบาสเบียนมารับไปหมดแล้ว”

          “เห ถึงว่าห้องดูโล่งกว่าครั้งที่แล้วเยอะเลย อยู่คนเดียวแบบนี้ไม่เหงาเหรอ”

          “…….” วาตานาเบะไม่ได้ตอบ แต่แววตาของเขาไหววูบ ถึงจะเพียงไม่นานแต่ชิดะก็เห็น ริสะวางของเอาไว้บนโต๊ะแล้วเดินหายไปในห้องครัว คาดว่าคงไปทำข้าวเย็น

          “….” และก็เป็นตัวชิดะเองที่เงียบไปด้วยพอเขาไม่อยู่ ไม่มีคนชวนคุยแล้วในหัวก็เริ่มขึ้นฟุ้งซ่านอีกครั้ง เรื่องของโมริยะกลับเข้ามาวนเวียนในหัว กระทั่งริสะทำดีกับเธอขนาดนี้แล้วยังตัดใจจากอากาเนะไม่ได้.. ไม่รู้ว่าจะโทษตัวเองยังไงดี

          นั่นทำให้มานากะคิดถึงคำพูดของวาตานาเบะ ‘มีคนใหม่’ พูดง่าย แต่มันทำยาก ตัดใจเธอยังตัดไม่ได้ แล้วนี่จะให้ไปมีคนใหม่ ยากพอๆกับงมเข็มในมหาสมุทรนั่นแหละ หล่อนถอนหายใจเบาๆ หยิบสมาร์ทโฟนคู่ใจมาเช็คนู่นเช็คนี่ไปเรื่อยด้วยความเบื่อหน่าย เมื่อไหร่ริสะจะกลับมา..

หลังจากวันนั้นมาประมาณสองวัน ชิดะก็เหมือนจะติดริสะมากขึ้น ปากก็ไล่เข้าให้อยู่ห่างๆเพราะกลัวจะมีคนจับได้ ทว่าพอในระแวกนั้นไม่มีใครอยู่ด้วยเธอก็มักจะตัวติดกับวาตานาเบะบ่อยๆ ไม่รู้ทำไม อยู่ใกล้ๆเขาแล้วรู้สึกสบายใจ หรือเพราะว่ามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันไปแล้ว??

          เห้อ…ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ


          “พ่ออยากให้หนูไปเจอเค้—”

          “ไม่! หนูไม่ไปค่ะ”

          “อากาเนะ ลูกก็รู้ว่าลูกควรทำอะไร”

          “แค่หนูต้องเลิกกับมานากะมันก็มากพอแล้ว นี่ผ่านไปกี่วันเองพ่อจะให้หนูไปเจอยัยนั่นน่ะเหรอคะ! ไม่! อย่ามาบังคับหนู อย่างน้อยก็ให้เวลาหนูก่อน ฮึก” อากาเนะกระชากเสียง พยายามหลบหน้าหลบตาผู้เป็นพ่อเต็มที่ หล่อนปาดน้ำตาป้อยๆ ร้องไห้เป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้

          “ลูกจะแต่งงานในสามเดือนข้างหน้านี้แล้วนะ แต่ลูกยังไม่เคยเห็นเจ้าสาวของตัวเองเลยด้วยซ้ำ อาเกเนะ อย่าทำตัวเป็นเด็กแบบนี้!”

          “ไม่ หนูไม่อยากแต่งงานกับใครนอกจากมานากะ!”

          “เลิกงอแงได้แล้ว ไปแต่งตัวซะ พ่อให้เวลาสิบนาที พ่อจะไปรอที่รถ” ชายสูงวัยว่าแบบนั้นก่อนจะเดินออกไปจากห้อง สีหน้าของเขาเคร่งเครียดไม่ได้ต่างจากผู้เป็นภรรยาที่กำลังยืนรออยู่นอกห้องของลูกสาว

          “…..”

          “อากาเนะ แต่งตัวเถอะลูก” คุณนายโมริยะพูดด้วยน้ำเสียงออกจะติดสงสารอยู่ไม่น้อย หล่อนค่อยๆปิดประตูห้องของอากาเนะลงอย่างแผ่วเบาแล้วเดินตามสามีออกไป

          .

          .

          .

          สุไกกำลังนั่งรออยู่ในห้องอาหารของโรงแรมหรู หน้าตาของหล่อนค่อนข้างที่จะบูดบึ้ง ถึงตอนนี้เธอจะนั่งหลังตรงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างวางมาดก็เถอะ เพราะไม่รู้ว่าเวลาไหนคนที่เป็นว่าที่สามีจะเข้ามาในห้องนี้

          “เหอะ คนไม่ตรงเวลา คนแบบนี้น่ะเหรอคือคนที่ท่านพ่อเลือก”

          “…….”

          คิดถึงริสะ…

          หญิงสาวถอนหายใจ ตอนนี้เธอคิดถึงวาตานาเบะจะตายแล้ว ปกติไม่เคยห่างเขาถึงสองอาทิตย์ มากสุดก็อาทิตย์กว่าๆเพื่อไม่ให้ท่านพ่อกับท่านแม่ของเธอผิดสังเกต แต่ดูตอนนี้สิ ทั้งถูกกีดกันไม่ให้เจอกัน แถมริสะยังไม่มีทีท่าว่าจะติดต่อมาเลย

          เขายอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?

          “คุณหนูครับ คุณหนูโมริยะมาแล้วครับ”

          “ค่ะ…” ยูกะแอบชักสีหน้าเล็กน้อยตอนที่คุณเซบาสเตียนเข้ามาบอก ไม่สบอารมณ์กับการพบเจอกันครั้งนี้สุดๆ

          “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ มันจะเสียมารยาทกับแขกนะครับ คุณหนูควรยิ้มนะครับ”

          “หนูไม่มีอารมณ์อยากยิ้มเลยค่ะคุณเซบาสเตียน”

          “แต่ว่า… เฮ้อ… งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ทานอาหารให้อร่อยนะครับ”

          “ค่ะ…”

          หลังสุไกพูดจบ เซบาสเตียนก็หันหลังเดินออกไป ระหว่างทางเขาเดินสวนกับโมริยะที่กำลังจะเดินเข้าไปในห้องพอดี พ่อบ้านลอบถอนหายใจ เขาจำคุณหนูโมริยะได้ดีเพราะเมื่อตอนคุณหนูยูกะของเขายังเด็กๆก็มีคุณหนูโมริยะนี่แหละเป็นเพื่อนเล่นด้วย ทว่าวันนี้ทั้งสองกลับทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้า เซบาสเตียนที่คอยเฝ้ามองเด็กสาวทั้งสองมาตลอดอดจะรู้สึกเศร้าใจไม่ได้

ทางด้านโมริยะ หล่อนกำลังย่างก้าวเดินไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามของสุไก ดวงตาดุคอยสังเกตุหญิงสาวคนนี้ตั้งแต่เดินเข้าห้องมา เธอคุ้นหน้าคุ้นตากับคุณหนูสุไกอย่างไม่น่าเป็นไปได้

          ทำไมกัน..

          “สวัสดีค่ะคุณสุไก ขอโทษที่ดิฉันมาสายนะคะ”

          “ไม่เป็นไรค่ะ นั่งเถอะค่ะ เราจะได้ทานอาหารกัน”

          เป็นประโยคทักทัยเพียงประโยคเดียวเท่านั้นสำหรับทั้งสองคน โมริยะนั่งหลังตรงอย่างเกร็งๆเพราะความไม่คุ้นเคย แต่รอไม่นานนักอาหารค่อยๆทยอยมาเสิร์ฟ นั่นก็พอที่จะเป็นสาเหตุให้อากาเนะก้มหน้าก้มตากินอาหารแทนการนั่งมองโต๊ะได้อยู่

          “เอ่อ..คุณโมริยะคะ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่าคะ?”

          “อืม..นั่นสิคะ ฉันก็รู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเจอคุณที่ไหนมาก่อน”

          “‘งั้นเหรอคะ..เอ่อ..ที่จริงแล้วเรื่องแต่งงานน่ะ ฉันไม่ได้เต็มใจหรอกนะคะ”

          “ฉันเข้าใจค่ะ ฉันเองก็ถูกบังคับมาเหมือนกัน”

          “……”

          “เราควรจะทำยังไงดีเหรอคะ เราไม่มีทางเลือกจริงๆเหรอ…”

          “เรื่องนี้ทางผู้ใหญ่คุยกันเองโดยไม่ปรึกษาพวกเราเลยค่ะ แย่มาก” เป็นครั้งแรกที่โมริยะเงยหน้าขึ้นมาสบตาสุไก มือของหล่อนกำช้อนส้อมแน่นอย่างไม่รู้ตัว อาจเพราะอารมณ์โกรธและไม่พอใจมันกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง

          “ฉันก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะคะ แต่ฉันคงขัดใจท่านพ่อไม่ได้หรอกค่ะ”

          คนทั้งคู่เหมือนจะหยุดการทานอาหารร่วมกันในครั้งนี้ไปแล้วเมื่อต่างฝ่ายต่างเริ่มพูดเรื่องของตัวเองออกมา และดูเหมือนว่าพวกเธอจะมีความคิดที่คล้ายๆกันอยู่หลายอย่างทีเดียว(อยากยกเลิกงานแต่งเป็นต้น)

          “แล้วคุณจะ..เอ่อ..แต่งงาน..กับฉันไหมคะ?”

          “ฉันคิดวิธีที่จะล้มงานแต่งงานไม่ออกจริงๆค่ะ มันยากเกินกว่าความสามารถของพวกเรา และคิดว่าทางพวกผู้ใหญ่เองก็คงไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นง่ายๆหรอกค่ะ” โมริยะตอบเสียงเรียบๆ แต่เหมือนว่าหล่อนจะตอบไม่ตรงคำถามทำให้สุไกถามย้ำขึ้นมาอีกรอบแทน

          “งั้นแสดงว่าคุณยอมแต่งงานกับฉันเหรอคะ”

          “เอ่อ..จะว่าไงดีล่ะ ก็คงใช่แหละค่ะ…”

          “ถ้าอย่างนั้น เอาแบบนี้ไหมคะ เราแต่งงานกันแล้วค่อยหย่ากันก็ได้”

          “จะดีเหรอคะ พวกเค้าไม่ได้จับตาดูเราอยู่เหรอ?”

          “อา..นั่นสินะคะ”

          “……”

          “เฮ้อ..”

          “เอ..แต่ถ้าทำเหมือนทะเลาะกัน หรือเข้ากันไม่ได้จริงๆ เค้าอาจจะยอมให้หย่าก็ได้นะคะ” เพราะว่าพ่อก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับคุณท่านสุไกแล้ว แถมท่านก็ไม่ได้บอกว่าหย่าไม่ได้นี่นา?

          “อืม..น่าสนใจอยู่นะคะ”

          ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีล่ะนะ…

          .

          .

          .

          .

          .

          นี่ก็ผ่านไปได้ประมาณสองอาทิตย์แล้ว ทั้งโมริยะและสุไก ทั้งคู่ถูกกักบริเวณ หรือถ้ามีธุระต้องออกไปข้างนอกจริงๆก็มักจะมีการ์ดตามออกไปด้วย(แต่ของยูกะจะเป็นเซบาสเตียนที่คอยตามติดเหมือนเงา) หญิงสาวทั้งสองคนรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อยทีเดียว ทำอะไรก็ทำได้ไม่เต็มที่

ทุกๆอาทิตย์หญิงสาวทั้งสองต้องได้เจอกันอย่างน้อยสามจากเจ็ดวัน แน่นอนว่าเป็นเพราะทางผู้ใหญ่จัดเวลาเอาไว้ให้ จะได้สนิทสนมกันเร็วมากขึ้น แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเสียเท่าไหร่ ระยะห่างของทั้งคู่ยังเกือบเท่าเดิมอยู่ มีแค่การพูดคุยกันมากขึ้นเท่านั้นเอง

          และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ทั้งสุไกและโมริยะต้องมาเจอกัน

          “อากาเนะถ้าไปเดทกัน ลูกต้องดูแลคุณหนูสุไกเข้าใจมั้ย”

          “เธอโตแล้วนะคะทำไมหนูจะต้องดูแลเธอด้วย”

          “ไม่รู้แหละ นี่คือคำสั่ง อย่าทำให้ตระกูลโมริยะเสียชื่อล่ะ”

          “แต่หนู—”

          “ไม่มีแต่ ทำตัวดีๆด้วย แล้วก็ห้ามหนี พ่อจับตาดูลูกอยู่ เข้าใจนะ”

          “……”

          นึกถึงคำสั่งของพ่อแล้วอากาเนะก็ยังหงุดหงิดไม่หาย ทำไมเธอต้องมาคอยตามดูแลคุณหนูสุไกที่อายุมากกว่าเธอตั้งสามสี่ปีล่ะ? ยังไงทางนั้นก็ต้องดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว ถึงแม้เวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้จะทำให้รู้อะไรเกี่ยวกับคุณหนูสุไกมากขึ้นกว่าเก่าก็เถอะนะ

ตอนนี้ทั้งโมริยะและสุไกรู้อยู่แล้วว่าต่างฝ่ายต่างมีคนรู้ใจ แต่พวกเธอสองคนก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีนอกจากเล่นละครตบตาพวกผู้ใหญ่ไป แฟนสาวของพวกเธออย่างมานากะและริสะนั้นไม่สามารถติดต่อได้เพราะโดนครอบครัวของหญิงสาวทั้งสองคนกันเอาไว้หมดแล้ว

          “คุณหนูสุไกกินไอศกรีมมั้ยคะ ฉันจะไปซื้อให้” โมริยะถามขึ้น ถึงจะบอกว่ามาเดท แต่มันก็ไม่เหมือนเดทเท่าไหร่นัก พวกเธอเดินเว้นระยะห่างกันเล็กน้อย เหมือนเพื่อนสาวทั่วไปที่มาเที่ยวด้วยกันเสียมากกว่าคนรัก

          “อื้ม ขอบใจนะ”

          “คุณหนูชอบรสอะไรคะ?”

          “เอ่อ…สตรอว์เบอร์รีค่ะ”

          “งั้นรอสักครู่นะคะ”

          “ค่ะ”

          .

          .

          .

          “นี่ค่ะ” โมริยะยื่นไอศกรีมที่เจ้าตัวเพิ่งไปซื้อมาให้คู่เดท?ของหล่อนในวันนี้ อันที่จริงก็อยากจะป้อนอยู่หรอกเพราะคำพูดของพ่อที่ว่า ‘จับตามองอยู่’ แต่มาทำข้างอกมันน่าอายนี่นา!

          “ขอบคุณค่ะ”

          “คุณหนูสุไกคะ”

          “คะ?”

          “ฉันรู้สึกว่ามีคนกำลังตามพวกเราอยู่ค่ะ”

          “เอ๋!?” พอได้ยินอากาเนะพูดแบบนั้นเจ้าหล่อนก็รีบมองซ้ายมองขวาด้วยหน้าตาตื่นๆทันทีทำให้คู่หมั้นของเธอต้องรีบห้ามไม่ให้หันไปมอง

          “ชู่! อย่าเอ็ดไปสิคะ ฉันคิดว่าน่าจะคนของท่านสุไกนั่นแหละค่ะ”

          “ให้ตายสิ! ฉันไม่ชอบแบบนี้เลย แค่บังคับพวกเรามาเดทกันนี่มันก็มากเกินพอแล้วนะคะ นี่ยังจะส่งคนมาตามกันอีก ท่านพ่อนะท่านพ่อ”

          “ฉันคิดอะไรสนุกๆออกแล้วค่ะ”

          “อะไรเหรอคะ?”

          “ตามฉันมาค่ะ” สุไกถูกดึงไปตามแรงของโมริยะ หล่อนกระชับมือที่จับกับมือของอีกฝ่ายแน่น วิ่งตามไป สัมผัสอุ่นๆจากมือของอีกฝ่ายอดที่จะทำให้เธออดที่จะรู้สึกแปลกๆไม่ได้

          “อากาเนะจะพาฉันไปไหนเหรอคะ”

          “ห้องน้ำค่ะ”

          “เอ๋!?”

          “รับรองว่าคนพวกนั้นตามเราเข้ามาไม่ได้แน่นอนค่ะ คิก” พูดจบหญิงสาวตาคมก็หัวเราะคิกคัก สุไกได้แต่มองตาปริบๆก่อนที่จะมีภาพรอยยิ้มกว้างของเด็กหญิงผู้เป็นเพื่อนเล่นในวัยเยาว์ของเธอซ้อนทับขึ้นมาทำให้ยูกะชะงักไป

          “…..”

          ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับรอยยิ้มของเธอขนาดนี้นะ…

          “คุณหนูสุไกคะ?” โมริยะเรียกเธอเบาๆพร้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้ คงเพราะก่อนหน้านี้เรียกอยู่หลายรอบแล้วแต่อีกฝ่ายไม่รู้สึกตัวถึงต้องขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆ สุไกที่รู้สึกตัวแล้วถอยผงะออกมาเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้างขึ้น เธอจำได้แล้ว

          อากาเนะ…อากาเนะ.

          ใช่ เธอจริงๆด้วย ฉันจำได้แล้ว

          “เอ๋? คุณหนูสุไก กอดฉันทะ ทำไมคะ…” โมริยะทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ๆคุณหนูสุไกก็โผเข้ามากอดเธอเอาไว้เสียแน่น ดีที่ว่าตอนนี้ในห้องน้ำมีแค่พวกหล่อนสองคน แม้ว่าการกอดมันจะไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร แต่สำหรับอากาเนะที่ไม่ได้สนิทกับยูกะมากถึงขั้นนั้นก็ถือว่าสิ่งที่หญิงสาวอีกคนกำลังทำอยู่น่าตกใจไม่น้อยทีเดียว ไอศรีมสตรอว์เบอร์รีที่เธอเป็นคนซื้อให้ถูกปล่อยทิ้งลงพื้นก่อนที่มันจะค่อยๆละลายลงทีละเล็กทีละน้อยตามระยะเวลาที่สุไกกอดหล่อนเอาไว้

          “อากาเนะจัง..” หล่อนพูดเสียงแผ่วเบา ซุกหน้าลงกับบ่าของคนอายุน้อยกว่า คนถูกเรียกชื่อก็ได้แต่ทำหน้าตาเหรอหรา อากาเนะจัง? ราวกับมีเสียงเรียกชื่อนี้จากอดีตอันแสนไกล โมริยะเอื้อมมือไปกอด ลูบหลังอีกฝ่ายเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงสะอื้นจากคุณหนูของเธอ

          “เอ่อ…ขอโทษนะคะคุณหนู ฉันทำอะไรให้คุณหนูไม่พอใจรึเปล่าคะ?”

          “ปะ…เปล่าค่ะ ฉันแค่ ฮึก…”

          “เอ่อ…อย่าร้องเลยนะคะ เป็นอะไรไปคะ บอกฉันได้มั้ย”

          “อากาเนะจังจำฉันไม่ได้เหรอ ใจร้าย ลืมกันได้ยังไงคะ?”

          “หา จำ… หมายถึงคุณเหรอคะ?” สุไกผละตัวออกมา มองหน้าโมริยะเล็กน้อย เหมือนว่าอีกคนจะจำเธอไม่ได้จริงๆ หรือว่าเธอควรจะเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวจากฉันเป็นพี่? มันจะทำให้อากาเนะจำได้หรือเปล่านะ?….

          “อากาเนะจังจำพี่ไม่ได้เหรอคะ” ครั้นแล้วเธอก็ลองเปลี่ยนสรรพนามตามที่ตัวเองคิด

          “….”

          “ลองคิดดูดีๆสิคะ”

          พี่…งั้นเหรอ รู้สึกคุ้นจัง…

          กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มของคุณหนูเหมือนเด็กน้อยจังนะ

          ทำเอาฉันคิดถึงเพื่อนสมัยเด็กเลย…

          เพื่อนสมัยเด็ก…

          เอ๊ะ!

          หรือว่า!?

          “ยูกะ!? คุณคือยูกะเหรอ!!!”

          “อื้ม”

          “หา เรื่องจริงเหรอคะ นี่คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย”

          “ฉันจำรอยยิ้มของอากาเนะได้นะ อากาเนะจำได้แล้วสินะ…”

          “ระ..รอยยิ้ม…”

          “แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าพวกผู้ใหญ่จะอยากให้เราแต่งงานกัน…”

          “เอ่อ…นั่นสิ ถึงจะวางใจที่เป็นยูกะก็จริง แต่ว่าเรา…” แต่ว่าเราไม่ได้คิดอะไรต่อกันเลยนี่นา..

          ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนอากาเนะก็คงเลือกที่จะตกลงแต่งงานกับยูกะอย่างไม่ลังเล ในเมื่อหล่อนเป็น ‘รักแรก’ ของเธอนี่นา.. ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว เธอตัดใจตัวเองไปตั้งแต่วันที่พ่อมาบอกว่าจะย้ายบ้านออกไป ตอนนั้นเธอรู้อยู่แล้วว่ายูกะเห็นตัวเองเป็นแค่น้องสาวหรือเพื่อนสมัยเด็กคนนึงเท่านั้นเอง..

          “ดูเหมือนพวกเค้าจะไม่อยู่ตรงนี้แล้วนะคะ เราออกไปกันเถอะค่ะ”

          “ต่อไปอากาเนะเรียกฉันว่ายูกะได้มั้ยคะ”

          “เอ๋…แต่ว่า…”

          “เถอะนะ ทีตอนเด็กๆยังเรียกพี่ยู— อื้ม” ยังไม่ทันที่ยูกะจะพูดจบ มือเรียวของโมริยะนั้นก็ถูกยกขึ้นมาปิดปากของสุไกเอาไว้เสียก่อน ความเจ้าอารมณ์ของเธอไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่เด็ก หัวคิ้วสีเข้มนั่นกดลงเล็กน้อย จากนั้นถึงเอ่ยปากพูด

          “โอเค เข้าใจแล้ว แค่เรียกยูกะก็พอใจแล้วใช่มั้ย”

          “อื้ม”

          “ไม่คิดว่าอะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้เลย เธอดูไม่เหมือน เอ่อ ตอนเป็นเด็ก”

          “อากาเนะก็ด้วย แล้วจู่ๆก็หายไป ฉันเสียใจนะรู้มั้ย เหงามากๆเลยล่ะ” คุณหนูพูดบ่นออกมาเบาๆ น้ำเสียงดูสั่นๆ มือของเธอเลื่อนไปจับมือของอากาเนะเอาไว้ พอจำทุกอย่างได้ความไว้วางใจก็มีมากขึ้นเยอะ

          “ขอโทษ ฉันก็ไม่รู้ว่าพ่อจะย้ายบ้านนี่นา มันกะทันหัน ขอโทษนะ ฉันเองก็เหงามากเหมือนกัน”

          “ยูกะอยากกินไอศกรีมอีกมั้ย เมื่อกี้ก็ตกไปซะแล้ว เอามั้ย ฉันจะซื้อให้”

          “อา..จริงสิ ขอโทษนะ เกรงใจจัง ฉันดันเผลอปล่อยตกพื้น…”

          “ไม่เป็นไร งั้นรอแป๊บนะ เดี๋ยวฉันมา”

          “ฉันไปด้วยได้มั้ย ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว”

          “เห…อืม มาสิ”

          .

          .

          .

          “ยูกะจะกินอะไร รสเดิมเหรอ?”

          “อื้ม”

          “งั้นเอาแบบนี้ 2 ค่ะ” หญิงสาวผมสีอ่อนชี้นิ้วไปยังหลังกระจกใสหน้าร้านไอศครีม

          “อ่ะ! นี่ยูกะเอาไปก่อนเลย”

          “ไม่เป็นไร อากาเนะเอาไปก่อนสิ”

          “เอาไปเถอะน่า ฉันรออีกอันก็ได้” สุไกมีสีหน้าหนักใจอยู่ไม่น้อย เพราะเธอเกรงใจอากาเนะน่ะสิ..

          “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอกยูกะ”

          สุดท้ายแล้วสุไกก็ต้องจำใจรับไปก่อน หล่อนยืนรอโมริยะอยู่ไม่นานทั้งสองคนถึงได้ออกเดินเล่นเหมือนเช่นก่อนหน้า ดีที่คราวนี้โมริยะไม่รู้สึกถึงสายตาของพวกการ์ดแล้ว พอคนพวกนั้นตามมาจับตามองทำให้เธอไม่สามารถทำอะไรที่เป็นตัวเองได้เท่าที่ควร

          “ยูกะอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย ทำไมยังกินไอศกรีมเลอะอยู่แบบนี้ล่ะ”

          “เอ๋? ตรงไหนหรอ” สุไกแตะๆนิ้วไปแถวๆมุมปาก แต่โมริยะกลับสายหน้า

          “ไม่ใช่ตรงนั้น มา ฉันเช็ดให้” โมริยะละเมียดใช้นิ้วโป้งค่อยๆเช็ดไอศครีมที่เลอะอยู่ตรงใกล้ๆมุมปากอีกฝั่งที่ยูกะไม่ได้แตะลงไป

          “…..”

          “นึกถึงตอนเป็นเด็กเลยนะ”

          “ทำไมล่ะ?”

          “ก็…ฉันเองก็เคยเช็ดปากให้อากาเนะตอนกินอะไรเลอะเทอะนี่”

          “หา? ฉันไม่เคยกินอะไรเลอะเทอะสักหน่อย เธอจำผิดแล้วล่ะ”

          “ไม่ต้องเขินหรอก”

          “ไม่ได้เขิน!”

          “ก็เธอเขินอยู่นี่ เขินชัดๆ หน้าแดงด้วย”

          “หุบปาก! แล้วก็กินๆไปเถอะน่า พูดมากจริงยูกะเนี่ย” หล่อนเผลอขึ้นเสียงหน่อยๆ พูดไปตามอารมณ์ตัวเองก่อนจะนึกได้ว่าไม่ควรพูดแบบนี้กับเขา เพราะตอนนี้เป็นถึงว่าที่ประธานบริษัทนี่นา แถมเป็นคู่หมั้นของเธอด้วย..

          “งั้นไปเดินเล่นกันเถอะ ตอนนี้ไม่ค่อยมีคนแล้ว ค่อยยังชั่ว” ตาสีเข้มของอากาเนะเลือกที่จะเลื่อนไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาหงอยๆของยูกะ เขายื่นมือไปกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ

          “นึกถึงตอนเป็นเด็กเลยเนอะ ที่เรามาเดินเล่นด้วยกันบ่อยๆแบบนี้”

          “นั่นสิ ตอนนั้นฉันจำได้ว่าเกือบถูกคุณพ่อตีแหนะ เพราะกลับบ้านค่ำ ดีนะยูกะช่วยพูดน่ะ”

          “ที่จริงมันยังไม่มืดเลยนะ แต่อากาเนะนั่นแหละหนีไปเที่ยวเถลไถลเองไม่ใช่เหรอ”

          “อ้าว…ก็มัน…”

          ถึงกับจนคำพูด..

          คนอายุมากกว่าอมยิ้มเมื่ออีกฝ่ายหาคำมาเถียงไม่ได้ อากาเนะก็ยังคงเป็นอากาเนะ ไม่เคยเถียงเธอชนะซักครั้ง ถึงจะเป็นเด็กอารมณ์ร้อนแค่ไหน ยังไงยูกะก็รักและเอ็นดูเธออยู่เสมอ ทั้งในฐานะน้องสาวและเพื่อนสมัยเด็ก

          แต่เธอยังไม่มั่นใจ..ว่าจะรักอากาเนะในฐานะคนรักได้หรือเปล่า

          “อากาเนะน่ะนะ ก็ยังเป็นอากาเนะนั่นแหละ ยังเป็นเด็กน้อยสำหรับฉันเหมือนเดิมเหมือนเมื่อก่อนเลย”

          “พูดจาเหมือนคนแก่เลย…”

          “นี่ว่าฉันแก่หรอ?”

          “เปล่าซักหน่อย”

          “นี่แหน่ะ!” พออากาเนะเผลอ ยูกะก็ใช้โอกาสนี้ยีหัวหล่อนด้วยความหมั่นเขี้ยว ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แถมพอเจอกันแล้วต่างฝ่ายต่างจำกันไม่ได้ด้วย!

          “อย่าสิยูกะ! ผมยุ่งหมดแล้ว”

          “เอ๋…แค่นี้เอง โกรธเหรอ? โอ๋ๆ ขอโทษนะ”

          “…..”

          สุไกค่อยๆสางผมสีอ่อนของอีกฝ่ายใหม่ให้เรียบร้อย เกลี่ยปอยผมที่อยู่ไม่เป็นที่ไม่เป็นทางขึ้นทัดหู จังหวะนั้นเองที่ดวงตาสีเข้มทั้งสองคู่ได้สบกัน ด้วยส่วนสูงที่เท่ากันพอดี ทำให้ไม่ต้องมีใครคนใดคนนึงต้องก้มลงให้เมื่อยคอ มือเรียวของคนตาคมค่อยๆรั้งเอวหญิงสาวอีกคนเข้ามาใกล้ขึ้น ที่ๆพวกหล่อนยืนคุยกันอยู่แทบไม่มีผู้คนอยู่เลย ทำให้โมริยะสบโอกาส ทาบริมฝีปากลงบนที่เดียวกันเบาๆ

          “…..”

          “กลับกันเถอะ ยูกะ…”

          “อื้ม…”

Fiction

No Choice (M.A.R.Y.) : 03

– 03 : Dream? –

Manaka S. x Akane M. x Risa W. x Yuuka S.

ปกฟิค3


          หลังให้พนักงานช่วยหิ้วปีกเพื่อนสุดเมาทั้งสองคน..บวกบอสเพิ่มเป็นสามมาที่รถเรียบร้อยแล้ว ฟุยุกะกับโยเนะทานิอาสาขับไปส่งสองเกลอที่โดนหักอกในวันเดียวกันที่บ้านของมานากะ ส่วนบอสให้นอนแอ้งแม้งในรถไปก่อน ค่อยไปส่งทีหลัง ส่วนทางด้านสุซุโมโตะไม่ได้ตามมา หล่อนยังคงอี๋อ๋อดี๊ด๊าอยู่กับคุณโอดะ ลืมเรื่องที่โดนหักอกเมื่อหลายวันก่อนไปสนิท

          “นี่พวกเราต้องไปส่งริสะอีกคนใช่มั้ย?”

          “หา!? ยังต้องไปส่งริสะอีกหรอ ขี้เกียจแล้วอ่ะ คนละทางเลยนะแก คอนโดริสะน่ะ”

          “อ้าว แล้วจะทำไงล่ะ ปล่อยริสะนอนในรถหรอ”

          “จะบ้าหรอ ปล่อยนอนในรถได้ไงเล่า งั้นริสะนอนที่นี่แหละ มานากะอยู่บ้านคนเดียวนี่ ไม่น่ามีปัญหาอะไรนะ”

          “โห งั้นก็ต้องช่วยกันแบกเจ้ายักษ์ 2 คนนี้ขึ้นไปบนห้องนอนงั้นเหรอ ให้ตายสิ เราน่าจะขอคุณพนักงานมาช่วยด้วยนะ ลำบากชะมัด” โยเนะทานิบ่นกระปอดประแปด มุ่ยหน้าหน่อยๆ ถ้าคุริทาโร่มาด้วยยังพอให้มาช่วยได้ แต่นี่เหลือกันสองคน แถมบอสยังเมาแอ๋อยู่ในรถอีก

          “ช่วยไม่ได้นี่ ก็ใครใช้ให้อกหักทั้งคู่ล่ะ เนี่ย เมาเป็นหมาเลย แกเห็นมั้ย ฮ่าๆ พึ่งเคยเห็นเจ้าพวกนี้เมาขนาดนี้แฮะ ตลกชะมัด”

          “แอบถ่ายรูปไว้แบล็คเมล์ดีมั้ย?”

          “อย่าเลย สงสารพวกมัน แค่นี้ก็เสียใจมากพอแล้วแก”

          “โอเค งั้นมาช่วยกันแบกทีละคนให้มันจบๆไปเถอะ ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”

          “งั้นนับ 1 – 3 แล้วยกพร้อมกันนะ เอ้า! ฮึ๊บ!”

          .

          .

          .

          และในที่สุดพวกเธอทั้งสองคนก็แบกมานากะกับริสะขึ้นมาชั้นบนได้สำเร็จสักทีหลังจากพักกลางทางไปหลายรอบ ใครใช้ให้พวกนี้ตัวหนักขนาดนี้กัน! แถมยังตัวสูงอีก หนักไปสิ! ปกติเจ้าพวกนี้มักจะเป็นแรงงานคอยแบกเพื่อนคนอื่นที่เมามากกว่า แต่มารอบนี้กลับเป็นคนเมาเสียเอง มันถึงได้ลำบากเพื่อนคนอื่นทันที ต้องมาคอยรับหน้าที่แบกหามพวกล่ำๆสองคน..

          “อา…ปวดหัวแฮะ”

          “หือ…อากาเนะ… ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะ” มานากะค่อยๆลืมตาขึ้นมามองคนที่นอนอยู่ข้างกาย แต่แทนที่หล่อนจะเห็นเขาเป็นวาตานาเบะเพื่อนสนิท กลับเห็นเป็นโมริยะแทน อาจเป็นอาการเมาที่ยังไม่สร่าง

          “อากาเนะกลับมาหาเค้าแล้วเหรอ อากาเน๊~~~~”

          “หืม…ฉันง่วง อย่าซนน่ายูก่าาาา…”

          “อากาเน๊~~~~”

          “ไม่เอายูก่าาา มันดึกแล้วนะ”

          “ทำไมอากาเนะต้องดิ้นด้วยล่ะ ไม่คิดถึงเค้าหรอค๊าาาา”

          “ยูกะฉันมึนจาง ยะ อย่าจับตรง…นั้น… ยูกะทำอาราย…”

          “คิดถึงอากาเนะที่สุดเลย ไหนขอหอมหน่อย” ฟอดดดดด

          “ยูกะ อืม…”

          “อากาเนะจูบเค้าสิ จูบเค้า จูจุ๊บ~”

          “ยูกะวันนี้ฉันไม่ไหวจริงๆนะ นอนเถอะ” วาตานาเบะพลิกตัวหนี ดึงผ้าห่มมาคลุมโปงกันชิดะไว้

          “ทำไมถึงหนีเค้าล่ะ จะหนีเค้าไปอีกแล้วเหรอ ไม่เอาเค้าไม่เลิกกับอากาเนนะ! ม่ายยยยยย!!!!”

          “ยูกะ!!!! อยากถูกลงโทษใช่มั้ย หยุด!!!!”

          “ฮืออออ ทำไมอากาเนะจังต้องดุมานากะด้วยคะ มานากะรักอากาเนะจังนี่ ทำไมต้องทิ้งกันด้วย”

          “อะไร ร้องไห้ทำไม อย่าร้องนะ โอ๋ๆมานี่มา ยูกะฉันขอโทษ” วาตานาเบะดึงชิดะเข้ามากอด ลูบหัวลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆเพราะเสียงร้องไห้นั่นมันทำให้เธอรู้สึกผิดที่เผลอตวาดชิดะ(ที่คิดว่าเป็นยูกะของเธอ)รุนแรงเกินไปหน่อย

          “โอ๋ๆไม่ร้องนะคะคนดี ฉันไม่มีทางทิ้งยูกะหรอกยูกะก็รู้ ยูกะก็อย่าทิ้งฉันไปนะคะ”

          “เค้าจะทิ้งตัวเองได้ไง ตัวเองนั่นแหละที่จริงเค้าไป แล้วก็ติดต่อไม่ได้ ไปหาที่บ้านก็ไม่อยู่ ฮึก”

          “นี่ไง ตอนนี้ก็อยู่นี่แล้วไง ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง”

          “ฮืออออ อึก ฮึก แค่กๆ” ชิดะไอออกมา เริ่มพะอืดพะอม มือที่เลื้อยไปทั่วกำเสื้อของอีกฝ่ายแน่น

          “เป็นอะไรไปยูกะไม่สบายเหรอ ไหวมั้ย เดี๋ยวฉันมานะคะ รอนี่นะ” ริสะลูบใบหน้าของมานากะอย่างห่วงใย เธอมองภาพตรงหน้าไม่ค่อยชัด เพราะฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเข้าไปมันทำให้การมองเห็นของเธอผิดเพี้ยนไปหมด โลกเอียง เห็นภาพหมุนวนแบบที่ยากจะควบคุม เธอพยายามจะลุกจากเตียงอย่างทุลักทุเลแต่ยูกะ(มานากะ)กลับไม่ยอม กอดเธอไว้แน่น ทำไมถึงยูกะแรงเยอะขึ้นล่ะ แล้วจะลุกได้ยังไง

          แต่เดี๋ยวก่อน…ทำไมยูกะถึงผมสั้นล่ะ ยูกะรวบผมเหรอ?

          ช่างเถอะ… ยูกะไม่สบาย ต้องไปเอาน้ำกับยามาให้ยูกะ

          “ยูกะปล่อยก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันมา ไม่งอแงนะ…”

          “ไม่ ไม่ อย่าทิ้งมานากะไปนะคะ อย่าไปนะ” มานากะเริ่มน้ำตารื้นๆอีกแล้ว เพราะคิดว่าอากาเนะ(ริสะ)จะหนีเธอไปอีก เธอก็งอแงๆงุ้งงิ้งใส่อย่างเอาแต่ใจ รีบรั้งตัวอีกฝ่ายเข้ามาแนบชิดยิ่งกว่าเดิม กลิ่นของแอลกอฮอล์ตลบอวลไปทั่วทั้งห้อง ต้นเหตุของกลิ่นก็สองคนที่กำลังนัวเนียกันบนเตียงนี่แหละ

          “ยูกะ… อื้อ…เดี๋ยว…” ทำไมวันนี้ยูกะต่างจากเดิม เธอเป็นคนเริ่มก่อน ทั้งๆที่ปกติเธอจะเป็นคนโอนอ่อนตามสัมผัสของเขาแท้ๆ หรือไม่ก็จะเป็นฝ่ายร้องขอ เป็นฝ่ายชอบถูกกระทำมากกว่าเป็นคนกระทำเอง ยูกะ(มานากะ)ของเธอล็อคคอของเธอแน่นก่อนจะคร่อมทับตัวเธอ ยูกะจะอยู่ข้างบนเหรอ? เอ๋?? วันนี้ยูกะกินอะไรผิดสำแดงรึเปล่าเนี่ย???

          ชิดะเป็นฝ่ายจูบวาตาเบะก่อน จากเริ่มแรกที่แสนอ่อนโยนกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น เธอขาดสติเกินกว่าควบคุมตัวเองได้ ปกติเธอไม่เคยทำอะไรรุนแรงแบบนี้กับคนรักเลย แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะไม่เป็นแบบนั้น ไม่ได้ ฉันจะเสียอากาเนะไปไม่ได้ ฉันไม่ยอมหรอก เธอจะทิ้งฉันไปแบบนี้ไม่ได้นะ!

          “ยูกะ อ่ะ…” วาตานาเบะจูบตอบ จับข้อมือของอีกฝ่ายแน่น พลิกตัวกดอีกฝ่ายลงกับเตียง ตาที่พร่าเลือนของหล่อนหรี่ลง บีบข้อมือของชิดะจนเป็นรอยแดง แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากของมานากะก่อนจะกัดลงไปอย่างที่เขาชอบทำกับสุไก

          “อ่ะ…อากาเนะ อย่า…กัด” ริสะจูบไซร้ขบกัดบริเวณลำคอของมานากะจนปรากฎรอยแดงเป็นจ้ำๆ ไล้จูบลงมาจนถึงหัวไหล่ และค่อยๆแนบเขี้ยวคมที่มุมปากลงไปกัดจนไหล่มนของอีกฝ่ายเป็นรอยฟันคมๆของตัวเขาเอง มือกระชากเสื้อของคนที่อยู่ใต้ร่างออก ไม่สนว่ามันจะขาดหรือกระดุมหลุดอะไรทั้งนั้น

          “อา..กา..เนะ… ทำไมถึง อื้อ!” มานากะยังไม่ทันเอ่ยห้ามก็ถูกริมฝีปากของคนที่กระชากเสื้อเธอบดเบียดลงมาอีกรอบ ลิ้นอุ่นร้อนแทรกเข้ามาเกี่ยวกวัดกันอย่างรุกเร้า ทำไมอากาเนะจูบเก่งขนาดนี้ ฉันรู้สึกว่ามันแปลกๆนะ

          “อาส์ อย่ากัดแรงสิ ทำไมถึงกัดฉันล่ะ โอ้ย!” ชิดะจิกเล็บลงกับมือของตัวเอง จะยกก็ยกขึ้นไม่ได้เพราะถูกกดข้อมือเอาไว้จนแน่นเจ็บ เสียงหอบหายใจดังขึ้นมาเป็นระยะ ถึงปากจะบอกว่าอย่ากัด แต่พอลมหายใจร้อนรดลงบนต้นคอ เหมือนหล่อนจะเต็มใจที่จะเอียงคอให้เขากัดอย่างง่ายดาย

          “ยูกะ ยูกะ ครางชื่อฉันสิ”

          “หา!? ใครคือยูกะคะ พูดถึงใคร” จากที่กำลังเคลิ้มๆกับสัมผัสที่ได้รับ พอได้ยินชื่อแปลกหูที่มันไม่ควรหลุดมาจากปากของอากาเนะก็ทำให้ชิดะถึงกับชะงัก ดึงสติกลับมาโดยไว

          “ยูกะ…”

          “อากาเนะ…เดี๋ยว เดี๋ยวนี่มัน…”

          “ใครคืออากาเนะ!? เธอกล้าเรียกชื่อคนอื่นเวลาอยู่กับฉันเหรอ!?” หัวคิ้วของวาตานาเบะกดลง เสียงที่ใช้พูดเริ่มแข็งขึ้น ออกแรงบีบข้อมือของชิดะให้แรงขึ้น

          “อยากถูกลงโทษใช่มั้ยยูกะ ได้!!! ดื้อนักใช่มั้ย”

          “ฉะ ฉัน แค่ก ไม่..ใช่..แค่ก ยูกะ…”

          “……..” ริสะถึงกับชะงักการกระทำของตน เธอฟังไม่ผิดใช่มั้ย?..คนที่เธอสัมผัสอยู่นี้ไม่ใช่ยูกะงั้นเหรอ… บ้าน่า! นี่เธอก็มองเห็นยูกะอยู่นี่ไง อยู่ตรงหน้านี้เอง เดี๋ยวนี้หัดขัดขืนงั้นเหรอ ยูกะ!!

          “แฮ่กๆ” มานากะเริ่มได้สติ เพราะสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย เธอพยายามผลักคนที่อยู่ด้านบนออก ทว่ามือที่ยังถูกกดเอาไว้กับเตียงทำให้ทุกอย่างดูลำบากไปหมด ชิดะเผลอกัดริมฝีปากของตัวเอง ดวงตาที่เคยเห็นคนตรงหน้าเป็นอากาเนะเริ่มกลับมาเห็นภาพชัดๆอีกครั้ง

          “เดี๋ยว! ไม่ได้นะ เธอจะทำแบบนี้ไม่ได้นะริสะ!!!!”

          “อ่ะ!! อย่า!!!”

          “ริสะ!!! หยุด!!!”

          “ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ?”

          “ฉะ ฉันไม่ใช่แฟนเธอนะ!!!!”

          “หา…” ริสะหยุดการกระทำทันที หล่อนเผลอปล่อยข้อมือของมานากะเป็นอิสระ ยืดตัวขึ้นมานั่งจ้องใบหน้าของอีกฝ่าย แต่ยังคงคร่อมอีกฝ่ายอยู่เหมือนเดิม หรี่ตาลงมอง เหมือนจะเริ่มมีสติขึ้นมาหน่อย

          แต่ดูเหมือนจะรู้สึกตัวตอนนี้ มันก็สายไปเสียแล้ว

          “ออกไปนะ” ชิดะยกมือขึ้นผลักใบหน้าคนข้างบนที่จ้องมองเธอด้วยสายตางุนงงตาแทบไม่กระพริบ  วาตานาเบะยกมือขึ้นกุมหัว ยูกะไม่ได้ผมสั้นขนาดนี้ นี่คือใคร ฉันมึน โอ้ยปวดหัว..

          “ถ้าธะ เธอ ไม่ใช่ยูกะ เธอเป็น คะ ใคร”

          “ฉันมานากะ ออกไปนะริสะ”

          “……..”

          “จะบ้าเหรอ นี่พวกเราฝันเหรอ ไม่จริงน่า…”

          “ฉันก็ไม่รู้ นี่เราฝัน…เหรอ…”

          “มันจะเป็นไปได้ไง เราจะมานอนด้วยกันแบบนี้ได้ยังไงมานากะ…”

          “……”

          “ฉันก็ไม่รู้…”

          “แล้วทำไมฉันถึงฝันเห็นริสะแทนอากาเนะล่ะ อะไรเนี่ย” มานากะลูบใบหน้าของริสะอย่างแผ่วเบา ทำไมเธอถึงแตะต้องมันได้ล่ะ นี่มันเหมือนจริงเกินไปแล้ว เธอกำลังคิดถึงคนรักที่พึ่งบอกเลิกกันไปเมื่อตอนเย็นไม่ใช่เหรอ แต่กลับมาฝันถึงเพื่อนร่วมงานเนี่ยนะ นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย ไม่เข้าใจเลย

          “ใช่ ทำไมถึงไม่ใช่ยูกะล่ะ” ริสะนั่งนิ่งๆให้มานากะสัมผัสเธอ ในใจไม่มีความรู้สึกอยากขัดขืน หรือเพราะว่านี่เป็นความฝันกันนะ? มันถึงได้ไม่รู้สึกอยากต่อต้านอย่างที่ควรจะเป็น

          “มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่คือความฝัน ถ้าไม่ใช่ความฝันเราจะทำแบบนี้ได้เหรอ”

          “ทำไมถึงเหมือนจริงขนาดนี้ ฉันดื่มมากไปเหรอ คงเมาหนักมากเลยสินะ”

          “มานากะ ฉันสงสัย…” วาตานาเบะเริ่มขมวดคิ้วอีกรอบ ความรู้สึกแปลกๆที่เหมือนกับตอนอยู่กับยูกะมันตีรวนขึ้นมา ไม่น่าเป็นไปได้…

          “อะไร…”

          “อื๊อ! เดี๋ยว ริ..สะ..อื้ม…” ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยคดี ริมฝีปากของวาตานาเบะก็กดลงมาอีกรอบ รุนแรงเหมือนสัมผัสก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน

          “อืม จุ๊บ แฮ่กๆ ทำไมมันเหมือนจริงขนาดนี้ ความฝันอะไรเนี่ย ฉันดื่มอะไรเข้าไป!?” เหมือนริสะยังไม่พอใจ เธอคว้าร่างเพื่อนร่วมงานที่กำลังนั่งหน้ามุ่ยขมวดคิ้วมาจูบอีกครั้ง ฝ่ายนั้นทำหน้างงๆแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอีกตามเคย มานากะจูบเธอ!? นี่ยิ่งทำให้เธอสับสนมากขึ้นไปอีก! สรุปมันคือความฝันจริงๆใช่มั้ย เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงมานากะคงจะชก ไม่ก็คงตบเธอไปแล้ว!? แต่นี่กลับยอมง่ายๆเลย…

          รึเปล่า…?

          แต่รอแล้วรออีกมานากะก็ไม่มีทีท่าจะตบหรือชกเลย นี่มันจะไม่แปลกไปหน่อยหรอ? ฝันแน่ๆ…

          “ฉันไม่ควรทำแบบนี้…มันไม่ถูกต้อง…ยูกะจะเสียใจ..”

          “แล้วเราจะตื่นจากฝันประหลาดนี่ได้ยังไง อากาเนะ ฉันคิดถึงอากาเนะ…”

          “อากาเนะของเธอน่ะ ไม่มีอีกแล้ว”

          “หุบปาก! ยูกะของเธอก็ด้วย เค้าทิ้งเธอไปแล้ว…”

          “……”

          “เราก็ถูกทิ้งเหมือนกันนั่นแหละ หึ ไม่ต้องมาพูดดีหรอก”

          “ชิ!”

          “……”

          ระหว่างที่ความเงียบเริ่มโรยตัวลงมาทั่วทั้งห้องนอนของชิดะนั่นเอง เสียงเปาะแปะของเม็ดฝนที่หล่นลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืนก็เหมือนปลุกให้คนทั้งสองที่อยู่ในภวังค์เริ่มรู้สึกตัว วาตานาเบะหลุบตาลงมองใบหน้าของหญิงสาวอีกคน ยกยิ้มที่มุมปากอย่างขมขื่น

          ให้มันได้แบบนี้สิ..

          “ใส่เสื้อผ้าซะมานากะ เดี๋ยวจะไม่สบายนะ” เขาพูดเสียงอ่อนลง ขยับย้ายตัวเองลงไปนั่งข้างๆชิดะแทนที่จะคร่อมหล่อนอยู่แบบนั้น

          “มีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน!”

          “กะ ก็เธอ…”

          “หึ ตลกดีเนอะ ถูกแฟนทิ้งทั้งคู่แล้วยังมาฝันประหลาดต่อกันเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ได้อีก”

          “ฉันขอโทษนะ…ที่ล่วงเกินเธอ”

          “ริสะไม่ผิดหรอก ฉันเองก็ผิด…”

          “เธอรู้มั้ย ยูกะน่ะต้องแต่งงานกับลูกสาวของคนจากบ้านโมริยะ คุณเซบาสเตียนบอกฉัน เขาจะเป็นคนดีรึเปล่า จะรักยูกะกับแมวของยูกะได้เท่าฉันรึเปล่าก็ไม่รู้..” พูดถึงตรงนี้ริสะก็ซบหน้าลงกับเข่าของตัวเอง พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหล ถึงนี่จะเป็นฝัน แต่ก็เป็นฝันที่เหมือนจริงอย่างประหลาด

          “อย่าร้องนะ ฉันเข้าใจ ของฉันแย่กว่าอีก อากาเนะจังจู่ๆก็บอกเลิกฉันแบบไม่บอกเหตุผลด้วยซ้ำ”

          “หึ ทำเป็นมาปลอบฉัน เธอเองก็ร้องไห้อยู่แท้ๆ” นิ้วเรียวของวาตานาเบะเกลี่ยหยดน้ำตาออกจากใบหน้าของมานากะ ค่อยๆไล่ลบคราบน้ำตาของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

          “ริสะบอกว่าตระกูลโมริยะเหรอ ทำไมนามสกุลเหมือนอากาเนะจังเลย บังเอิญจัง…”

          “‘งั้นเหรอ ช่างมันเถอะ ยังไงเราก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”

          “ริสะจะตัดใจง่ายๆแบบนี้น่ะเหรอ ไม่สมกับเป็นริสะเลยนะ”

          “ฉันทำใจมานานแล้ว ยังไงฉันก็ไม่คู่ควรกับยูกะหรอก ฉันก็แค่…ฮึก…”

          “อย่าร้องสิ มันจะทำให้ฉันร้องไปด้วยนะ ฮึก…”

          สุดท้ายแล้วคนทั้งสองก็ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลไปเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรกันอีก จนกระทั่งฝนด้านนอกตกหนักยิ่งกว่าเก่า วาตานาเบะเงยหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตัวเอง เหม่อมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ตอนเธออยู่กับยูกะ หล่อนชอบเข้ามากอดแขน อ้อนอยากอยู่ด้วยเพราะกลัวเสียงฟ้าผ่า

          แต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว

          ส่วนทางด้านชิดะนั้น พอเห็นว่าฝนตกก็พาลจะนึกถึงตอนที่ตัวเองสะดุ้งกอดอากาเนะตอนฟ้าผ่าฟ้าแลบทุกที หากตอนที่ไม่มีอากาเนะอยู่ก็คงจะเอาหูฟังมาเสียบ เปิดเพลงดังๆ ทว่า..

          เธอไม่มีอากาเนะอยู่ข้างๆแล้ว ไม่ว่าจะตอนนี้ หรือในอนาคต

          “มานากะ…”

          “หืม?”

          “อยู่นิ่งๆแป๊บนะ”

          “……” วาตานาเบะใช้ทิชชูเช็ดน้ำตาให้ชิดะอย่างแผ่วเบา ดูท่าทางแล้วหล่อนร้องไห้หนักกว่าเธออีก ดูสิ..น้ำมูกย้อยหมดแล้วเนี่ย ฮ่าๆ โตขนาดนี้แล้วยังร้องไห้เป็นเด็กๆแบบนี้อีกเหรอ ไม่เคยคิดเลยว่ามานากะคนที่ร่าเริงและยิ้มง่ายกับทุกเรื่องเวลาเศร้าจะดูน่าสงสารขนาดนี้

          “ขอบคุณนะ เธอทำให้ฉันคิดถึงอากาเนะอีกแล้ว โธ่”

          “อ้าว!? อย่าไปคิดถึงเค้าสิ ตอนนี้เธออยู่กับฉันนะ”

          “หา!? พูดเหมือนฉันเป็นแฟนริสะเลยนะ จริงสิ พึ่งรู้นะว่าริสะเป็นคนที่เอสขนาดนี้น่ะ คิก”

          “……”

          “เงียบ แสดงว่าเรื่องจริง”

          “ปะ เปล่า พูดมากจริง เอ้า! สั่งน้ำมูกมาสิ ฉันจะได้เอาทิชชูนี่ทิ้ง”

          “……” ชิดะยอมทำตามที่อีกคนบอกแต่โดยดี แต่เธอไม่ยอมให้ริสะเอาไปทิ้ง หล่อนเป็นคนหยิบไปทิ้งเองเสียนี่

          พอกลับมานั่งบนเตียงๆข้างๆริสะแล้ว เหมือนใจมันเต้นตึกตักจนน่ารำคาญ อาจจะยิ่งกว่าตอนอยู่กับอากาเนะเสียอีก ชิดะไม่เข้าใจตัวเองเลยซักนิด มันอาจจะเป็นความลุ่มหลงเพียงชั่วขณะหนึ่งก็ได้ เพียงแค่เพราะเขามาทำดีด้วยในตอนที่เธอไม่มีใคร และเขาก็เช่นกัน

วาตานาเบะลอบมองหญิงสาวอีกคนเป็นระยะ มือค่อยๆเลื่อนไปเกาะกุมมืออีกฝ่าย กระชับนวดให้เขาคลายกังวลเรื่องของอดีตคนรัก เธอไม่อยากเห็นน้ำตาของมานากะอีก บางทีคนที่ร่าเริงที่สุด เวลาร้องไห้ก็น่าสงสารที่สุดเหมือนกัน และคงจะไม่ดีถ้าหากปล่อยเธอเอาไว้โดยไม่ช่วยเหลืออะไรเลย อย่างน้อยอยู่ข้างๆก็คงจะพอให้ให้มานากะเครียดน้อยลง

          “…..” เสียงฝนเริ่มที่จำเบาลงแล้ว ทั้งคู่ก็ยังคงตกอยู่ในความเงียบ วาตานาเบะเลื่อนมือไปโอบรอบเอวของอีกฝ่าย รั้งตัวเข้ามานั่งชิดกัน มานากะช้อนตามอง เอียงคอเล็กน้อยเหมือนสงสัย แต่ก่อนที่เธอจะได้ถามอะไรออกไป วาตานาเบะก็ได้มอบจูบที่แสนอ่อนหวานลงบนริมฝีปากของตัวเธอเอง

          “อื้ม…” ชิดะยอมโอนอ่อนตามสัมผัสที่ได้รับ จูบตอบอย่างไม่มีท่าทางขัดขืน ริสะค่อยๆออกแรงดันหญิงสาวลงไปนอนราบกับเตียงเช่นก่อนหน้า ทว่าครั้งนี้ไม่ได้รุนแรงเหมือนเมื่อครู่แล้ว

          ปลายลิ้นเกี่ยวกวัดกันอย่างไม่รีบร้อน พวกเธอรู้ว่ายังมีเวลาอีกเยอะ ชิดะเลื่อนแขนไปโอบรอบคอของอีกฝ่ายก่อนดึงรั้งเขาลงมาเล็กน้อยให้กดจูบลงมาแรงขึ้น วาตานาเบะขบกัดลงไปที่ริมฝีปากล่างของชิดะ ตอนแรกก็กลัวว่าจะทำให้อีกคนเจ็บ แต่พอเห็นแววตาที่พึงพอใจแล้วถึงได้เพิ่มแรงกัดลงไปเล็กน้อยแล้วถึงได้เปลี่ยนมาเป็นบดขยี้จูบอันหนักหน่วงลงไปแทนการกัด

ดูเหมือนว่าชิดะจะทำตัวตามเกมของวาตานาเบะง่ายเกินไป คนด้านบนถึงได้หยุดจูบเสียดื้อๆ ค่อยๆถอนริมฝีปากออกมาจ้องมองหน้าของมานากะด้วยแววตาร้ายๆ ดูเจ้าเล่ห์ ไม่เหมือนริสะที่เธอเคยรู้จักมาก่อนเลย

          “มองอะไรริสะ?”

          “คิดว่าฉันมองอะไรอยู่ล่ะ?”

          “หา มะ หมายความว่าไง…”

          “มานากะถอดให้ฉัน…”

          “ถะ ถอดเหรอ!?”

          “ใช่” ริสะเหมือนไม่ใช่ริสะที่เธอรู้จัก จากที่เมื่อครู่กำลังอ่อนโยน ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ต่างกับตอนนี้ อยู่ๆก็มาบอกให้ถอดให้หน่อย ชิดะแทบอยากจะมุดดินหนี เคยทำแบบนี้กับอากาเนะก็จริง แต่ว่าริสะกับอากาเนะไม่เหมือนกันซักหน่อย..

          ส่วนมากเป็นฉันรึเปล่าที่ชอบแหย่อากาเนะให้ทำแบบนี้ให้ แต่เจ้าตัวก็ไม่ค่อยสมยอมฉันหรอกนะ พอมาโดนกับตัวเองแบบนี้มัน พูดไม่ออกเลยค่ะ…

          ชิดะค่อยๆปลดกระดุมเชิ๊ตสีดำของวาตานาเบะออกอย่างใจเย็น เธอรู้สึกตื่นเต้นราวกับนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอจะ… โอ้ย! นี่มันความฝันหรือเรื่องจริงกันนะ ฉันแยกไม่ออกแล้ว!! ต่อจากนั้นก็เข็ดขัดเส้นเล็ก ถัดไปก็ปลดกระดุมกางเกงขายาว เธอไม่คิดว่ามือของเธอจะสั่นขนาดนี้ มองหน้าอีกฝ่ายอย่างขอความเห็นใจ แต่ดูเหมือนวาตานาเบะจะไม่ได้ใจดีเหมือนโมริยะในบางเรื่อง

          “ร ริสะ..” เสียงของหล่อนสั่นๆ มือจับอยู่ตรงกระดุมนี่เอง ไม่ยอมแกะออกเสียที ริสะคว้ามือของมานากะมาจูบลงเบาๆ แต่สร้างความรู้สึกร้อนวูบบนใบหน้าของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี เขาค่อยๆวางมือของชิดะกลับไปตรงที่เดิม พยักเพยิดให้หล่อนแกะกระดุมออกซักทีหลังจากลีลาอยู่นาน

          แล้วหล่อนก็ปลดกระดุมออกจนได้

          “เก่งมากมานากะ” หลังปล่อยให้ชิดะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองแล้ววาตานาเบะก็ถึงคราวถอดของอีกฝ่ายออกเสียบ้าง

          มือเรียวของวาตานาเบะค่อยๆไล่ปลดเสื้อผ้าของชิดะออกทีละชิ้นอย่างไม่รีบร้อน แต่ทุกครั้งที่มือของเขาสัมผัสกับตัวของมานากะก็ทำให้ใจของเจ้าตัวกระตุกวูบ ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ หล่อนวางมือของตัวเองไว้บนไหล่ของเขา ก่อนที่จะถูกริสะดึงตัวให้ขึ้นมานั่งคร่อมตักเอาไว้ ถูกจับล็อกท้ายทอยเอาไว้ให้ก้มลงมารับจูบแสนหวานและรุนแรงจากริมฝีปากของวาตานาเบะอีกครั้ง

ฟันคมค่อยๆลัดเลาะกัดไปตามมุมอับของลำคอขาว ชิดะบีบไหล่ของริสะเบาๆ เสียงครางในลำคอเล็ดลอดออกมาเล็กน้อยแต่ก็พอให้ริสะได้ยินอยู่บ้าง เขากดริมฝีปากแนบลงกับคอระหงของชิดะ ออกแรงเม้มจนเนื้อขึ้นสีแดงเรื่อก่อนที่จะขยับไปทำร่องรอยที่อื่นต่ออยากนึกสนุก ไม่ได้สนใจว่าพรุ่งนี้พวกเธอจะต้องไปทำงานหรือวาตานาเบะยังคงคิดอยู่ว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่คือความฝันก็เป็นได้

          อยาก..

          อยากยิ่งกว่าตอนอยู่กับยูกะอีก..

          “อาส์ ริสะ อย่ากัด ทำไมชอบกัดนักห๊ะ!?”

          “เธอไม่ชอบเหรอ!?” คิ้วของริสะเริ่มขมวดลงมาอีกแล้ว แถมชักสีหน้าไม่พอใจอีก

          “มะ ไม่..” พอวาตานาเบะขึ้นเสียงใส่ ดูเหมือนเจ้าแมวน้อยจะเริ่มหงอยลงไปถนัดตา พูดเบาเสียจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบไปแล้วถ้าหากว่าในห้องนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันแค่สองคน

          “แล้วชอบให้ทำแบบไหนล่ะ?”

          “……..”

          “เอาสิ ทำเองสิ หึ”

          “หา!?” ริสะคว้ามือของอีกฝ่ายมาจูบ เธอไล้ริมฝีปากไปตามฝ่ามือข้างนั้นของมานากะอย่างช้าๆ ค่อยๆใช้ปลายลิ้นอุ่นชื้นของตัวเองเลียนิ้วของมานากะทีละนิ้ว ทีละนิ้ว… จงใจสบตาอีกฝ่ายตลอดเวลาเพื่อดูท่าทางตัวสั่นๆคล้ายเด็กน้อยที่ไม่ประสีประสา อยากรู้มานากะจะทำยังไงต่อไป ตอนนี้เธอหลับตาปี๋กัดริมฝีปากราวกับกลั้นใจเพื่อลุ้นอะไรบางอย่าง

          “ริสะอย่า…เลีย…” เรื่องพูดติดๆขัดๆดังขึ้นพร้อมกับหลบตาของอีกคนไปด้วย ถึงปกติจะเป็นฝ่ายทำให้อากาเนะอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาอยู่ในโพสิชั่นแบบนี้เสียเองซักหน่อย..

          แต่เหมือนวาตานาเบะจะไม่ได้สนใจเท่าใดนัก หล่อนไล้ริมฝีปากไปจูบที่ข้อมือของชิดะแทน มือข้างที่ว่างอยู่เริ่มซน เดี๋ยวแตะที่เอว เดี๋ยวแตะที่สะโพก เล่นเอามานากะขนลุกซู่

          “ฮ่าส์ ริสะ ทำไมทำแบบนี้”

          “มานากะชอบใช่มั้ย”

          “มะ ไม่!”

          “หึ ปากแข็ง” เขายกยิ้มที่มุมปาก ผละใบหน้าออกจากข้อมือของมานากะ เหมือนจะกลับมานั่งนิ่งๆแทนโดยปล่อยมือให้จับค้างไว้ที่สะโพกของหญิงสาว วาตานาเบะอยากเห็นหล่อนกระวนกระวายมากกว่านี้อีก

          ฝ่ายชิดะ พอเห็นอีกคนไม่จูบต่อก็แอบรู้สึกขัดใจเล็กน้อย มันค้าง.. หล่อนขยับเคลื่อนตัวเข้าไปชิดมากขึ้น ริมฝีปากไล่จูบตั้งแต่ขมับลงมา ลากผ่านไปจนถึงไหปลาร้าเด่นชัดของเขาก่อนที่หล่อนจะวนกลับคือมากัดเบาๆคล้ายหยอกที่ซอกคอกับหัวไหล่ เขี้ยวเล็กๆของเจ้าเหมียวลากผ่านเนื้อที่หัวไหล่ของริสะ ฟันเรียงสวยกัดลงไปอย่างรู้สึกหมั่นเขี้ยว พอหล่อนถอยออกมามองรอยฟันของตัวเองแล้วก็ดูเหมือนจะภูมิใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว

          “เธอกัดฉันเหรอมานากะ ได้! จะดื๊อกับฉันเหรอ!” วาตานาเบะเชยคางอีกฝ่ายขึ้นมองด้วยสายตาดุดัน บีบสะโพกนวดของชิดะ ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเจ็บรึเปล่าด้วยซ้ำ

          “อ่ะ! อาส์ เดี๋ยวก่อน ฉะ ฉัน…”

          “ขอโทษฉันสิ เรียกชื่อฉันด้วย” เขากระซิบที่ข้างหูก่อนจะขบกัดใบหูกางๆแสนน่ารักนั่นให้หายหมั่นเขี้ยวซักหน่อย เธอไล้เลียใบหูน่ารักนั่นอย่างนึกสนุก ยิ่งอีกคนครางเสียงดังมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งสะใจมากเท่านั้น

          “อ่ะ! อ่าส์ ฉะ ฉันขอ…ขอโทษ…” วาตานาเบะยังสนุกกับการทรมาณชิดะต่อไปเรื่อยๆ ตอนนี้สติของทั้งคู่แยกระหว่างความจริงกับความฝันไม่ออกเสียแล้ว รู้แค่ว่าตอนนี้อยากทำตามใจของตัวเองเพียงแค่นั้น

          “อืม ขอโทษใครพูดสิมานากะ” คำสั่งเสียงกระเส่านั้นยังพร่ำบอกเธอข้างๆหูตลอดเวลา

          “อื้อ ขอโทษ..ริสะ ขอโทษค่ะ…”

          “มานากะผิดไปแล้ว ขอโทษริสะจริงๆนะคะ พูดสิ..”

          “ทำไมฉันต้องพูดอะไรน่าอายแบบนั้นด้วย เธอเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉั– อื้ม…” ก่อนที่ชิดะจะได้ทันเถียงจบประโยคก็โดนวาตานาเบะชิงจูบปิดปากไปเสียก่อน เขาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดใจ ระบายอารมณ์คุกรุ่นของตัวเองด้วยการบดขยี้จูบลงไปอย่างรุนแรง ขบทั้งริมฝีปาก และปลายลิ้นอีกฝ่ายเบาๆ พยายามควบคุมให้มานากะยอมทำตามใจของเธอ

          พูดมากจริงๆเลย..

          .

          .

          “ฮ่าส์ พ-พอแล้ว ริสะ ฉันไม่ไหวแล้ว” เสียงสั่นๆของมานากะดังอยู่ตรงข้างหูของวาตานาเบะนี่เอง หล่อนจิกเล็บลงบนหลังของเขาแน่น ระบัดระบายความรู้สึกไหววูบที่ช่องท้องของตัวเอง หอบหายใจด้วยเสียงสั่นๆก่อนจะซบหน้าลงกับบ่าของริสะพร้อมๆกับที่เขาจูบลงบนขมับของเธอ

          “อ๊า  ตรงนั้นไม่ได้นะ!”

          “ตรงไหน ตรงนี้เหรอ” เขาเลิกคิ้ว เพิ่มสัมผัสให้รุนแรงขึ้นตรงจุดที่เพิ่งจะโดนห้ามไม่ให้แตะต้อง

          “ยะ อย่า ไม่ ฉัน… งื้อ”

          “อาส์ ริสะ… อา อ่ะ พ พอแล้ว จะเสร็จ..แล้ว..” ดวงตาของชิดะฉายแววเว้าวอนขณะผละออกมามองหน้าอีกฝ่าย  ริมฝีปากเผลอเม้มเข้าหากันหลังพูดจบ หล่อนกัดริมฝีปากล่างของตัวเองจนแทบห้อเลือด

          “ฉันยังไม่พอใจเลย ขออีกนิดนะมานากะ”

          “…….” ว่าแล้วคนที่อยู่ข้างล่างก็พลิกตัวกดชิดะลงกับเตียงนุ่ม ก่อนจะจัดการบดขยี้ริมฝีปากอย่างรุนแรง วาตานาเบะจูบชิดะอย่างเรียกร้องจนกระทั่งอีกฝ่ายเคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสของตน หล่อนยกมือขึ้นโอบรอบคอของเขา ลูบท้ายทอยและกลุ่มผมนุ่มนิ่มประบ่าของวาตานาเบะเบาๆนั่นทำให้เขารู้สึกชอบสัมผัสของเธอมาก เขาใช้ทั้งมือ ปาก และปลายลิ้นอุ่นชื้นสัมผัสไปทุกซอกทุกมุมที่ตัวเองต้องการ

          ทางด้านมานากะเอง ทั้งๆที่ปากของเธอบอกให้อีกฝ่ายหยุด แต่ใจกลับต้องการสัมผัสของเขามากขึ้นทุกทีๆ หลับตาลงยามที่เขามอบจูบให้แล้วรั้งเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม เสียงหอบหายใจดังคลอไปกับเสียงของฝนที่เริ่มกลับมาตกหนักอีกครั้ง

ริสะลากมือผ่านต้นขาด้านในของชิดะ สัมผัสเปียกชุ่มจากนิ้วของเขาทำให้ต้นขาของหล่อนเลอะไปด้วยคราบของเหลวสีใส มานากะหายใจติดขัด นัยน์ตาสั่นระริกเมื่อเขาไล้มือไปตามขาเรียวของตัวเองก่อนจะยกขาข้างหนึ่งขึ้นให้พาดบ่าของเขา จูบลงบนขาอ่อนด้านในและค่อยๆกัดจนมันขึ้นเป็นรอยฟันแดงๆ เขาทำแบบนี้ซ้ำๆจนตอนนี้ต้นขาของหล่อนมีแต่ร่องรอยของเขา

          “ริ..สะ อ อย่ากัด..” เธอว่าแบบนั้นทำให้เขาเงยกลับมามอง กดหัวคิ้วลงเล็กน้อย เสียงครางต่ำจากลำคอดังขึ้น มานากะเริ่มใจไม่ดีอีกแล้ว เธอต้องโดนเขาลงโทษอีกแน่ๆ แล้วมันก็เป็นนั้นจริงๆเมื่อวาตานาเบะกดเขี้ยวลงกัดไปยังขาขาวๆของชิดะ สายตาดุและก้าวร้าวถูกส่งมาให้

          “อ๊า ริสะ อ๊ะ” เธอไม่ได้ถูกกัดเพียงเท่านั้น อีกฝ่ายไล้เลียตามผิวนุ่มไปเรื่อยๆจนถึงท้องน้อย มานากะรู้สึกแทบลืมหายใจไปหลายครั้ง หัวใจของเธอเต้นแรง ลมหายใจหอบถี่ ร่างกายของเธอบิดไปมาด้วยอารมณ์วาบหวาม เธอทำได้เพียงแค่พยายามกลั้นเสียงครางของตัวเองไม่ให้เล็ดออกมาเท่านั้น แต่นั่นกลับจุดชนวนความปรารถนาให้ริสะอยากเอาชนะเธอมากขึ้นไปอีก เขาสัมผัสเธออย่างรุนแรงมากกว่าครั้งที่ผ่านมา

          นี่จิตใจของเขาทำด้วยอะไร อยากให้เธอขาดใจตรงนี้เลยใช่มั้ย…

          “มานากะอยากให้ทำแบบไหนเหรอ หืม?”

          “ทำไมถึงชอบถามอะไรแบบนี้นะ! แล้วก็เลิกทำเสียงแบบนั้นได้มั้ย ฉะ ฉั—” และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ชิดะยังพูดไม่จบประโยค วาตานาเบะจูบเธออีกแล้ว ปิดปากไม่ให้โอกาสเธอได้พูดต่อพร้อมกับประคองร่างของมานากะขึ้นมานั่งบนตักตัวเองอีกรอบ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาตามไรผม ริสะค่อยๆเช็ดเม็ดเหงื่อนั่นให้อีกฝ่าย

          “มานากะเป็นเด็กดี ฉันจะให้รางวัลนะ” ริสะคว้าใบหน้าของมานากะลงมาพรมจูบเบาๆ สัมผัสของเขาช่างอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านี้มันทั้งรุนแรง เร่าร้อน และเจ็บปวด

          หรือเพราะนี่คือรางวัลงั้นเหรอ…

          หญิงสาวผมสีอ่อนมอบจูบคืนให้เขาที่มุมปาก เสียงหอบหายใจยังคงมีอยู่เป็นระยะๆ อกกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ หล่อนแนบหน้าผากของตัวเองกับของอีกฝ่าย พยายามทำตัวเป็นเด็กดีเผื่อว่าได้รางวัลอีกครั้ง เธอเลียริมฝีปากของเขา ดวงตาฉายแววออดอ้อนเหมือนลูกแมว ซุกไซร้ซอกคอ จูบลงไปอย่างแผ่วเบา มั่นใจว่าตัวเองจะไม่เผลอกัดเขาอีก

ฝ่ายวาตานาเบะ พออีกคนทำแบบนี้ก็รู้สึกจะเริ่มใจอ่อน รั้งเอวเขาเข้ามาแนบตัวพร้อมกับมอบสัมผัสที่กระตุ้นความวูบไหวที่ช่องท้องของมานากะอีกครั้ง หล่อนสะดุ้งตัวน้อยๆ เม้มปาก ไม่อยากให้เสียงครางน่าอายของตัวเองเล็ดลอดออกมา แต่นั่นกลับทำให้วาตานาเบะอยากได้ยินเสียงครางของเธอมากกว่าเดิม

          “มานากะฉันอยากได้ยินเสียงของเธอ อย่ากลั้นเสียงสิคะ” ริสะขบเม้มใบหูน่ารักของเธอหนักเบาสลับกันไป พร้อมกับพูดอ้อนวอนขอให้เธอปลดปล่อยเสียงครางออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

          ขี้โกงนี่นา แล้วแบบนี้ใครมันจะไปทนได้เล่า!

          “อาส์ ริสะ อ๊า ริสะ ฉัน ฉะ ฉัน…”  

          “อืม มานากะ อาส์ จุ๊บ” คราวนี้มานากะเป็นคนจูบวาตานาเบะก่อน ทว่าไม่ใช่จูบที่ลึกซึ้งอะไรนัก หล่อนถอนริมฝีปากออก ไล้ลิ้นชื้นไปที่คอของเขา เหลือบตามองเหมือนรอให้อีกฝ่ายอนุญาต และเมื่อเขาพยักหน้าหล่อนถึงได้ก้มลงดูดเม้มทับรอยเดิมที่หล่อนเคยทำเอาไว้ก่อนหน้าที่จะโดนเขาลงโทษ มานากะแค่อยากจะแสดงความเป็นเจ้าของเขาเท่านั้นเอง..

          “เด็กดี..กัดแรงๆสิ” เพราะว่าเป็นคำสั่งจากปากของริสะ มานากะเปลี่ยนไปกัดแทนจนจมเขี้ยว ทำทุกวิถีทางให้เขาพอใจ

          “ใช่ แบบนั้นแหละ อ่ะ อาส์” วาตานาเบะเลื่อนมือข้างนึงไปลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ส่วนอีกข้างนั้นก็ทำหน้าที่กระตุ้นชิดะให้สั่นสะท้านไม่หยุดหย่อน เขาปรายตามองหญิงสาวที่ค่อยๆถอยหน้าออกมา มือของหล่อนจับหัวไหล่ของเขาเอาไว้

          “แบบนี้เหรอ ริสะชอบแบบนี้เหรอคะ”

          “อืม งั้นมั้ง พอแล้วมานากะ”

          “อืม จุ๊บ ฮ่าส์…”

          ตอนนี้แผ่นหลังของวาตานาเบะมีแต่รอยข่วนแดงลากยาว ดูแล้วคงจะเจ็บ ทว่าหล่อนทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร กลับหยุดนิ้วที่กำลังปรนเปรอชิดะ ชิดะชะงักตามไป ดันตัวเองออกมามองหน้าวาตานาเบะชัดๆก็เห็นว่าเขากำลังยิ้มร้ายอยู่ เธอลอบกลืนน้ำลาย เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองต้องทำอะไร

          “มานากะฉันเมื่อยแล้ว เธอทำต่อสิ”

          “หา!?”

          “คิก ทำสิ ฉันรู้ว่าเธอรู้ ว่าต้องทำยังไง จุ๊บ” พูดจบก็จุ๊บที่มุมปากของคนที่นั่งตักอยู่ไปทีเหมือนให้กำลังใจ

          “…….”

          มานากะเงียบ หล่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆขยับบดเบียดสะโพกให้ความปราถนาเต็มตื้น จากที่เคลื่อนไหวช้าๆก็เริ่มขยับเร็วขึ้น เสียงครางกระเส่าสั่นดังอยู่ที่ข้างหูของวาตานาเบะ ตามกรอบหน้าของหล่อนเริ่มเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ และก็เป็นอีกครั้งที่ริสะคอยเช็ดออกให้ มานากะตอนนี้เหมือนลูกแมวน้อยขี้อ้อนไม่มีผิด ต่างจากเวลาทำงานด้วยกันตามปกติอย่างมาก เธอคลอเคลียใบหน้ากับมือของวาตานาเบะไปมา

          อา…เหมือนลูกแมวจังนะ เด็กดี…

          “มานากะเด็กดี อาส์ อยากได้รางวัลมั้ย”

          “อื้อ…” ชิดะตอบรับเสียงแผ่ว ช่วงล่างของหล่อนปวดไปหมดแล้ว แต่ในขณะที่ชิดะกำลังกดสะโพกลงมา วาตานาเบะกลับแทรกกดนิ้วเรียวเพิ่มเข้าไปอีก ปลดปล่อยอารมณ์ของชิดะให้เป็นอิสระเสียที

          “อ๊ะ! อ๊า ริ..สะ..อาส์ ฉัน..จะไม่ไหวแล้ว”

          “อ๊า..อ่ะ…ฮ่าส์ แฮ่กๆ…”

          “มานากะ…” เสียงของคนผมประบ่าเรียกทำให้มานากะที่กำลังซบหน้าอยู่ที่บ่าของเขาขยับตัว เงยหน้ามองด้วยแววตาอ่อนล้า วาตานาเบะมอบจูบลงที่ริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆก่อนประคองพาลงไปนอนบนเตียง เขายังกอดเธอเอาไว้แนบตัว เสียงหอบหายใจของชิดะเป็นเหมือนเสียงกล่อมให้คนทั้งคู่ๆค่อยๆจมลงสู่ห้วงนิทราในที่สุด

          .

          .

          .

          .

          .

          “อืม ปวดหัวจัง…กี่โมงแล้วเนี่ย” ชิดะค่อยๆเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งของตัวเอง ทว่าแสงแดดที่แยงตาทำให้หล่อนต้องหลับตาลงอีกครั้ง

          “10 โมงแล้ว”

          “อ้าว แต่วันนี้ต้องไปทำงานนะ”

          “ฉันโทรไปลาบอสให้แล้ว”

          “อ๋อ อื้ม ขอบใจนะ”

          “เธอหิวรึเปล่า อยากกินอะไร ฉันจะทำให้ทานนะ”

          “หา!? นี่ฉันหูฝาดรึเปล่าเนี่–” พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งมานากะก็ต้องเจอกับภาพชวนช็อคที่คิดว่าชาตินี้คงไม่มีวันได้เห็นแน่ๆ

          “อรุณสวัสดิ์ มานากะ

          “!!!!!!!!!” กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

          ชิดะสะดุ้งตัว กรี้ดในใจ แทบทำตัวไม่ถูกเมื่อรู้ว่าคนที่ตัวเองกำลังพูดด้วยไม่ใช่โมริยะอย่างที่คิด ขยี้ตาอีกรอบก็ยังคงเป็นวาตานาเบะ ริสะ เธอลุกพรวดพราดออกจากเตียงแทบจะทันที ท่าทีเหมือนจะลืมเรื่องเมื่อคืนไปหมดแล้วเสียด้วยสิ

          “อ้าว!? มานากะ? เดี๋ยว!”

          “อะ..อะไร เรียกทะ..ทำ..มะ..ไม?”

          “เธอกำลังทำอะไร? จะไปไหน?”

          “ฉะ..ฉัน จะกลับบ้านไง ถามมาก!”

          “มานากะเดี๋ยว!”

          “อะไรอีก!”

          “แต่นี่มันบ้านเธอนะ เธอจะไหนเหรอ ไปหาครอบครัวที่นีงาตะเหรอ?”

          “……..” กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

          “มานากะ เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ…” วาตานาเบะพูดเสียงอ่อน เหมือนโน้มน้าวให้อีกฝ่ายไม่ตื่นตูมไปมากกว่านี้แล้วกลับมานั่งคุยด้วยกันดีๆ

          “……..”

          “มานากะ”

          “มะ ไม่ ฉันไม่มีอะไรคุยกับริสะ ไม่คุยอะไรทั้งนั้น!”

          “มานากะ”

          “อะไรอีกเล่า! เลิกเรียกฉันสักทะ—” ชิดะเริ่มอารมณ์เสียแล้ว จะดื้ออะไรนักหนา ก็เธอไม่อยากฟัง ทั้งที่ริสะก็รู้นิสัยของเธอดีแท้ๆ แต่ทำไมครั้งนี้กลับพูดย้ำนักนะ

          “เธอดื๊อกับฉันเหรอ..” วาตานาเบะพูดขัดขึ้นก่อนชิดะจะพูดจบด้วยน้ำเสียงเรียบๆเนิบๆ ตาที่มักจะดูใจดี ตอนนี้มันกลับมีแววร้ายฉายขึ้นมา มานากะมั่นใจว่าตัวเธอไม่ได้ตาฝาด

          “…….”

          “นั่งลง! แล้วขยับมาตรงนี้”

          “ตะ—”

          “เดี๋ยวนี้”

          “…….” มานากะยอมนั่งลง เชื่อฟังแต่โดยดี ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ในหัวมีภาพแปลกๆที่เธอไม่เห็นจะจำได้อยู่ด้วย

          เหมือนกับในฝันนั่น..

          เอ๊ะ….

          “เดี๋ยว! นี่เธอจะทำอะไร ปล่อยนะ”

          “ก็จะดูว่าเป็นรอยมั้ย”

          “รอย?”

          “ก็รอยนั่นไง คิก”

          “…….” กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

          “อย่า..อย่าจับนะ! แล้วฉันมาอยู่ในชุดนอนได้ไง! นี่เธอ!” ชิดะรีบปัดมือของวาตานาเบะที่เอื้อมมาแตะแผละที่หัวไหล่ แผ่ดเสียงดังขึ้น รู้สึกมึนหัวไปหมด สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่าบอกนะว่าฝันแปลกๆเมื่อคืนนั่นคือความจริง???

          “ฉันเปลี่ยนชุดให้เอง ฉันเช็ดตัวให้เธอแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำแผลให้เธอเลย รอเธอตื่นก่อนน่ะสิ ฉันจะทายาให้นะ เลิกชุดนี่ขึ้นสิ…”

          “…….”

          ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ล่ะ แล้วทำไมท่าทีที่เธอแสดงออกมัน…

          นี่เธอไม่รู้สึกตกใจอะไรบ้างเลยเหรอริสะ! เธอนี่มัน…เธอ…ยัยบ้าเอ้ย!

          มานากะค่อยๆเลิกเสื้อของชุดนอนขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ พอกลับมานั่งตั้งสติแล้วก็รู้สึกปวดแปล๊บแถวๆช่วงท้องน้อย เอว สะโพก เธอมองหน้าวาตานาเบะให้รีบๆดูแผล จะได้คุยให้จบๆกันไป เธอจะได้กลับไปนอนสักที อยู่ๆก็รู้สึกเพลียขึ้นมาเฉยเลย จากที่ตอนแรกกะจะวิ่งหนีกลับบ้าน(?) แต่ที่นี่ดันเป็นบ้านของฉันนี่นา…

          จู่ๆก็หมดแรงเมื่อถูกเค้าแตะตัว…

          มือของริสะแตะลงเบาๆที่รอยช้ำตรงช่วงสะโพก เขาถามด้วยเสียงแผ่วๆว่าเจ็บมั้ย แต่มานากะก็ส่ายหน้าปฏิเสธไป ทั้งที่จริงๆพอถูกแตะนิดหน่อยก็ปวดแล้ว

          “ขอโทษนะที่รุนแรงไป..” ระหว่างที่กำลังทายาให้เขาก็พูดขึ้นมา ตาหงอยๆเศร้าๆเหมือนลูกหมา

          “อ่ะ..อื้ม ฉะ..ฉันไม่เป็นไร…” หลังจากนั้นเธอนั่งมองวาตานาเบะทายาให้อยู่นิ่งๆ มีบางครั้งที่เจ็บอยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ถือว่าไม่ได้เป็นอะไรมากมาย

          “จริงๆนะ เพราะฉันเมามาก เลยไม่ทันยั้งมือ มันก็เลย…”

          “เลิกพูดอะไรน่าอายแบบนั้นซะ!”

          “อืม ไม่พูดแล้ว จุ๊บ” พอดีกับที่ทายาเสร็จ วาตานาเบะขโมยจูบที่ริมฝีปากของมานากะไปด้วยความเคยชินเหมือนที่ทำกับยูกะ แต่ที่จริงแล้ว…กับมานากะน่ะ รู้สึกดีกว่ายูกะด้วยซ้ำ

          “นี่!!!”

          “ทำไมล่ะ รังเกียจเหรอ?”

          “ปะ…เปล่า ไม่ใช่ คือฉัน…”

          “ฉันอาจจะทำมันไปเพราะฉันไม่มีสติก็จริง แต่ว่าฉันจำทุกอย่างได้นะมานากะ”

          “………”

          “คือฉันอยากรับผิดชอบที่ทำแบบนี้ลงไป–”

          “เธอไม่ต้องรับผิดชอบก็ได้ เราก็เมากันทั้งคู่นั่นแหละ แล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้สักหน่อย ช่างมันเถอะ”

          “ไม่เอาหรอก ฉันจะรับผิดชอบมานากะเอง มานากะคบกับฉันนะ” วาตานาเบะจับมือของอีกฝ่าย มองด้วยสายตาอ้อนๆ ถ้ามีหูกับหางมันคงลู่ตกไปหมดแล้วแน่ๆ

          “หา!?”

          “แปลว่าตกลงใช่มั้ยคะ?”

          “ไม่ใช่ย่ะ!”

          “ยังไงมานากะก็เป็นของฉันแล้ว อ้อ! จริงสิ ฉันก็เป็นของมานากะแล้วด้วยนะ”

          “หึ้ย! หุบปากไปเลยยัยเฉื่อย! โอ้ย! ฉันไม่คบย่ะ!”

          “ให้โอกาสฉันนะ ฉันเป็นแฟนที่ดีนะมานากะ นะ นะ นะ นะคะ”

          “………” เห็นแก่ความน่ารัก งั้นจะลองเก็บไปคิดดูนิดหน่อยก็ได้

          “ว่าไง? เงียบแสดงว่าตกลงนะ”

          “เอ่อ….งั้นฉันขอเวลาคิดหน่อยได้หรือเปล่า?”

          “เวลาเหรอ..?”

          “อืม”

          “มานากะไม่เชื่อใจฉันเหรอ??” ระหว่างที่พูดก็มือปลาหมึก ดึงตัวมานากะเข้ามากอด ซุกหน้างุดๆ หอมแก้มบ้างจุ๊บปากบ้างเหมือนจะง้อ

          “อะไร อะไรของเธอ หยุดๆ จะทำอะไร!! หยุดเดี๋ยวนี้!!”

          “ก็จะพิสูจน์ว่าฉันมีคุณสมบัติที่ดีพอจะคบกับเธอได้ไง”

          “งั้นก็ไปทำอะไรมาให้ฉันกินสิ ไปสิ ฉันหิวแล้ว”

          “อา จริงสิ เธอยังไม่ได้ทานอะไรเลยนี่เนอะ แป๊บนะ เดี๋ยวฉันมา จุ๊บ!”

          “โอ้ย! อย่ามาจูบฉันนะ ออกไป๊!”

          เห้อ…

          แต่จริงๆมีแฟนแบบนี้ก็ไม่เลวนะ..

Fiction

No Choice (M.A.R.Y.) : 02

– 02 : Break up –

Manaka S. x Akane M. x Risa W. x Yuuka S.

ปกฟิค2


          “คุณพ่อหมายความว่าไงคะ จะให้หนูแต่งงาน!?” เสียงแหลมๆของโมริยะดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกระแทกมือลงบนโต๊ะดังปัง! ใบหน้าของหล่อนตอนนี้ไม่สบอารมณ์อย่างมาก

          “ใช่ ตอนนี้ลูกก็โตแล้ว ลูกควรจะแต่งงานแต่งการตามที่พ่อกับแม่ตกลงกันได้แล้ว” ชายสูงวัยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานของเขาหมุนเก้าอี้หันมามองหน้าลูกสาวของตัวเอง ใบหน้าเคร่งเครียดไม่ได้ต่างไปจากอากาเนะเลยซักนิดในตอนนี้

          “ตกลงกัน? ตอนไหนคะ หนูไม่รู้เรื่องด้วยนะคะ”

          “ไม่รู้ล่ะ ยังไงลูกก็ต้องแต่งงาน พ่อรับปากนายท่านแล้ว ลูกต้องแต่งงานกับลูกสาวเค้า”

          “แต่หนู…”

          “ไม่มีแต่ ลูกก็รู้นี่ว่าพ่อผิดคำพูดที่เคยให้ไว้กับคุณท่านสุไกไม่ได้”

          “หนูรู้ค่ะ แต่หนูไม่ได้รักลูกสาวเค้า ที่สำคัญหนูมีแฟนแล้ว”

          “ลูกมีแฟนแล้ว!!!” โมริยะคนพ่อแทบลมจับ อย่าบอกว่าที่หายไปค้างบ้านเพื่อนนี่ก็คือไปค้างบ้านแฟนสินะ..

          “ใช่ค่ะ…” อากาเนะตอบพ่อของเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

          “ตอนไหน! ลูกไปทันมีแฟนตอนไหน! มันเป็นใคร!?”

          “มานากะ…”

          “อะไรนะ!!!?”

          “หนูคบกับมานากะค่ะ”

          “พ่อก็นึกว่าพวกลูกเป็นเพื่อนสนิทกันซะอีก…”

          “หนูขอโทษที่ปิดบังค่ะ…”

          “…….” ผู้เป็นพ่อเงียบไปครู่หนึ่ง

          “ลูกควรจะบอกพ่อเรื่องนี้ โถ่ อากาเนะ ทำไมถึงไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญแบบนี้กับพ่อ” ฝ่ายคุณพ่อรู้สึกลำบากใจทันทีที่ทราบว่าลูกสาวของเขามีคนรักอยู่แล้ว เขาไม่น่ารับปากเจ้านายเรื่องที่จะให้ลูกของตนแต่งงานกับลูกของเขาเลย เขาทราบมาตลอดว่าลูกของเขาชอบผู้หญิง แต่ไม่คิดว่าลูกจะมีคนรักอยู่แล้วแบบนี้

          ถ้ารู้ พ่อคงเลือกที่จะไม่ตอบตกลงไปแบบนั้นหรอก พ่อขอโทษนะ

          “หนะ หนูขอโทษจริงๆค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าบังคับหนูแต่งงานกับคนที่หนูไม่ได้รักเลยนะคะ”

          “อากาเนะ…คือ…พ่อ…” เขาพูดอย่างลำบากใจ ไม่อยากบังคับ แต่ในเมื่อเขาเคยพูดกับคุณท่านสุไกไปแล้ว แถมอีกฝ่ายก็ตกลง เรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ตระกูลโมริยะรับใช้ตระกูลสุไกมาหลายชั่วอายุคนแล้ว หากผิดคำพูดก็เหมือนเป็นการเณรคุณตระกุลสุไกที่คอยดูแลเกื้อกูลตระกูลโมริยะด้วยเช่นกัน

          “พ่อคงทำแบบนั้นไม่ได้…”

          “พ่อคะ!!” คราวนี้โมริยะคนลูกเริ่มปวดหัวตุบๆ กำลังมีความสุขกับแฟนสุดที่รัก อยู่ดีๆก็โดนพ่อเรียกตัวกลับมาบ้านกระทันหัน ทีแรกเธอคิดว่าเป็นเรื่องงาน พ่อคงมีเรื่องไหว้วานให้เธอทำแทน แต่เปล่า พ่อกลับบอกให้เธอไปแต่งงานกับคุณหนูตระกูลสุไก

          “พ่อจะให้เวลาลูกสามวัน ไปบอกเลิกหนูมานากะซะ”

          “!!!!!!!” หล่อนเข่าอ่อน ทรุดลงไปนั่งกับพื้น ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาแทบจะทันที

          “อากาเนะ! โถ่คุณ ให้เวลาลูกอีกหน่อยไม่ได้เหรอคะ” หญิงสาววัยกลางคืนที่เดินถือถาดน้ำชาเข้ามารีบวางมันลง ปรี่เข้าไปประคองลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน ปากก็พูดพร่ำกับสามีของตัวเอง

          อากาเนะยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกลวกๆ หล่อนค่อยๆลุกขึ้นตามแรงพยุงของผู้เป็นมารดา พูดขอบคุณเธอเบาๆก่อนที่จะผละออก วิ่งหนีไปแทบจะทันทีที่กลับมายืนได้

          “ไม่ได้หรอกคุณ ผมตอบตกลงกับนายท่านไปแล้ว การจะแต่งงานจะถูกจัดขึ้นภายในอีกสามเดือนข้างหน้านี้ เพราะฉะนั้นก่อนจะถึงเวลานั้น ลูกควรทำความรู้จักกับคุณหนูยูกะก่อน..”

          “แต่ว่า… ดูสิ ลูกวิ่งหนีแล้ว ฉันสงสารลูก”

          “ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ อากาเนะ พ่อขอโทษ…”


          “ท่านพ่อเรียกหนูมามีอะไรเหรอคะ?”

          “อืม… ยูกะ พ่อก็เห็นว่าลูกโตแล้วนะ พ่อกับแม่ก็แก่แล้ว น่าจะถึงเวลาที่ลูกจะขึ้นเป็นผู้บริหารบริษัทเต็มตัวได้แล้ว”

          “เอ๋!? แต่หนู…” หนูยังไม่พร้อม..

          “มีอะไรเหรอ”

          “ปะ เปล่าค่ะ”

          “ลูกทำได้อยู่แล้วจ่ะ แม่เชื่อมั่นในตัวลูกนะ”

          “เอ่อ แค่เรื่องนี้เหรอคะที่ท่านพ่ออยากแจ้งให้หนูทราบ” ถ้าจะบอกว่าให้เธอเข้ารับตำแหน่งประธานบริษัทเรื่องนั้นไม่เห็นจะต้องเรียกเธอเข้าพบเลยนี่นา ให้คุณเซบาสเตียนเข้ามาบอกก็ได้.. ทำไมรู้สึกว่าต้องมีเรื่องอะไรมากกว่านั้น ทั้งท่านพ่อกับท่านแม่ก็นั่งทำท่าทางเหมือนจะกดดันอยู่ด้วย รวมถึงห้ามคุณเซบาสเตียนและทุกๆคนเข้ามารบกวนในเวลานี้..ถ้าเธอเดาไม่ผิด จุดประสงค์จริงๆของพวกท่านน่าจะเป็น.. อย่างอื่น?

          แล้วคืออะไรล่ะ เรื่องอะไรที่สำคัญจนแม้แต่คุณเซบาสเบียนที่เป็นพ่อบ้านคนสนิทก็ถูกห้ามไม่ให้เข้ามายุ่ง

          “ยูกะ”

          “……..” คุณท่านสุไกเว้นระยะไปชั่วครู่ ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ มีสายตาให้กำลังใจจากภรรยาที่รักส่งมาอยู่เนืองๆ

          “……..”

          “ลูกฟังอยู่รึเปล่า”

          “ยูกะ ยูกะ”

          “คะ!?…”

          “ลูกเป็นอะไรรึเปล่า ไม่สบายรึเปล่าคะ หนูทำงานหนักจนลืมดูแลสุขภาพรึเปล่าคะ?”

          “เอ่อ เปล่าค่ะ ขอโทษที่เหม่อค่ะ หนูมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยค่ะ” ที่จริงคือยังเพลียไม่หายจากเมื่อวานต่างหาก..ขอโทษนะคะท่านพ่อท่านแม่ที่หนูต้องโกหก

          “งั้นเหรอคะ แม่เป็นห่วงกลัวหนูจะป่วยนะคะ อย่าหักโหมนะคะ”

          “เอ่อ ค่ะ…”

          “เชิญท่านพ่อพูดต่อเถอะค่ะ หนูฟังอยู่”

          “อืม คือ…พ่อกับแม่อยากให้ลูกแต่งงาน กับ—”

          “อะไรนะคะ!?”

          “ยูกะ หนูอย่าพูดแทรกท่านพ่อสิคะ” คุณหญิงสุไกมองลูกสาวด้วยสายตาตำหนิเล็กน้อย วันนี้ลูกสาวของเธอเป็นอะไรกัน ปกติไม่เคยเป็นคนที่พูดแทรกหรือขัดคนอื่นแท้ๆเชียว

          “ท่านแม่คะ แต่หนู คือหนู…”

          “ใจเย็นๆ ฟังให้จบก่อน ลูกอาจจะตกใจ พ่อรู้ แต่พ่ออยากให้ลูกฟังเหตุผลของพ่อกับแม่ก่อน”

          “……..”

          “พ่อกับคุณโมริยะเราคุยกันมาสักพักแล้วว่าอยากให้พวกลูกแต่งงานกัน”

          “คุณโมริยะ?”

          “ใช่ และอีกไม่นานลูกเองก็ต้องขึ้นบริหารบริษัทอย่างเต็มตัวแล้ว ลูกควรมีคนช่วยและดูแลลูก”

          “หนูเข้าใจค่ะ แต่แค่ช่วยบริหารไม่เห็นมีความจำเป็นต้องแต่งงานนี่คะ…” คุณท่านกับคุณหญิงสุไกมองหน้ากัน พูดไม่เข้าคายไม่ออก จะอธิบายอย่างไรให้ลูกสาวเข้าใจดี

          “จะให้คนนอกมาช่วยลูกทำงานพ่อไม่ไว้ใจหรอก ลูกก็รู้ว่ากว่าเราสร้างทุกอย่างจนกระทั่งมีทุกอย่างแบบทุกวันนี้ได้ ตระกูลของเราต้องผ่านอะไรมาบ้าง คนที่จะแต่งงานกับลูก พ่อก็ไว้ใจแค่คนจากโมริยะเท่านั้น”

          ยูกะเม้มริมฝีปากแน่นจนแน่นเจ็บ หล่อนไม่อยากแต่งงาน…ถึงแต่งงานกันจริงก็ขอให้เป็นคนที่เธอรัก ไม่ใช่การคลุมถุงชนแบบนี้ คนสองคนที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากันเลยมาแต่งงานกัน มันมีแต่แย่กับแย่ไม่ใช่หรอ? ถ้าเกิดนิสัยเข้ากันไม่ได้ขึ้นมาล่ะ?

          “แต่ท่านพ่อคะ หนูมีคนที่รักอยู่แล้วค่ะ”

          “คุณวาตานาเบะ ริสะน่ะเหรอ…”

          “!!!!!!!!”

          “ทะ ท่านพ่อทราบได้ยังไงคะ!?”

          “หึ มีเรื่องอะไรที่พ่อไม่รู้เกี่ยวกับลูกด้วยเหรอ ยูกะ”

          “แล้วทำไมท่านพ่อยังคิดที่จะบังคับหนูแต่งงานล่ะคะ ทั้งๆที่หนู…ฮึก…”

          “เลิกกับเธอซะ” เขาพูดเสียงเรียบ เด็ดขาด ไม่มีการอะลุ่มอล่วยใดๆทั้งนั้นสำหรับลูกสาวของเขา ในเมื่อทุกสิ่งที่ถูกพูดออกมาคุณท่านสุไกได้ไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

          “ยูกะ พ่อกับแม่ไม่เคยบังคับอะไรลูกเลยนะคะ แต่ขอแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวได้มั้ยคะ”

          “แต่ท่านแม่คะ หนู…”

          “ยูกะ เข้าใจพ่อกับแม่เถอะนะ ทั้งหมดก็เพื่อตระกูล เพื่อตัวลูกนะ”

          “โดยการบังคับหนูแต่งงานกับคนที่ท่านพ่อไว้ใจ แต่หนูไม่รู้จักเขาแม้แต่น้อยงั้นเหรอคะ ฮึก”

          “ไม่นะคะ หนูอากาเนะกับลูกรู้จักกันนะ แต่หนูอาจจะจำน้องไม่ได้”

          อากาเนะ…?

          “รู้จักกัน? ตอนเป็นเด็กเหรอคะ?”

          “ใช่จ่ะ ลองนึกดูดีๆสิ”

          “อากาเนะ… โมริยะ อากาเนะเหรอ…” ยูกะเองก็ลองพยายามนึกตามที่ผู้เป็นมารดาบอก

 

          ‘ยูกะ!’ เสียงของเด็กหญิงอายุราวๆสี่ห้าขวบดังขึ้นทางด้านหลังทำให้สุไกต้องหยุดการอ่านหนังสือของเธอเอาไว้ตรงนั้น หล่อนหันไปมองยังด้านหลังก็พบเข้าให้กับเจ้าของเสียง เด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม แต่ดวงตาดูแอบดุยังไงไม่รู้ในสายตาของยูกะ

          ‘อากาเนะจัง? คุณเซบาสเตียนให้เข้ามาได้แล้วหรอคะ?’

          ‘เปล่า! แอบคุณเซบาสเตียนเข้ามา!’

          ‘โธ่ อากาเนะจัง ถ้าท่านพ่อท่านแม่เข้ามาเห็นจะโดนดุเอานะ!’ เด็กสาวผู้มีอายุมากกว่าดุโมริยะตัวน้อย แต่ก็เหมือนไม่เป็นผลเท่าไหร่ อากาเนะวิ่งเข้ามานั่งแหมะข้างๆเธอ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูน่าหมั่นเขี้ยว

          ‘วันนี้ยูกะไม่ได้ออกไปข้างนอกเลยหรอ? ไม่เบื่อหรอ?’

          ‘เบื่อสิ แต่มีอากาเนะจังมาเล่นด้วยก็หายแล้วแหละ’

          ‘ แล้วนี่ยูกะอ่านอะไรอยู่เหรอ’

          ‘อ๋อ คู่มือการดูแลม้าน่ะ’

          ‘ยูกะนี่ชอบม้าจริงๆเลยนะ งั้นวันนี้เรามาเล่นเป็นม้ากัน!!’

          ‘เล่นยังไงคะ ขี่หลังอะไรแบบนี้เหรอ?’

          ‘ใช่ เน็นจะแบกยูกะเอง!’

          ‘เดี๋ยว…แต่อากาเนะจังตัวเล็กกว่ายูกะอีกนะคะ แบกไม่ได้หรอก’

          ‘ได้สิ ก็เน็นแข็งแรงจะตาย ขนาดปีนข้ามรั้วแอบคุณเซบาสเตียนมาหายูกะ เน็นยังทำได้เลย คิก’

          ‘เอ๋!? นี่ถึงกับปีนข้ามรั้วมาเลยเหรอคะ!’

          ‘อื้ม’ เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงักอย่างไร้เดียงสา

          ‘…ถ้าคุณเซบาสเตียนรู้จะถูกทำโทษเอานะคะ ไม่ดีเลยนะ’

          ‘งั้นต่อไปเน็นจะไม่ปีนอีกแล้วค่ะ…’ เด็กน้อยทำหน้ามุ่ย ทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ นั่นทำให้คุณหนูยูกะตกใจไม่น้อย รีบเข้าไปโอ๋เด็กน้อย ทั้งๆที่เตือนเพราะเป็นห่วงแท้ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะดุอะไรเลยนะ

          ‘โอ๋ๆ อย่างอนเลยค่ะ พี่ไม่ได้ว่าอากาะเนะนะ’ ยูกะวางหนังสือที่อ่านค้างไว้ลง เดินตรงไปหาเด็กตัวน้อยที่กำลังงอแงอยู่

          ‘….’ โมริยะตัวน้อยยังคงมุ่ยหน้า ไม่พูดไม่จาไม่หือไม่อือเลย สุไกโดนงอนเข้าให้แล้ว

          ‘งั้น…’ เธออึกอัก

          ‘คืนนี้อากาเนะจังมานอนกับพี่มั้ยคะ?’

          ‘ได้เหรอคะ? จริงๆนะ ยูกะไม่โกหกเน็นใช่มั้ย’ เด็กน้อยตาลุกวาว เย้! จะได้ไปเล่นในห้องยูกะด้วยล่ะ ของเล่นกับตุ๊กตาต้องเยอะแน่ๆเลย อยากเล่นแล้ว!

          ‘อื้ม จริงสิ งั้นหายงอนพี่นะ พี่จะขออนุญาตคุณพ่อกับคุณแม่อากาเนะจังให้เอง’ อากาเนะตัวน้อยได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ หายงอนสิ! ถ้าไม่หายก็คงไม่ได้เข้าไปในห้องของยูกะแน่ๆ!

          ส่วนทางด้านสุไก

          เธอมองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดู รอยยิ้มน่ารักๆของเด็กคนนี้พอเธอได้เห็นแล้วก็ทำให้พลอยรู้สึกดีใจตามไปด้วยแปลกๆ

          เธอก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไรนักว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้น

 

          อา..เธอคนนั้นนั่นเอง..

          ใช่ เธอจำได้แล้ว เด็กผู้หญิงคนนั้น…

          “พ่อจะให้เวลาลูกเตรียมตัวก่อนงานแต่งจะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้านะยูกะ ไปจัดการเคลียร์ตัวเองกับคุณวาตานาเบะเสีย”

          “ท่านพ่อ ฮึก..” คุณหญิงสุไกทอดมองลูกสาวด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย ที่จริงเธออยากจะช่วยค้านอยู่เหมือนกัน แต่เธอก็เพิ่งมารู้ก่อนลูกสาวได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้นเลยช่วยอะไรมากไม่ได้

          โธ่ ยูกะของแม่..


          “ไง มานากะ ทำไมวันนี้มาสายล่ะ?”

          “ฉันตื่นสายน่ะ พึ่งไปส่งอากาเนะที่บ้านมา”

          “อี๋! หมั่นไส้คนมีความรัก” อยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งโพล่งขึ้นมาจากที่ไกลๆ รู้เลยนะว่าใครพูด หนอย!

          “เงียบไปเลยฟุยุกะ ชิ อย่าแซวสิ” ชิดะทำเสียง ‘จิ๊’ อย่างขัดใจ เห็นชีพูดแซวแบบนี้ก็ซุกแฟนไว้เหมือนกันนั่นแหละ อย่าคิดว่าไม่รู้นะ ชั้นแอบแบล็คเมล์แกไว้!! อย่าให้แฉนะว่าตอนวันหยุดก็ไปค้างบ้านแฟนน่ะ ไซโต้ ฟุยุกะ!!

          “เสียงดังกันแต่เช้าเลยนะพวกแกเนี่ย เดี๋ยวบอสก็โวยหรอก” โยเนะทานิตะโกนมาจากที่ไกลๆ ไม่ได้ดูเลยว่าที่ตัวเองพูดมันก็ย้อนเข้าตัว

          “วันนี้บอสเข้าบริษัทด้วยเหรอ ไหนว่าต้องไปพบลูกค้ารายใหญ่ไง ได้ข่าวว่าเค้ารวยระดับประเทศเลยนะ”

          “ชีเข้ามาโม่– ดูแลเทะจิน่ะ”

          “……” ทุกคนบริเวณนั้นเงียบลง และกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย เอาอีกแล้วหรอ… และคิดในใจกันอย่างพร้อมเพรียง

          “เอ่อ พวกพี่พูดถึงหนูรึเปล่าคะ” ‘เทะจิ’ ที่ตกเป็นบุคคลสำคัญในบทสนทนาได้โผล่เข้ามาอย่างเงียบๆ หน้าตาดูตื่นๆ นี่เธอกำลังโดนนินทาอยู่รึเปล่าเนี่ย

          “เปล่าหรอก กลับโต๊ะไปทำงานของพวกแกได้แล้ว… เทะจิมานี่ วันนี้พี่มีหน้าที่สอนงานเรา” วาตานาเบะทำหน้าที่รุ่นพี่ที่ดี ไล่พวกเพื่อนเจ้าปัญหาขี้เม้าท์มอยทั้งหลายกลับโต๊ะแล้วพาตัวฮิราเตะไปสอนงานแทน พวกนี้ปล่อยว่างไม่ได้เลย ตั้งโต๊ะล้อมวงคุยกันตลอด เพลียจริง แถมเรื่องที่คุยนั่นก็เรื่องชาวบ้านทั้งนั้น

          .

          .

          .

          .

          .

          -ก็อกๆ-

          “ท่านคะ คุณนากาฮามะมาแล้วค่ะ ให้เชิญเข้าไปเลยมั้ยคะ”

          “ได้ ผมกำลังรออยู่ เชิญเค้าเข้ามา”

          นากาฮามะเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างแผ่วเบาเงียบเชียบ มีมารยาท เท่าที่เธอทราบมาจากพนักงานขาเม้าท์ในบริษัทแล้ว คุณท่านสุไกเป็นคนที่ค่อนข้างเคร่งกับเรื่องพวกนี้ถึงต้องทำอย่างระมัดระวัง ปฏิบัติตัวผิดนิดหน่อยก็โดนติได้แล้ว น่ากลัวเวอร์

          “สวัสดีค่ะท่านสุไก ดิฉันนากาฮามะ เนรุจากบริษัททานูกิคอร์เปอเรชั่นค่ะ”

          “ผมกำลังรอพบคุณอยู่เลย เชิญนั่งครับ”

          “ขอบคุณค่ะ” เนรุค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับคุณท่านสุไก หลังตรงแหน่ง รู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนสัมภาษณ์งานแรกๆอีก

          “อืม ผมอยากให้คุณออกแบบบ้านเดี่ยวดีๆสักหลังให้ผมหน่อย”

          “บ้านเดี่ยว…”

          “เป็นของขวัญให้ลูกของผมน่ะ พอดีเธอกำลังจะแต่งงาน” นากาฮามะร้องอ๋อในใจ แบบนี้นี่เอง คงจะใช้เป็นเรือนหอสินะ..

          “ค่ะ ด้วยความยินดีค่ะ”

          .

          .

          .

          .

          .

          “เลิกงานซักทีโว้ยยยยยย” เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นทันทีที่ถึงเวลาเลิกงาน และแน่นอนว่าพอเลิกงานแล้วก็ต้อง…

          “ป่ะ ไปดื่มกัน ฉันมีร้านดีๆแนะนำด้วยล่ะ”

          “ขอตัวนะ ฉันต้องไปรับ—”

          “ไปรับแฟน เหอะ! ลืมเพื่อนลืมฝูงเลยนะมานากะ พอแกมีแฟนเนี่ย ไม่ไปไหนกับพวกเราเลย”

          “อ้าว ก็มันจำเป็นนี่นา”

          “นานๆทีไปหน่อยไม่เห็นเป็นไรเลย!”

          “ทีริสะมีแฟนยังไม่ติดแฟนแบบแกเลย เนอะริสะ”

          “อืม แต่วันนี้ฉันขอตัวนะ”

          “อ้าว! / ได้ไง! /เดี๋ยวดิ!” เพื่อนร่วมบริษัททั้งหลายเริ่มโวยวาย นานๆทีจะได้ไปด้วยกันหมดนี่แท้ๆ หนอยยย พอมีแฟนแล้วก็ติดแฟนกันจริงๆ น่าหมั่นไส้!

          “งั้นน้องเทะไปกับพวกพี่มั้ย ไปเถอะๆ ไปกันเยอะๆสนุกดีนะ ไปนะ”

          “เอ่อ คือหนูดื่มไม่เป็นนะคะ” เด็กฝึกงานรีบสอดส่องสายตาหาคนช่วย ไปสบตาเข้ากับวาตานาเบะพอดี หล่อนมองริสะตาเป็นประกายเหมือนกับจะบอกว่า ‘ช่วยหนูทีค่ะรุ่นพี่วาตานาเบะ!’

          “ไม่ต้องชวนน้องเลย น้องมีงานต้องทำด้วยนี่ เนอะใช่มั้ย เทะจิต้องเอากลับไปทำที่บ้าน”

          “อ๋อ ใช่ๆค่ะ หนูคงไม่ว่างค่ะ ไว้โอกาสหน้านะคะ”

          “งั้นแกก็ไปแทนน้องสิริสะ แล้วนั่น!! คุริทาโร่จับมานากะไว้อย่าให้หนี!!”

          “เฮ้ย! ปล่อยนะ เดี๋ยวสิ เดี๋ยว เฮ้ย! หยุดนะ” มานากะพยายามหลบคุริทาโร่ที่พุ่งเข้ามาตน

          “…….” ทางด้านริสะก็ไม่ได้หนีหรือขัดขืนอะไร ยืนทำหน้าลำบากใจอยู่นิ่งๆเท่านั้น

          “ตกลงเอายังไงถ้าแกจะให้เทะจิกลับบ้าน พวกแกก็ต้องไปกับพวกฉัน เข้าใจมั้ย หึหึ”

          “งั้นก็ได้…”

          “อ้าว! แล้วทำไมริสะยอมง่ายๆแบบนั้นเล่า เดี๋ยวสิ ฉันต้องไปหาอากาเนะนะ!”

          “งั้นมานากะไม่ต้องไปก็ได้ ฉันไปแทนน้องคนเดียวก็พอแล้ว ใช่มั้ย!?”

          “เอิ่ม…แต่ไปหลายๆคนมันสนุกกว่านี่”

          “แต่ร้านเนื้อย่างมันโปรโมชั่นมา 5 จ่าย 3 นี่นา อุ๊บส์” โยเนะทานิรีบปิดปากคุริทาโร่ แต่ก็สายไปเสียแล้ว ทั้งริสะและมานากะมองหน้ากันอย่างเอือมๆ

          ไอ้พวกนี้

          ที่จริงหาคนหารค่าเนื้อย่างนี่เอง

          “เออ ไปก็ได้!” ชิดะตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย นี่เห็นว่าเธอไม่ค่อยได้ไปสังสรรค์กับพวกเจ้าพวกนี้บ่อยๆหรอกนะ คราวนี้จะไปด้วยก็ได้ ชิ!

          “ขอตัวไปคุยโทรศัพท์แป๊บนะ…” เป็นริสะที่เอ่ยขึ้นมาหลังจากทั้งหมดตกลงกันได้แล้ว

          “อืม โอเค”

          “ฉันด้วย คงต้องส่งข้อความไปบอกอากาเนะว่าไปรับไม่ได้แล้ว”

          “อ้าวทำไมแกไปโทรไปล่ะ?”

          “เค้าประชุมอยู่ ฉันไม่กล้าโทรไปกวนย่ะ”

          “อ๋อ นึกว่ากลัวถูกบ่นหูชาอะไรแบบนี้ซะอีก ฮ่าๆ”

          “จึ๊” มานากะเดาะลิ้นอย่างขัดใจ รำคาญเจ้าพวกเพื่อนจอมขี้แซวนี่จริงๆ รีบเดินหนีออกไปจากวงสนทนาทันที

          “เอ่อ งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะรุ่นพี่” ฮิราเตะโค้งให้พวกรุ่นพี่ของเธอ ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานไป

          “จ้า กลับบ้านดีๆนะ / บ๊ายบายจ้า / แล้วเจอกันน๊า”

 

          เมื่อจัดการเรื่องส่วนตัวทุกอย่างเรียบร้อย ทุกคนก็เก็บของเตรียมตัวไปกินเนื้อย่างตามที่ตกลงกันไว้ ขณะเดินไปที่ลิฟต์พวกเธาก็ได้พบกับบอสที่เพิ่งจะเข้ามาในออฟฟิศ ซึ่งวันนี้ได้หายตัวไปทั้งวัน

          “อ้าว! บอสคะ จะรีบไปไหนคะ แล้วทำไมถึงเข้ามาออฟฟิศตอนนี้ล่ะคะ?” ฟุยุกะทักขึ้นทันที

          “เทะจิอยู่ไหน!?”

          “หา!? / หา!? ” ทุกคนที่ยืนอยู่หน้าลิฟต์ พูดขึ้นมาพร้อมกันทันที

          “เทะจิล่ะ พวกเธอเห็นเทะจิมั้ย!?” นากาฮามะหันซ้ายหันขวามองหาเด็กฝึกงานของเธอ แต่ก็ไม่พบ

          “เอ่อ…กลับบ้านไปแล้วค่ะ เมื้อกี้เองค่ะ”

          “โถ่เอ้ย! ไม่ทันจนได้ เฮ้อ~” ทุกคนเงียบ กระพริบตาปริบๆ มองบอสที่ทำท่าทางตัดพ้อต่อว่าตัวเองที่มาไม่ทันเด็กฝึกงานสุดที่รักของตน ท่าทางบอสของพวกเธอจะเสียดายที่คลาดกับเทะจิมาก

          น้องกลับบ้านไปแล้ว ที่รีบกลับมาออฟฟิศเพราะอยากไปส่งน้องที่บ้านสินะคะ แหม…

          “ไหนๆก็ไม่ได้ไปส่งเทะจิแล้ว บอสไปกินเนื้อย่างด้วยกันมั้ยคะ?” ชวนเขาไปโดยไม่บอกว่ากำลังหาคนหารค่าเนื้อย่างอยู่

          แถมคนเป็นบอสน่ะ ต้องเลี้ยงลูกน้องสิถึงจะถูก

          “เห..ที่ไหน ใกล้ๆนี้หรอ?” ฟุยุกะพยักหน้าหงึกหงัก

          “กำลังคิดว่าถ้ากินเนื้อย่างเสร็จแล้วจะไปบาร์ที่อยู่ห่างกันสองสามบล็อกด้วยนะคะ บอสไปมั้ย นานๆทีจะได้ไปสังสรรค์กันนะ”

          นากาฮามะทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย จะไปมันก็ไปได้ แถมวันนี้ก็ไม่ได้ไปส่งเทะจิอีก ถ้าไม่นับเรื่องที่คุณท่านสุไกเรียกเธอไปพบเรื่องงานล่ะก็วันนี้เป็นวันที่น่าเซ็งมากๆวันนึงเลย เพราะฉะนั้น…จะไปเที่ยวกับพวกลูกน้องบ้างคงไม่เป็นอะไร ไหนๆตอนนี้ก็ว่างแล้ว

          “ได้ ไปสิ ฉันเลี้ยงเอง”

          “เย้!!!!”

          .

          .

          .

          .

          ฉ่าาา

          เสียงเนื้อที่ถูกคีบลงไปย่างดังฉ่าๆ ส่งกลิ่นหอมฉุยไปทั่ว พร้อมๆกับเสียงถอนหายใจของเจ้าของบริษัทที่ดังขึ้นอย่างไม่รู้ต้นรู้ปลาย

          “เฮ้อ..”

          “เป็นอะไรไปคะบอส?”

          “คิดถึงเทะจิ เทะจิน่าจะมาด้วยนะ ทำไมพวกเธอไม่ชวนน้องมาด้วย ฮึ?”

          “…….” ทุกคนกรอกตาเงียบๆ

          “เนี่ย แถมวันนี้ยังไม่ได้ไปส่งน้องด้วย น้องต้องคิดถึงฉันมากแน่ๆเลย”

          “……” ตอนนี้เริ่มมีบางคนแอบลอบถอนหายใจออกมาแล้ว

          “ถามจริงๆนะคะ บอสจริงจังกับเด็กคนนี้ขนาดไหนคะ”

          “ทำไมถามแบบนั้น ฉันชอบเค้าจริงๆนะ”

          “แต่ดูน้องยังไม่เข้าใจความรักเลยนะ เคยมีแฟนรึเปล่าก็ไม่รู้ค่ะ”

          “งั้นฉันก็เหมาะจะเป็นแฟนคนแรกของเค้า”

          “บอสคะ….” ฟุยุกะเรียกบอสของเธอให้หยุดเพ้อถึงเด็กฝึกงานที่รัก ก่อนที่ทุกคนจะเอียนไปมากกว่านี้ มานากะกับริสะกำลังจัดการคีบเนื้อเข้าปากเงียบๆในขณะที่ทุกคนกำลังเอือมบอสสาว ไม่ให้ใครสงสัยว่าเนื้อที่ลงไว้ก่อนหน้าหายไปไหนหมด

          “พวกเธอก็ช่วยฉันหน่อยไม่ได้เหรอ ก็รู้ว่าน้องยังโสดนี่นา”

          “มีโบนัสรึเปล่าคะ ถ้าช่วยบอสได้สำเร็จ ฮิฮิ”

          “ไม่มี”

          “อ้าว!?”

          “ก็มันเป็นหน้าที่ที่พวกเธอต้องทำอยู่แล้ว”

          “หา!? / หา!?” ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน เช่นเดียวกับตอนหน้าลิฟต์ มานากะที่กำลังคีบเนื้อเข้าปากค้างเอาไว้ท่านั้น เนื้อที่คีบตกลงบนพื้นโต๊ะ ช็อคส์

          “เอ่อ ฉันว่าจบเรื่องเทะจิเถอะ ว่าแต่วันนี้บอสหายไปไหนมาเหรอคะ ได้ข่าวว่าลูกค้าคนนี้เป็นคนใหญ่คนโตระดับประเทศเลยนี่คะ?”

          “อืม ใช่ ท่านสุไกน่ะ”

          “…….” วาตานาเบะที่กำลังย่างเนื้อให้สุซุโมโตะชะงัก เงยหน้าขึ้นมามองบอสของหล่อนนิ่ง สุไก…งั้นหรอ

          “โห! / ฉันรู้จัก!”

          “แล้วเค้าต้องการจ้างบริษัทเราออกแบบอาคารหลังใหม่เหรอคะ ได้ข่าวว่ากำลังมีโครงการจะรีโนเวทอาคารเก่าของเค้านี่คะ”

          “เปล่าๆ ไม่ใช่ เค้าเรียกไปคุยเรื่อง อยากให้เราออกแบบบ้านเดี่ยวให้เค้าน่ะ”

          “หา? แล้วเขาสร้างไปทำไมล่ะนั่น แต่ก็อย่างว่าแหละนะ คนรวยทำอะไรก็ได้”

          “เห็นบอกว่าเป็นของขวัญแต่งงานให้ลูกสาวน่ะ หูยย ฉันล่ะอยากเห็นหน้าลูกสาวเขามากเลยพวกแก แต่คงจะไม่น่ารักเท่าเทะจิของฉันหรอก” วาตานาเบะได้แต่นั่งฟังบทสนทนาเงียบๆในขณะที่คนอื่นเริ่มเอือมระอากับบอสคนนี้อีกแล้ว ริสะเริ่มคีบเนื้อย่างมากินน้อยลง ซึมไปถนัดตาเลยเทียบกับตอนแรกที่เข้าร้านมา เขาคิดเอาไว้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง ไม่ช้าก็เร็ว แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้..

          “ริสะ… เป็นอะไรรึเปล่า”

          “……..”

          “ริสะ”

          “ห่ะ หา เอ่อ…เปล่า ไม่มีอะไรหรอกมานากะ…”

          “กินเยอะๆนะ บอสอุตส่าเลี้ยง อ่ะ ฉันคีบให้”

          “ขอบคุณนะ..”

          ยูกะจะแต่งงานงั้นเหรอ ทำไมไม่บอกฉันล่ะ หรือว่าตัวยูกะเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน ฉันควรทำยังไงดี… ยูกะ…

          .

          .

          .

          .

          “อิ่มมมมม”

          “สมควร แกกินไปตั้งเยอะ เผลอไม่ได้ ฉกเข้าปากตลอด”

          “ก็นานๆทีนี่นา แถมมื้อนี้ฟรี บอสเลี้ยงด้วย ต้องกินให้คุ้มหน่อย ฮิฮิ”

          “ขอบคุณบอสมากนะคะ ว่าแต่บอสจะไปต่อกับพวกเรามั้ยคะ?”

          “ไปสิ วันนี้น่าเบื่อจะตาย กลับบ้านไปฉันก็เหงา แต่ไม่เลี้ยงเหล้าพวกแกนะ ออกกันเอง” นากาฮามะยักไหล่ พวกลูกน้องก็ตกลงกันแต่โดยดี เสียแค่ค่าเหล้าเอง คุ้มจะตายวันนี้

          “ฉันขอตัวนะ กลับล่ะ บาย~”

          “โห มานากะ นี่จะรีบกลับไปหาแฟนใช่มั้ย เออ ถ้าจะคิดถึงเค้าขนาดนั้นก็กลับไปเถอะ เจอกันพรุ่งนี้นะ”โยเนะทานิพูดติดนอยด์ๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ยอมปล่อยเพื่อนกลับแต่โดยดี

          “ฉันก็ขอตัวนะ ขอตัวนะคะบอส” วาตานาเบะหลบสายตาเพื่อนๆ เฟดตัวเองออกไปเงียบๆ ดูไม่ปกติเท่าไหร่นัก ทว่ากลุ่มเพื่อนร่วมงานกำลังดี๊ด๊ากันเรื่องไปบาร์เลยไม่ได้สังเกต

          .

          .

          “อากาเนะไม่รับสายเลย ทำอะไรอยู่น๊า ทำไมวันนี้ไม่โทรหากันเลยล่ะ” มานากะบ่นกระปอดประแปด มุ่ยหน้าน้อยๆอย่างนึกเอาแต่ใจตัวเอง

          วันนี้เธอแปลกมาก ยุ่งขนาดนั้นเชียว ฉันส่งข้อความไปหา เธอก็แค่อ่าน แต่ไม่ตอบอะไรกลับมาเลย

          หรือว่าอารมณ์ไม่ดีนะ เวลาเธอหงุดหงิดเธอจะไม่ชอบคุยกับใคร

          ไม่ได้หงุดหงิดที่ฉันไม่ได้ไปรับเธอแต่มากินเนื้อย่างกับเจ้าพวกนี้แทนใช่มั้ย เอิ่ม…

 

          – Discord Discord Yeah! Discord~

          ระหว่างที่กำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้นเสียงเรียกเข้าดังขึ้น เหลือบตามองไวๆเพราะเขากำลังขับรถกลับบ้านอยู่ เห็นเป็นชื่อคนคุ้นตาก็เริ่มหยุดคิดฟุ้งซ่านแล้ว ชิดะควานมือหาสมอลทอร์คมาสวมก่อนจะกดรับสาย

          “ฮัลโหล อากาเนะทำไมไม่รับสายล่ะคะ ยุ่งมากเหรอวันนี้?” มานากะรีบรัวคำถามใส่อีกฝ่าย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาดันเป็นเสียงสั่นเครือของหญิงสาวคนรักเท่านั้น

          “มานากะ…”

          “หืม?”

          “เราเลิกกันเถอะ”

          “!!!!!!” ประโยคนั้นเองทำให้ชิดะเหยียบเบรครถกระทันหันจนเกือบไปชนรถที่วิ่งสวนมาแล้ว แต่ในตอนนี้เธอไม่ได้สนใจอย่างอื่นเท่าคำพูดเมื่อครู่ของโมริยะแล้ว

          – เอี๊ยด –

          “วะ ว่าไงนะ! นี่ล้อกันเล่นใช่มั้ย อากา…เนะ”

          “เราเลิกกันเถอะ”

          “แต่ว่า เดี๋ยว อากาเนะ ฉันไม่เข้าใจ คือ…”

          “ฉันมันเลว ขอโทษนะมานากะ ฉันไม่เหมาะจะเป็นคนรักของมานากะหรอก”

          “ทำไมพูดแบบนี้ ไม่นะอากาเนะ ฉัน—”

          “แค่นี้นะมานากะ ขอโทษแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะคะ”

          “อากาเนะ!!! เดี๋ยว!!!”

          – ตู๊ดๆๆๆ –

          เธอตัดสายฉันไปแล้ว! นี่มันอะไรกัน ทำไมจู่ๆเธอก็มาขอเลิกกันแบบนี้ล่ะ ฉันทำอะไรผิดไปเหรอ อากาเนะอย่าทำแบบนี้!!!

          ชิดะลงทุนจอดรถข้างทางเพื่อกดโทรหาโมริยะซ้ำๆ แต่โทรไปเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับสาย จนกระทั่งโทรไปครั้งสุดท้าย อากาเนะก็ปิดเครื่องหนีไปเสียแล้ว

          “อากาเนะทำไมล่ะ ทำไมทำแบบนี้ ฉันทำอะไรผิดเหรอ ฮึก..” เสียงสะอื้นดังขึ้นแผ่วเบาในรถคันหรูสีดำสนิท เจ้าของรถนั่งอยู่นิ่งๆ จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างเลื่อนลอย น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่เอ่อล้นออกมา ไหลอาบแก้มก่อนจะหยดลงกระทบหน้าจอสมาร์ทโฟน

          มานากะปาดน้ำตาของตัวเองออกลวกๆ เช็ดหน้าจอโทรศัพท์ให้เรียบร้อย สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติ คิดหาเหตุผลที่อากาเนะบอกเลิกกับตัวเอง แต่ทบทวนดูแล้วก็ไม่เห้นมีเหตุผลอะไรที่น่าจะทำให้เธอบอกเลิกเลย

          สงสัยคงต้องไปถามกับเจ้าตัวเอง

          คิดได้ดังนั้นชิดะก็เปลี่ยนเส้นทางจากกลับบ้านของตัวเองเป็นบ้านโมริยะแทน เขาตงิดใจอยู่ไม่น้อย เรื่องนี้มันต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง อากาเนะไม่น่ามาบอกเลิกเขาแบบนี้โดยไม่บอกเหตุผลเลย

          ทว่า

          พอมานากะขับรถไปถึงบ้านตระกูลโมริยะแล้ว กลับไม่พบแม้แต่เงาของอากาเนะ กระทั่งคนในบ้านก็ไม่มีใครอยู่ซักคน มานากะเม้มริมฝีปาก หล่อนตัดสินใจโทรไปหาฟุยุกะที่ตอนนี้คงถึงบาร์ไปเรียบร้อยแล้ว

          “ฟุยุกะ”

          “อ้าว? ว่าไง เปลี่ยนใจจะมาด้วยแล้วหรอ?”

          “เออ อีกไม่ถึงยี่สิบนาทีเจอกัน” ชิดะพูดก่อนจะตัดสายไป

          ทางด้านฟุยุกะที่อยู่อีกฝั่งของสายก็ได้แต่มองโทรศัพท์ตัวเองอย่างงงๆ ทำไมเสียงมานากะมันสั่นๆ? เกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย? ทำไมวันนี้มีแต่อะไรวุ่นวายๆ..

          .

          .

          .

          .

          วาตานาเบะกลับมาถึงคอนโดก็เจอพ่อบ้านของตระกูลสุไกรออยู่แล้ว เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ใจสั่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ยังไม่อยากยอมรับความจริงตอนนี้ ยังไม่อยาก…ตัดใจจากยูกะ

          “สวสัดีครับคุณวาตานาเบะ”

          “สะ สวัสดีค่ะ…”

          “ผมมีเรื่องสำคัญมาแจ้งให้คุณทราบครับ แต่คิดว่าคุณน่าจะทราบแล้ว”

          “ยูกะ…จะแต่งงานใช่ไหมคะ?”

          “ครับ… ต้องขอโทษแทนคุณหนูด้วยนะครับ เรื่องนี้ผมเองก็พึ่งทราบวันนี้ นายท่านสั่งให้ผมนำเรื่องนี้มาแจ้งให้คุณทราบแทนคุณหนูครับ”

          “แล้วตอนนี้ยูกะอยู่ไหนเหรอคะ…”

          “นายท่านกักบริเวณไว้น่ะครับ เอ่อ ผมคงต้องรับแมวของคุณหนูกลับไปด้วยนะครับ”

          “ค่ะ…” เหมือนสมองมันโล่ง ว่างเปล่า ฉัน…ไม่รู้จะพูดอะไรเลย… เอาพวกแมวกลับไปด้วย ถึงจะไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินก็เถอะ แต่เธอก็อยู่กับพวกมันมานาน ผูกพันธ์มากอยู่เหมือนกัน คิดแล้วก็ใจหายวาบ ฉันคงคิดถึงพวกมันมากแน่ๆ พอๆกับคิดถึงเจ้าของของมันนั่นแหละ…

          .

          .

          เซบาสเตียนกลับไปแล้ว วาตานาเบะทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาตัวโปรด พูดไม่ออก ยังดีที่เขายังไม่ได้เอาเจ้าเหมียวพวกนี้ไปในทันที แต่อาจมารับทั้งหมดกลับภายในสองสามวันนี้

มิ้ลค์กระโดดขึ้นมาถูไถตัววาตานาเบะ เจ้าเหมียวขนฟูเหมือนจะรู้ว่าแฟนของเจ้านายตอนนี้อารมณ์ไม่คงที่ มันย่ำขึ้นไปนอนบนตักของริสะ ขดตัวเป็นก้อนกลมๆ น่ารักน่าชัง แต่ว่าวาตานาเบะในตอนนี้ ไม่สามารถยิ้มออกมากับท่าทางขี้อ้อนของเจ้าเหมียวได้อีกแล้ว

          “ฉันจะคิดถึงพวกแกนะ ไปอยู่ที่อื่นอย่าซนล่ะรู้มั้ย”

          “เหมี๊ยว~”

          “เป็นเด็กดีนะ เชื่อฟังยูกะด้วย แล้วก็อย่าปล่อยให้ยูกะเหงาเข้าใจมั้ย”

          “ทอมก็กินให้น้อยๆลงหน่อยล่ะ เดี๋ยวอ้วนกว่านี้ไม่รู้ด้วยนะ”

          จู่ๆมารอนก็ปีนขึ้นมาเกาะไหล่ มันแลบลิ้นเลียที่แก้มของวาตานาเบะ และตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกตัวว่าเธอร้องไห้ออกมา

          “ขอบใจนะมารอน..”


          “ฮัลโล คุริพวกแกอยู่กันอ่ะ” ริสะเข้ามาข้างในร้านแล้ว แต่ทั้งเขย่งก็แล้ว เหลือกตามองก็แล้ว ยังไม่เห็นวี่แววเพื่อนๆเลย

          “หา อะไรนะไม่ได้ยิน แป๊บนะแก เดี๋ยวก่อนนะ นี่แกมาที่นี่เหรอ อ้าวก็ไหนบอกว่า—”

          “เออน่า ฉันอยากดื่ม ขอชุดใหญ่จัดหนักๆเลย”

          “เห!? อารมณ์ไหนเนี่ย…เหมือนมานากะเลยแก” มิยุพูดเสียงดัง เพื่อนๆที่อยู่แถวนั้นได้ยินกันหมด มองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าริสะออกมาดื่มกับเขาด้วย แถมชุดใหญ่ด้วย!

          โลกต้องถึงคราวอวสานแล้วแน่ๆ

          คู่นี้มันไปโดนตัวไหนมาคะ ทุกคนรวมถึงบอสมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างสงสัย แต่กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยถามทั้งคู่ มาถึงก็ซดเอาซดเอา แทนที่ตอนนี้วงเหล้ามันจะเฮฮากัน บรรยากาศก็เริ่มมาคุขึ้นมาเสียเฉยๆ แถมทั้งคู่ก็ดูตาบวมๆ ยิ่งมานากะนี่ดูก็รู้ว่าร้องไห้อย่างหนักมาแหงๆ สงสัยทะเลาะกับแฟนมา(?) ส่วนริสะก็นั่งซดเหล้าอักๆไม่พูดไม่จา หน้านิ่งมากจนน่ากลัว แล้วนี่ทะเลาะกับแฟนมาด้วยมั้ยนะ(?)

          แล้วใครมันจะไปกล้าถามล่ะคะ..

          ไซโต้หันไปหันมา หาคนช่วยพูดให้ทั้งสองคลายเครียดลง แต่เหมือนจะไม่มีใครช่วยได้เลยซักกะติ๊ด คุริทาโร่ก็โดนหักอกไปหมาดๆ บอสนากาฮามะที่ยังตามเต๊าะตามจีบเด็กไม่ติดซักที ส่วนตัวเธอก็…แฟนก็มีนั่นแหละ แต่เขาไม่อยู่ เพิ่งบินไปต่างประเทศเมื่อวานเลย..

          ‘อืม ก๊กนี้มีปัญหาหัวใจแทบจะทุกคนเลยแหะ’

          ‘เอ้อ ยังมีอีกคนนี้น่า’

          “ฉันไม่รู้ว่าพวกแกมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรอกนะ แต่ถ้าอยากระบายล่ะก็ ระบายกับพวกเราก็ได้นะ เก็บไว้มันอึดอัดออก”

          วาตานาเบะหันไปมองหน้าชิดะ ทั้งสองเหมือนจะคุยกันผ่านสายตารู้เรื่องยังไงยังงั้น ด้วยความที่ค่อนข้างสนิทกันเลยพอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายโดนอะไรมาบ้าง

          “จะให้พูดจริงๆหรอ?” วาตานาเบะถาม

          “เออ พูดออกมาเลย อย่างน้อยก็ทำให้สบายใจนะ”

          “…” มานากะพยักเพยิดมาทางคนที่นั่งข้างๆเป็นเชิงบอกว่าให้เขาพูดก่อนเลย

          “…ฉันไม่เคยบอกเลยใช้มั้ยว่าแฟนฉันนามสกุลอะไร บอกแค่ว่าชื่อยูกะ”

          “อ่าฮะ”

          “เธอเป็นลูกสาวของคุณสุไก”

          “…….” ทั้งโต๊ะเงียบกริบ ตะลึงกันไปแล้ว ไม่คิดไม่ฝันมาโลกมันจะกลมได้ขนาดนี้

          “ง งั้นก็แสดงว่า…”

          “เออ เธอโดนบังคับให้เลิกกับฉันเพราะเรื่องแต่งงานงี่เง่าทางธุรกิจ ถ้าฉันเดาไม่ผิดน่ะนะ”

          “ห๊ะ!!!?”

          “แต่ฉันก็พอรู้อยู่แล้วว่าทางบ้านของเธอคงไม่ยอมรับฉันหรอก”

          “เห้ย แกโอเคนะ ริสะ…”

          “อืม… ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มัน…บอกไม่ถูก…” ริสะค่อยๆเบาเสียงลง เพื่อนๆถึงเบนความสนใจไปหาคนผมสั้นอีกคนแทน ปล่อยให้วาตานาเบะนั่งซดเหล้าทำใจไปก่อน

          “แล้วแกล่ะมานากะทะเลาะกับแฟนมาเหรอ? ฉันเดาถูกมั้ย?”

          “เปล่า ไม่ได้ทะเลาะ…”

          “อ้าว!? แล้ว—”

          “ฉันพึ่งถูกแฟนบอกเลิกมา…”

          “ห๊ะ!!!? / ว่าไงนะ! / เห้ย!!!”

          ช็อคส์

          “เดี๋ยว พวกแกโดนบอกเลิกพร้อมกัน วันเดียวกันเลยหรอ!!?”

          “อืม / ใช่”

          “เห มันแปลกๆนะ อะไรจะเกิดขึ้นพร้อมกันขนาดนี้เนี่ย เป็นไปได้หรอ?” นานามิดันกรอบแว่นที่ตัวเองใส่อยู่ กอดอกนั่งพิงพนักโซฟส ก่อนจะหันไปขอความเห็นจากบอสของตัวเอง

          “อย่า – ปายเคด – มากนา – พวกแก แค่ผู้หญิงแค่คนเดียวเองนา อึก! หาแฟนหม่ายก็จบ – เรื่อง – อึ๊ก!”

          “…….” บอสคะ…

          “เอ่อ..ฉันว่าหาคนหิ้วบอสไปส่งที่รถแท็กซี่มั้ย..”

          “บอกคุณโอดะสิ เพื่อนบอสนี่”

          “โอเคๆ งั้นเดี๋ยวฉันมานะ บอสคะ ไหวมั้ยเนี่ย?” สุซุโมโตะอาสาเป็นคนพานากาฮามะไปหาโอดะเอง(หล่อนเพิ่งโดนโอดะหักอกไป แต่ก็ไม่เข็ด มาทีไรตามจีบอยู่เรื่อย) พอบอสคออ่อนถูกพาออกไปจากวงเหล้าแล้วโยเนะทานิก็พากลับเข้าเรื่องอีกครั้ง

          “เราคงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วล่ะ งั้นมาชนกันหน่อย ฉลองให้เพื่อนโสดอีกครั้งละกันนะ”

          “อืม”

          “เอ้า! ชน! เพื่อนโสดพร้อมกันแล้วค่า เย้!”

          – แกร๊ง!! –

          ‘เอ่อ แต่ฉันไม่โสดนะ..’ เอิ่ม เห็นแก่เพื่อนๆตามน้ำไปก่อนแล้วกัน ฟุยุกะคิดในใจ

          .

          .

          ดื่มกันไปได้ซักพักพวกคออ่อนก็เริ่มออกอาการ แน่นอนว่ารายแรกที่ไปเลยคือวาตานาเบะ ปกติหล่อนไม่ค่อยได้ดื่มอยู่แล้ว พอมาจัดชุดใหญ่แบบนี้เลยเมาง่ายกว่าพวกมานากะที่มาดื่มบ่อยกว่าอยู่มากทีเดียว

          “ยูก๊า ฮืออออ คิดถึงยูก๊าาาาาา ทำไมใจร้ายแบบนี้ ท่านสุไกใจร้าย ฮึก ฮืออออ”

          “อากาเนะจางงง… ทำไมทำกับมานากะแบบเน้ ฮึก เราคบกันมาตั้งนาน พอจะเลิกกัน แค่ ฮืออออ โทรมาแค่ ฮึก ไม่ถึง ฮืออออ ห้านาที ฮึก”

          “บังคับให้เลิกไม่พอ ฮือ เอาม แมวไปด้วย ฮึก..”

          “บ้า บ้าที่สุด ใจร้ายเกินไปแล้ว มานากะทำอะไรผิด ห้ะ! อากาเนะจัง บอกมาสิคะ!?”

          “โว้ย นี่ฟุยุกะย่ะ ไม่ใช่อากาเนะจังของแก๊ มานากะหยุ๊ด!!! หยุดเขย่าชั้นสักที๊!!!” บางทีฟุยุกะก็คิดนะคะว่าถ้าชิโอริที่รักมาเห็นจะโดนอะไรบ้าง..

          “อ่ะ! นี่ทิชชู่ เช็ดหน้าซะ พอมั้ย เดี๋ยวไปขอคุณโอดะเพิ่มดีมั้ย ดูเหมือนจะไม่พอเลยพวกแก”

          “ฉันว่าสองคนนี้เมาหนักแล้วเนี่ย ยิ่งริสะนี่พึ่งเคยเห็นออกอาการขนาดนี้นะ ฮ่าๆ ตลกจัง”

          “แกก็…สงสารเพื่อน อย่าไปขำมันสิ เอ้าาา!!! ร้องไห้หนักกว่าเดิมแล้วนั่น! คุริ!!!”

          “ขอโทษที งั้นฉันไปเรียกพนักงานมาช่วยหิ้วพวกนี้ก่อนนะ” เพราะพวกหล่อนทุกคนตัวแทบจะเตี้ยกว่าสองคนนี้ทั้งนั้น แรงน้อยกว่าด้วย เอ้อ พอเมาแล้วโคตรภาระเพื่อนเลย..

          “อืม ให้ไวเลยจะล้มลงไปนอนที่พื้นแล้วเนี่ย”

          สุซุโมโตะรีบวิ่งระริกระรี้ไปหาคุณโอดะเจ้าของร้าน ถ้ามีหูกับหางมันคงกระดิกไม่หยุดแล้ว พูดไปซักสองสามประโยคโอดะก็เรียกพนักงานคนสนิทสองคนไปช่วยหิ้วปีกสองคนนั้นกลับบ้าน


          “วันนี้ก็วุ่นวายอีกแล้วเนอะคุมิ” หลังหิ้วพาลูกค้าทั้งสองไปส่งแท็กซี่แล้วหนึ่งในพนักงานสองคนนั้นก็พูดขึ้น

          “อืม ว่าแต่ตัวเองกลับบ้านไปแล้วเค้าขออาบน้ำก่อนได้มั้ยอะ?”

          “อื้อ แล้วแต่สิ ใครห้าม”

          “เอ๊ หรืออาบด้วยกันดี?”

          “..” คู่สนทนาดันเงียบใส่คุมิซะงั้น

          “เงียบแปลว่าตกลงนะ♡” ซาซากิหัวเราะหึๆในลำคอ รวบเอวอีกฝ่ายมากอดแล้วขโมยหอมแก้มไปอย่างอารมณ์ดี

          วันนี้ก็ได้รางวัลจากชิโฮะอีกแล้ว

Fiction

No Choice (M.A.R.Y.) : 01

– 01 : Love is in the air –

Manaka S. x Akane M. x Risa W. x Yuuka S.

ปกฟิค1


          “รอนานมั้ย อากาเนะ” เสียงดังแว่วมาจากหญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้ม สั้นประบ่า หล่อนกำลังวิ่งตรงมาหาหญิงสาวอีกคนที่กำลังยืนรออยู่ พอถึงที่หมายก็ยืนหอบแฮ่กๆ ให้หญิงสาวที่ยืนข้างๆนึกขำในใจ

          “อืม ไม่นานหรอก” เธอพูดกับคนผมสั้น ดวงตาทอดมองไปยังอีกฝ่ายก่อนยื่นขวดน้ำที่ซื้อติดมาให้

          ‘โมริยะ อากาเนะ’ หญิงสาวเรือนผมยาวสวยที่ดัดลอนอ่อนๆที่ปลายผม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มดูมีเสน่ห์ เวลาถูกจ้องมองด้วยตาสีเข้มคู่นี้ราวกับตกอยู่ในมนต์สะกด นิ้วเรียวของหล่อนกำลังเกลี่ยปัดปอยผมที่ตกลงมาบังหน้าบังตาของ ‘ชิดะ มานากะ’ แฟนสาวของเธอ หล่อนเป็นคนที่มีท่าทางทะมัดทะแมงบวกับผมสั้นๆนั่นแล้วยิ่งทำให้ดูมาดเข้มไปอีก วันนี้ทั้งสองคนนัดกันออกมาเที่ยวข้างนอก เรียกว่าเดทก็อาจจะได้ เพราะก็ไปกันแค่สองคน แถมหนีคนที่บ้านมาอีกต่างหาก

          “ขอโทษนะ พอดีฉันไปซื้อนี่มาน่ะ”

          “เอ๋!? อะไรน่ะ กุหลาบเหรอ”

          “ใช่ เธอชอบรึเปล่า ฉันจำได้ว่าเธอชอบกุหลาบแดงนี่”

          “ใช่ ฉันชอบกุหลาบแดง เอ๋!? จำได้ด้วยเหรอ ตั้งแต่เราคบกันมา เธอไม่เคยให้ดอกไม้ฉันเลยนะ” โมริยะหัวเราะเบาๆ พวงแก้มแอบแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย

          “ได้สิ ฉันไม่เคยลืมหรอก ที่จริงฉันอยากจะซื้อให้เธอมานานแล้ว แต่ฉันเขินเกินกว่าจะให้เธอนี่นา” มานากะเกาท้ายทอยอย่างเขินๆ หลบตาเสไปมองทางอื่นแทน ที่จริงก็ซื้อไว้ให้บ้างตามโอกาส แต่กว่าจะทำใจเอาไปให้อากาเนะได้มันก็เหี่ยวไปหมดแล้ว แถมขี้เกียจไปซื้อใหม่อีก ก็เลยปล่อยเลยตามเลย

          “มานากะเนี่ยนะเขิน ฮะๆ ไม่สมกับเป็นมานากะเลยนะ”

          “ใจร้าย พูดแบบนี้หมายความว่าไง ชิ!”

          “อ้าว! โถ่ ฉันพูดเล่น พูดเล่นนะ อย่างอนสิ ดอกไม้สวยมากค่ะ โอ๋ๆ”

          คนตัวเล็กกว่าหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ตั้งใจจะง้ออีกฝ่ายเลยเอื้อมไปดึงปกเสื้อเขาลงมาและลงมือขโมยจูบที่ริมฝีปากบาง นัยตาสบกันเพียงชั่วครู่ก่อนที่อากาเนะจะเป็นฝ่ายเลื่อนสายตาไปมองทางอื่น หล่อนขบกัดที่ริมฝีปากล่างของชิดะเบาๆด้วยเขี้ยวเล็กๆที่มุมปากแล้วผละออกมา

          “อากาเนะ!!! นี่!!!” ชิดะโวยวาย ก็นี่มันข้างนอก คนเดินไปเดินมาตั้งเยอะ มาจูบกันแบบนี้ น่าอายจะตายไป

          “มานากะ หายงอนแล้วเหรอ?”

          “ถ้าไม่หายงอนเธอจะง้อฉันยังไง?”

          “หืม…เอ นั่นสินะ”

          “อะ อะไร ทำไมต้องทำหน้าตาเจ้าเล่ห์แบบนั้นด้วยล่ะ… เธอต้องง้อ ฉะ ฉันนะ” พออีกฝ่ายพูดเสียงติดๆขัดๆ อากาเนะก็อดที่จะขำไม่ได้ ปกติเขาไม่ได้เขินแบบนี้ซักหน่อยนี่นา แต่พอเขินแล้วก็น่ารักดี แถมท่าทางเงอะงะนั่นยังแอบตลกหน่อยๆด้วย

          “อ้าว ก็เธออยากให้ฉันง้อนี่ ก็ต้องง้อสิ แต่ว่า…”

          “ตะ แต่ว่าอะไร…”

          “หึ ไม่บอก อยากรู้เหรอ ขยับมาใกล้ๆสิ”

หล่อนไม่พูดเปล่า ขยับหน้าเข้าไปใกล้คนตัวสูงอีกรอบด้วย คราวนี้ไม่ได้ดูเหมือนจะง้อ แต่กลายเป็นแกล้งแล้วมากกว่า สายตาเจ้าเล่ห์หรี่ลงเล็กน้อย ยกยิ้มที่มุมปาก ในขณะที่มานากะก็เป็นฝ่ายผวาออกไป หน้าตาดูตื่นๆเล็กน้อย แต่นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ อากาเนะชอบแกล้งเธอแบบนี้ซึ่งเธอเองก็ไม่ชินกับมันซักที

          “อะ อะไร อากาเนะนี่ชอบแกล้งกันเกินไปแล้วนะ”

          “คิก คิก ดูทำหน้าเข้าสิ มานี่! ฉันมีอะไรจะบอก กลัวอะไรเล่า” พูดไปมือก็ดึงปกเสี้อเขาลงมาอีกรอบ ไม่มีทางให้หนีซะหรอก!

          ขยับริมฝีปากเข้าไปใกล้ใบหูของอีกฝ่าย ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่สิ่งที่ออกมากลับมาแค่ลมหายใจร้อนที่รดอยู่ตรงหู โมริยะไล้ริมฝีปากที่ทาลิปกลอสผ่านแก้มของคุณแฟน มาจบลงที่เดิมที่เพิ่งผละออกไปเมื่อครู่นี้เอง หล่อนกดริมฝีปากย้ำจูบลงไป เขี้ยวที่มุมปากยังคงย้ำกัดที่ริมฝีปากล่างของอีกฝ่ายเช่นครั้งก่อน

          หมั่นเขี้ยว

          “อากาเนะ…”

          “หืม?”

          “ถ้าเธอยังจูบฉันอยู่แบบนี้ล่ะก็ ฉันจะกลับแล้วนะ…”

          “อ้าว ขอโทษ ฉะ ฉันไม่รู้ว่าเธอไม่ชอบ…”

          “เปล่า… คือ ฉัน…” มานากะมองซ้ายมองขวา ล่อกแล่ก ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่อีกฝ่ายจูบแบบนี้ แต่นี่เธอสองคนมาเดทกัน ถ้ายังอ้อยอิ่งอยู่ตรงนี้มีหวังไม่ได้ไปเดินเที่ยวกันพอดี

          “หืม เธอคิดไปถึงไหนน่ะ อย่าบอกนะว่า อุ๊บ!”

          “พอแล้ว ไปกันเถอะ อืม ทำอะไรดีล่ะวันนี้ อากาเนะมีแพลนทำอะไรบ้าง”

          “อืม นั่นสินะ ดูจากเวลาแล้ว นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วนี่นา ไปหาอะไรกินกันเถอะ”

          “อากาเนะอยากกินอะไรล่ะ”

          “เอ๋ อะไรก็ได้ มานากะอยากกินอะไร”

          “อยากกิน….”

          ‘อยากกินอากาเนะ..’

          แต่ตอบไปแบบนี้โดนตบแหงๆ เพื่อความเซฟ ตอบดีๆดีกว่า

          “หืม?”

          “งั้นกิน…เนื้อย่าง!”

          “เนื้อย่างเหรอ… อืม…” โมริยะทำท่าครุ่นคิด หัวคิ้วกดลงเล็กน้อย

          “เอ๋ ทำไมเหรอ”

          “นี่มันพึ่งเที่ยงเองนะ กลิ่นมันจะติดรึเปล่า ถ้าเราจะไปที่อื่นล่ะ มีอย่างอื่นแนะนำมั้ย”

          “อา จริงด้วยสิ งั้น…อาหารอิตาเลี่ยนล่ะ?”

          “อิตาเลี่ยนเหรอ อืม…” หล่อนทำท่าครุ่นคิดอีกรอบ อืมมม….

          “ไม่ดีเหรอ?”

          “พวกอาหารอิตาเลี่ยนมันใส่กระเทียมเยอะนะ ก็แบบว่า…”

          “เอ แล้วอาการเนะอยากกินอะไรล่ะ”

          “อืม อะไรก็ได้นอกจากเนื้อย่าง แล้วก็อาหารอิตาเลี่ยนไงคะ”

          “อืม… งั้น…แฮมเบิร์ก”

          “แฮมเบิร์กเหรอ…” โมริยะทำเสียงงุ้งงิ้งเหมือนกำลังคิดว่าเอาแฮมเบิร์กดีมั้ยนะ..

          “เอ๋!? ไม่ได้เหรอ”

          “มันซ้ำนะมานากะ”

          “ซ้ำ? เอ๋ แต่เมื่อเช้าเราไม่ได้กินแฮมเบิร์กนะ”

          “แต่เมื่อวานก็กินไปแล้วนะ”

          “อา งั้นเหรอ จริงสิ… งั้นอากาเนะเลือกสิ ฉันคิดไม่ออกแล้ว”

          “นอกจากนี้ไม่มีอะไรแล้วเหรอ” โมริยะทำหน้าเศร้า

          “เอ๋ อืม…งั้นอาหารจีน”

          “ไม่เอา” อากาเนะรีบสั่นหน้าปฎิเสธทันที

          “หา งั้นก็ซูชิล่ะ ซูชิเป็นไง”

          “ไม่อยากกิน ไม่มีอย่างอื่นแล้วเหรอ”

          “…….” อากาเนะ นี่เธอ… ชิดะคิดในใจ หัวเริ่มจะปวดตุบๆ นู่นก็ไม่เอานี่ก็ไม่เอา…

          “เอิ่ม งั้นแกงกะหรี่?”

          “ไม่เอา เค้าเบื่อแล้ว”

          “…….” แล้วฉันเลือกอะไรได้มั้ย… หล่อนกะพริบตาปริบๆมองคู่สนทนา อยากจะร้องไห้ วันนี้จะได้กินมั้ยข้าวเที่ยง

          “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิมานากะ”

          “ก็นี่เราคุยกันมาตั้งนานยังไม่รู้จะกินอะไรเลยนะอากาเนะ เฮ้อ~ อากาเนะเลือกซักอย่างสิคะ”

          “งั้นราเม็งล่ะ?”

          “โอเค ราเม็ง ป่ะ ไปกันเถอะฉันหิวแล้ว”

          ‘บอกว่าจะกินราเม็งแต่แรกก็จบแล้วมั้ย อากาเนะเอ้ยยย’ ชิดะแอบน้ำตาตกใน เถียงกันมาตั้งนานว่าจะกินอะไร สุดท้ายมาจบลงที่ราเม็ง อาหารง่ายๆ โถ่เอ้ย

          หลังตกลงกันได้ว่าจะกินราเม็ง ไม่กินอย่างอื่น และไม่มีข้ออ้างด้วยว่ามันอย่างงู้นอย่างงี้ ทั้งสองคนถึงได้ฤกษ์เดินไปหาร้านราเม็งซักที ระหว่างทางอากาเนะก็ชวนอีกฝ่ายคุยโน่นคุยนี่ไปด้วย แต่มานากะก็เดินเร็วเสียเหลือเกิน อาจเพราะเมื่อกี้เถียงกันเรื่องข้าวเที่ยงนานไป ตอนนี้เลยโมโหหิว..

          ตุบ!

          และเพราะความโมโหหิวโดยเดินไม่ดูทางของมานากะนั่นเองทำให้เธอไปชนกับคนๆนึงเข้า

          “อ่ะ!”

          “ขอโทษค่ะ!”

          “อ้าว! / อ้าว!” สองเสียงถูกพูดประสานขึ้น ต่างฝ่านต่างแปลกใจ

          “มานากะ!? เอ๋ บังเอิญจังนะ” หญิงสาวที่ถูกมานากะเกินชนพูดยิ้มๆ เหมือนจะไม่ถือสากับที่เดินชนเมื่อครู่ เพราะในเมื่อคนที่เดินชนเป็นคนรู้จักนี่นา

          ‘วาตานาเบะ ริสะ’ หญิงสาวตัวสูง หล่อนไว้ผมยาวกว่าชิดะนิดหน่อย สีเข้มกว่าอยู่มากทีเดียว หางตาสีเข้มตกลงมาดูใจดี มือเรียวยกขึ้นมาเกลี่ยผมตัวเองขึ้นทัดบนใบหูก่อน ตาเหลือบไปมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆเพื่อนของเธอ หล่อนไม่คุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้เลย สงสัยว่าเป็นใครกันนะ…

          “ขอโทษนะที่เดินไม่ระวัง ริสะ มา เอ่อ..”

          “ฉันมาซื้อของกับยูกะน่ะ”

          “อ๋อ ฉัน อ่ะจริงสิ! นี่อากาเนะแฟนฉันเอง”

          “ว้าว มานากะมีแฟนแล้วเหรอ สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันวาตานาเบะ ริสะ”

          “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักเช่นกันค่ะ ฉันโมริยะ อากาเนะ”

          “แล้วยูกะไปไหนล่ะ ทำไมริสะถึงอยู่ตรงนี้คนเดียว”

          ยูกะ?

          อากาเนะแอบขมวดคิ้ว ชื่อคุ้นๆ ยูกะ…ยูกะงั้นหรอ แต่คงไม่ใช่ยูกะที่เธอรู้จักหน้าค่าตาหรอกนะ เพราะคนชื่อยูกะก็มีเยอะแยะถมเถไป แต่ถ้าเป็นยูกะนั้น..ก็คงจะดี

          “อ๋อ เธออยู่ในร้าน Pet Shop เธอบอกให้ฉันออกมารอข้างนอกก่อน เพราะมันอาจจะนาน”

          “อืม งั้นฉันขอตัวก่อนนะ”

          “อืม โชคดีนะ แล้วเจอกัน”

 

          “คนเมื่อกี้เค้าเป็นเพื่อนมานากะเหรอ” พอแยกกันแล้วโมริยะก็ยิ่งคำถามใส่คนรักทันที หล่อนยังค้างคาใจว่าใช่ยูกะที่หล่อนรู้จักหรือเปล่า

          “อืม ใช่ เพื่อนร่วมงานน่ะ ค่อนข้างสนิทกันเลยล่ะ แฟนเค้าน่ะรวยมากกกกก…” ชิดะลากเสียงยาว เพื่อบ่งบอกถึงความรวยของอีกฝ่าย ยังรู้สึกอิจฉาริสะอยู่เลย เหมือนหนูตกถังข้าวสาร

          “ไม่แปลกหรอก เค้าดูดีมากนะ น่ารักดีอ่ะ” โมริยะทำท่าดี๊ด๊าจนน่าหมั่นไส้ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่ออยู่ๆอีกคนก็เงียบใส่ สงสัยจะงอนซะแล้ว

          “………”

          “อะไร แต่สู้มานากะของฉันไม่ได้หรอก โอ๋ๆ อย่างอนนะ”

          “เปล่า ไม่ได้งอน แค่หมั่นไส้เฉยๆ หนอย เห็นคนหน้าตาดีหน่อยก็กรี๊ดเค้าเชียวนะ”

          “โถ่ แค่นี้เอง แล้วนี่ไม่หิวแล้วเหรอ ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวคนเยอะนะ รอนานอีก เนอะๆ”

          “อื้ม”

          มือนุ่มของโมริยะสัมผัสเข้ากับมือของอีกฝ่าย หล่อนอยากเดินจับมืองุ้งงิ้งแบบคู่รักคู่อื่นๆบ้าง เมื่อกี้มานากะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน แอบใจเสียเบาๆแต่ตอนนี้น่าจะหายแล้ว ชิดะที่เห็นแบบนั้นเลยคว้ามือของคนตัวเล็กมากุมเอาไว้จนกระทั่งเดินถึงร้านราเม็งแล้วก็ยังไม่ได้ปล่อยออก พวกเธอเข้าไปหาที่นั่งในร้าน สั่งเมนูเดียวกัน คุยเล่นกันซักพักพนักงานก็ยกราเม็งมาเสิร์ฟ

          วันนี้ก็เป็นวันที่ดีอีกวันสำหรับคนทั้งคู่ที่ได้ใช้เวลาอยู่กับคนรักอย่างเต็มที่ ถึงแม้ตอนแรกจะมีง้องอนกันบ้างก็เถอะนะ


          ทางฝ่ายของวาตานาเบะ หลังจากหล่อนแยกกับมานากะ เพื่อนซึ่งทำงานอยู่ออฟฟิศเดียวกันแล้วก็กลับไปเดินวนอยู่แถวๆหน้าร้าน Pet shop สไลด์หน้าจอสมาร์ทโฟนของตัวเองเช็คข่าวสารแก้เบื่อ คนรักของเขาหายไปในร้านนี้นานจริงๆอย่างที่หล่อนบอก คงกำลังเลือกซื้อของให้ ‘ทอม’ เจ้าแมวสก็อตติชโฟลด์หน้าตากวนประสาทตัวอ้วนกลมของเธออยู่ ริสะไม่ค่อยเข้าใจว่ามันน่ารักตรงไหน แต่ในเมื่อยูกะบอกว่าน่ารักก็คือน่ารักนั่นแหละ

‘สุไก ยูกะ’ ลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลสุไกที่รวยติดอันดับประเทศ หล่อนเป็นคนที่เพียบพร้อมทั้งกิริยามารยาท หน้าตา คำพูดคำจา และฐานะ พวกไฮโซหลายๆคนต่างหมายปองอยากได้หญิงสาวคนนี้มาครอบครองเป็นเจ้าของ แต่ใครจะรู้เล่าว่าที่จริงแล้วเจ้าของหัวใจของเธอเป็นแค่สถาปนิกธรรมดาๆคนนึงเท่านั้นเอง

          “ริสะ~ ฉันมาแล้ว”

          “เลือกได้แล้วเหรอ ได้อะไรมาบ้างล่ะ?”

          “เยอะแยะเลย นี่ดูสิ” สุไกพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง ยิ้มตาหยี พลางเปิดถุงที่เธอถือมาอย่างพะรุงพะรังให้วาตานาเบะดู

          “มานี่! ฉันช่วยถือดีกว่า โห ยูกะถูกคุณพนักงานหลอกให้ซื้อเพราะส่วนลดอีกแล้วรึเปล่าเนี่ย…”

          “ไม่เยอะนะ แค่นี้เอง ก็พวกขอจำเป็นของทอมทั้งนั้นแหละ นี่ เดี๋ยวนี้เค้ามีอาหารเสริมสูตรใหม่ด้วยล่ะ ฉันกลัวทอมจะเบื่ออาหารนี่นา น่าสงสารออก กินแต่อาหารรสชาติเดิมๆ”

          “อื้ม นั่นสินะ…” แมวก็เบื่ออาหารได้ด้วยเหรอ.. วาตานาเบะพูดออกไปตรงกันข้ามกับความคิดจริงๆซึ่งหมั่นไส้เจ้าลูกชิ้นนั่นจะตายแล้ว

          “ยูกะนี่รักทอมมากเลยนะ เอ ฉันชักจะอิจฉาซะแล้ว”

          “เห โถ่..ทอมเป็นแค่เพื่อนเวลาฉันเหงาเท่านั้นแหละค่ะ เทียบกับริสะไม่ได้หรอก”

          “ดูยูกะสนใจทอมมากเลยนี่นา ทั้งๆที่ที่บ้านยูกะเองก็มีแมวตัวอื่นๆอีก แบบนี้ตัวอื่นไม่น้อยใจแย่เหรอ?”

          “เอ๋ ก็ฉันสนิทกับทอมมากที่สุดนี่คะ แต่ว่าฉัน…” สุไกดูท่าทางจะวุ่นวายในทันทีที่ถูกอีกฝ่ายถามคำถามที่ยากจะอธิบายความสัมพันธ์(?)ของตนกับเหล่าบรรดาแมวพวกนั้น เพราะทอมเป็นแมวตัวโปรดเธอถึงเอ็นดูมันมากกว่าแมวตัวอื่นๆนี่นา

          “อ๋อ งั้นเหรอ…” มีสนิทกับไม่สนิทด้วยเหรอ…

          “อื้ม งั้นเรากลับกันเลยมั้ยคะ หรือริสะมีอะไรที่อยากทำอีกรึเปล่าคะ?”

          “อืม งั้นเรากลับกันเลยก็ได้” ริสะพยักหน้าเล็กน้อย สองมือช่วยสุไกถือของทั้งหมดแทน ส่วนเจ้าของข้าวของพวกนี้ก็ขยับเข้ามาเกาะแขนหล่อน แนบแก้มกับไหล่ของอีกฝ่าย ช้อนตามองอ้อนๆ

          “มองแบบนี้อยากได้อะไรคะ หืม?”

          “อืมมม เปล่าหรอกค่ะ” หล่อนแย้มยิ้มออกมาเหมือนมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง วาตานาเบะเหมือนจะรู้ทัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร รอกลับไปที่บ้านดีกว่าแล้วค่อยจัดการแม่แมวน้อยของเขา

          “เอ๋ นึกว่ายูกะอยากได้อะไรซะอีก งั้นไม่มีอะไรแล้วเรากลับห้องกันดีกว่าเนอะ” สุไกพยักหน้า เดินเกาะแขนแฟนสาวไปตลอดทางจนกระทั่งถึงรถ วาตานาเบะจัดการเก็บของสัมภาระต่างๆ(ซึ่งทั้งหมดเป็นของแมวลูกชิ้นของยูกะ) แล้วเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้คุณหนูตระกูลสุไก ส่วนตัวเขาเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนขับ สตาร์ทรถก่อนขับกลับไปยังคอนโดที่ตัวริสะกับยูกะอยู่ด้วยกัน ป่านนี้พวกแมวๆคงรอกันแย่แล้วมั้งเนี่ย

          .

          .

          .

          .

          .

          ไม่นานทั้งสองก็ถึงคอนโดหรูของวาตานาเบะ ช่วยกันถือของไปขึ้นลิฟต์เพื่อขึ้นห้อง ดีที่คอนโดของริสะเขาให้เลี้ยงสัตว์ได้ ไม่งั้นยูกะต้องเหงาแน่ๆถ้าทอมกับพวกแมวๆไม่ตามมาอยู่ด้วย

          “หม่ามี้กลับมาแล้ว คิดถึงกันมั้ยคะ” เมื่อเก็บของเข้าที่เรียบร้อยแล้ว สุไกก็รีบเดินไปอุ้มทอมขึ้นมาวางบนตัก และลูบเจ้าแมวอ้วนอย่างเอ็นดู เหมือนจะลืมคนที่ช่วยตัวเองถือของเข้ามาไปสนิท

          “……..” ส่วนทางด้านวาตานาเบะก็ทำหน้าที่คนรักที่แสนดี เดินไปเปลี่ยนทรายแมว เทอาหารใส่จานให้เหล่าน้องแมว เร่งแอร์ให้พวกเปอร์เซียขนยาว จะได้ไม่ร้อนจนเกินไป ปล่อยให้ยูกะงุ้งงิ้งกับเจ้าทอมแมวลูกชิ้นของหล่อนไป ริสะที่เห็นแบบนั้นเลยอุ้มแมวเปอร์เซียสีขาวตัวนึงที่กำลังนอนแผ่อยู่กลางห้องไปแปรงขนรอ

          “แกอิจฉาทอมบ้างมั้ยเนี่ย ฮะๆ ว่าไงมิ้ลค์? อิจฉาใช่มั้ย?”

          “เหมี๊ยว~”

          “อย่าน้อยใจไปเลยน่า ฉันจะเล่นกับพวกแกเองนะ” วาตานาเบะลูบเจ้าก้อนขนนุ่มบนตักของตนเบาๆอย่างอ่อนโยน

          “เหมี๊ยว~ / หม๊าว~” เจ้าเหมียวทั้งหลาย(ที่ไม่ใช่ทอม)ร้องขานตอบกันอย่างพร้อมเพรียงราวกับจะฟังที่เจ้าของห้องพูดออก

          ที่จริงแล้วแมวทั้งหมดที่เลี้ยงในคอนโดของวาตานาเบะมีสี่ตัว ตัวแรกคือทอม สก็อตติชโฟลด์สีส้ม หน้าตากวนประสาทกับท่านั่งประหลาดๆของมัน ตัวที่สองเป็นสก็อตติชโฟลด์สีเดียวกันกับทอม แต่น่ารักกว่าหลายขุมชื่อว่า ‘มารอน’ ส่วนเปอร์เซียร์ตัวที่ริสะกำลังแปรงขนให้อยู่ชื่อ ‘มิ้ลค์’ อีกตัวที่นอนอยู่บนหมอนใบใหญ่นุ่มๆที่ประจำชื่อว่า ‘พุดดิ้ง’

เจ้าเหมีวทั้งสามผลัดกันเข้ามานัวเนียกับวาตานาเบะ หล่อนก็เล่นกับมันทุกตัว ทอมเป็นแมวแค่ตัวเดียวที่อยู่กับสุไกตลอดเวลาไม่ห่าง(มันคงรู้ว่าถ้าอยู่กับยูกะแล้วจะได้ขนม) ริสะเลยเข้าใกล้ทอมไม่ค่อยได้ เอาแต่ใจ ต่างกับเจ้าของมันลิบลับที่ถ้าผละตัวออกจากเจ้าลูกชิ้นได้ก็จะมานั่งเล่นกับเธอ

          “เหมี๊ยว~”

          “อ้าว ทอมจะนอนแล้วเหรอคะ เดี๋ยวหม่ามี้พาไปนอนนะ”

          “เหมี๊ยว~” ทอมนี่แสนรู้จริงๆค่ะ เข้าใจที่ฉันพูดตลอดเลย น่ารัก

          “เอ่า! ฮึบ! ทอมตัวหนักขึ้นรึเปล่านะ โตวันโตคืนจริงๆน๊า หึ้ย หมั่นเขี้ยว~” แต่เหมือนพอเจ้าสก็อตติชโฟลด์ตัวกลมได้ยินคำว่า ‘ตัวหนักขึ้น’ มันก็แสดงทีท่าต่อต้าน ร้องตะแง้วๆ ขู่แฟ่เสียงดังจนริสะหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน

          “เฮ้อ~” ยูกะนี่ทาสแมวจริงๆนะ ไม่สิ…ต้องเรียกว่า ‘ทาสทอม’ ถึงจะถูก….

          “ยูกะ”

          “คะ?”

          “มานี่สิ” หญิงสาวผมสั้นเรียกคนที่กำลังโดนแมวงอน(?)ให้มาหาตัวเอง

          “มีอะไรหรอคะ?” สุไกเดินตรงไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่บนพรมหรูราคาแพงบริเวณพื้นห้องนั่งเล่น

          เหล่าแมวน้อยที่กำลังคลอเคลียวาตานาเบะเริ่มทยอยกันย้ายตัวเองออกไปนอนแผ่กันที่อื่นเหมือนพวกมันจะรู้ว่าเจ้าของเข้าโหมดอี๋อ๋อกันแล้ว อยู่ไปก็เกะกะเขา

          “มีอะไรติดหน้ายูกะน่ะ ก้มลงมาสิ”

          “เอ๋? ตรงไหนเหรอคะ”

          “ไม่ใช่ตรงนั้น ก้มลงมาสิฉันจะเอาออกให้” ริสะเอื้อมมือไปรั้งเอวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ๆ ทำทีท่าเหมือนกำลังเกลี่ยอะไรบางอย่างที่ติดหน้าของอีกคนออก แต่ที่จริงมันไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรติดอยู่บนหน้าของสุไกทั้งนั้นแหละ ก็แค่…

          จูบ…

          ฉันก็แค่อยากจูบเธอ แค่นั้นแหละ

          วาตานาเบะประทับริมฝีปากลงไปลงบนริมฝีปากของคนรัก หล่อนดูตกใจ ตอนแรกก็ทำอะไรไม่ถูก มือวางเอาไว้บนไหล่ของคนที่นั่งอยู่บนพรม ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนตักของเขาก่อนจะตั้งตัวได้แล้วจูบตอบกลับไป หล่อนโดนคนผมสั้นไล่ขบกัดริมฝีปากจนเจ็บ ริสะชอบกัดริมฝีปากของเธอทุกครั้งที่จูบกันเสมอ ครั้งไหนที่ไม่โดนกัดจะรู้ได้ทันทีว่าเขาอารมณ์ไม่ดี

          “อ่ะ ริ..สะ” ยูกะพยายามทักท้วงอีกฝ่ายแต่นั่นกลับเป็นการเปิดโอกาสให้ริสะช่วงชิงจูบของหญิงสาวไปอีกรอบ บดขยี้ให้มันรุนแรงมากขึ้น อยู่ด้วยกันมาก็นาน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าที่จริงสุไกชอบให้ทำอะไรรุนแรง

          “อ่ะ! อื้อ” ริสะแทรกลิ้นอุ่นร้อนเข้าไปเกี่ยวกวัดกับลิ้นนุ่มของอีกฝ่าย ยูกะที่ตอนแรกมีท่าทางขัดขืนตอนนี้กลับโอนอ่อนไปตามสัมผัสรุนแรงของอีกฝ่าย เล็บจิกลงบนไหล่ของเขาก่อนที่เธอจะโอบรอบคอของคนรัก ประคองใบหน้าของหญิงสาวผมสั้นเอาไว้ เสียงหอบหายใจจากจูบแสนยาวนานดังขึ้นเป็นระยะ

          “ยูกะ…” ในที่สุดวาตานาเบะก็ถอนริมฝีปากออกจากการจูบอันดูดดื่ม ให้โอกาสคนรักของเธอได้เอาอากาศเข้าปอดบ้าง ตอนนี้ใบหน้าของหล่อนแดงเรื่อแถมหลบสายตาของเขาใหญ่เลย

          “แฮ่กๆ ขี้โกงนี่คะ ทำไมอยู่ๆริสะก็…”

          “แต่ยูกะก็ชอบไม่ใช่เหรอ?” พูดยิ้มๆ

          “แต่ว่า คือ ฉัน…”

          “ยูกะลิปมันเลอะนะ…”

          “……..” แล้ววาตานาเบะก็จัดการลบรอยลิปที่เลอะของอีกฝ่ายด้วยริมฝีปากของตัวเอง ไม่ปล่อยโอกาสให้สุไกได้พูดอะไรต่ออีก ริสะคลายกอดที่เอวของหญิงสาวบนตักตัวเองออก ค่อยๆประคองร่างบางลงนอนราบกับพรมราคาแพงทั้งที่กำลังจูบกันอยู่อย่างนั้น กดข้อมือของหล่อนตรึงไว้กับพื้น

          ภาพตัดมาที่กลุ่มก้อนขนที่กำลังขดตัวกันอยู่ที่มุมห้อง มองเจ้าของทั้งสองด้วยสายตาหน่ายๆ พวกมันหันหัวมาสุมกัน เสียงงุ้งงิ้งๆที่มนุษย์ทั้งสองไม่ได้ยิน

          ‘อีกแล้วเรอะ…เจ้าพวกมนุษย์พวกนี้….’ ทอมพูดกับมารอน

          ‘นี่มันกลางวันอยู่ไม่ใช่เหรอ’ มารอนถอนหายใจ

          ‘บัดสีจริงๆ หยี.. แล้วทำไมเจ้านายไม่ขึ้นไปนอนบนเตียงล่ะ’ มิ้ลค์เอียงคอทำหน้าสงสัย

          ‘เจ้านายอาจจะเบื่อล่ะมั้ง’ พุดดิ้งตอบด้วยท่าทางเบื่อหน่าย พลางบิดขี้เกียจ ปลายหางฟูๆสีขาวสะบัดไปมา จบลงด้วยการเอาหางนุ่มนั่นปิดตาพุดดิ้งที่มองตาไม่กระพริบ

          ‘เปลี่ยนบรรยากาศว่างั้น?’ มารอนพยักหน้าหงึกหงัก

          ‘เจ้านายซื้อของมาให้พวกเราไม่ใช่เหรอ อยู่ไหนล่ะเนี่ย?’

          ‘นั่นสิ นายเห็นป่ะทอม มันคืออาหารรสที่พึ่งออกมาใหม่นี่ ว้าว อยากกินจัง’

          ‘แต่แฟนเจ้านายพึ่งเติมอาหารให้พวกเราไปเมื่อกี้เองนะ พวกนายไม่กินในจานให้หมดก่อนล่ะ’

          ‘โถ่ นี่เป็นโอกาสดีนะ ตอนเจ้านายยุ่งๆเนี่ย แอบไปชิมนิดหน่อยก็ได้นี่ เจ้านายไม่รู้หรอก’

          ‘นั่นสิ ฉันว่าเจ้านายต้องเก็บไว้ที่ห้องครัวแน่ๆ ไปกันๆ’ พุดดิ้งกระโดดไปมาอย่างตื่นเต้น

          ‘เร็วเข้า!!!’ แล้วบรรดาก้อนขนก็รีบวิ่งจู๊ดออกจากห้องนั่งเล่นไปทันที…


          หลังโมริยะและชิดะจัดการกับข้าวเที่ยง(ราเม็ง)กันเสร็จแล้วก็ออกมาเดินดูร้านค้าแถวๆนั้น มือกุมมือ โมริยะเป็นฝ่ายลากคนรักเข้าร้านนู้นร้านนี้ แต่ก็ไม่ได้ของติดมือกลับออกมาซักที เหมือนหล่อนกำลังหาอะไรอยู่ แต่ก็หาไม่เจอ เหมือนตอนนี้จะถอดใจไปแล้ว มานากะมองเธอเป็นระยะๆ กระชับมือให้แน่นขึ้นเพราะตอนนี้ผู้คนเริ่มเยอะขึ้นแล้ว กลัวว่าจะหลงกัน อากาเนะไม่ค่อยคุ้นกับทางแถวนี้เสียด้วย

ทีแรกชิดะกะว่าจะเดินเล่นแค่แป๊บเดียว แต่นานๆทีจะได้ออกมาเดทด้วยกันสองคนเลยพาเดินไปทั่วยันถึงบ่ายแก่ๆ อากาเนะก็ดูถูกอกถูกใจอยู่ แค่นี้ชิดะก็เบาใจว่าตัวเองจะไม่โดนโกรธโดนงอนอะไรหลังจากกลับถึงบ้านแล้ว

          “ไปไหนต่อดี?”

          “อืม..” หล่อนทำท่าทางครุ่นคิด มานากะกลัวใจเหลือเกินว่าจะเป็นเหมือนตอนก่อนหน้านี้ที่เถียงกันเรื่องข้าวเที่ยงแล้วจบลงที่เมนูง่ายๆอย่างราเม็ง

          “กลับบ้านก็ได้!”

          “บ้านใคร? เธอ? หรือฉัน?”

          “ก็บ้านมานากะไง ฉันไปค้างด้วยไม่ได้เหรอ” โมริยะทำตาปิ๊งๆ มั่นใจว่าได้ไปค้างแน่นอน

          “เห แต่ว่าฉันยังไม่ได้เก็บกวาดเลยนะ ตอนนี้มันรกมากเลยล่ะ จะดีเหรอ”

          “ไม่เป็นไร ช่วยกันเก็บก็ได้ ฉันยังไม่อยากกลับบ้านนี่”

          “เอางั้นเหรอ แน่ใจนะว่าเธอจะไม่อี๋น่ะ ฮะๆ”

          “โถ่ ฉันไม่รังเกียจหรอกน่า” หล่อนว่าพลางจิ้มแก้มของมานากะยิ้มๆ ปกติบางอาทิตย์เธอก็ไปค้างที่บ้านมานากะอยู่แล้ว รกมากๆยังช่วยเก็บมาแล้วเลย ดูสิที่เขาบอกคราวนี้จะรกขนาดไหนเชียว

          ส่วนมากมานากะก็แค่ทิ้งกระดาษเรี่ยราด เขียนแบบไม่ถูกใจทีไรก็ขยำแล้วปาทิ้งตลอด

          ไม่เคยเก็บไปทิ้งถังขยะกับเค้าซักที เฮ้อ จะขี้เกียจอะไรเบอร์นั้น

          อากาเนะก็ได้แค่คิดนั่นแหละ สุดท้ายเห็นอะไรรกๆก็เก็บไปทิ้งให้ตลอด แฟนที่ดี มานากะควรภูมิใจที่มีแฟนเอาใจใส่ตัวเองขนาดนี้นะ❤

          “อากาเนะเดินระวังๆหน่อยสิ ทำไมชอบเดินไปเล่นโทรศัพท์ไปแบบนี้ล่ะ อันตรายนะ” ชิดะขมวดคิ้ว พูดเสียงดุๆ(ที่นานๆทีจะทำ กลัวโดนทุบ) อยากจะแย่งเก็บโทรศัพท์ของอีกฝ่ายมาไว้กับตัวจริงๆเลย

          “ก็จับมือมานากะอยู่ ไม่น่าเป็นอะไรนี่นา” โมริยะตอบเสียงอ่อย ตาละห้อยเหมือนลูกหมา

          “มันก็ใช่ แต่ถ้าอากาเนะเดินคนเดียวล่ะคะ อย่าทำแบบนี้อีกสัญญากับฉันได้มั้ย”

          “อื้อออ..” หงอยไปเรียบร้อยแล้ว อากาเนะยอมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแต่โดยดี เดี๋ยวโดนดุอีก ที่จริงเธอจะเถียงอีกก็ได้ แต่ไม่ค่อยเห็นมานากะทำหน้าจริงจังขนาดนี้เลยแอบเกรงใจเบาๆ

          “ถ้าไม่มีมานากะคอยดูแลแบบนี้ฉันจะทำไงดีนะ”

          อ้าว ดราม่าเฉยเลยเว้ย..

          “หืม ก็ดูแลตัวเองไง อากาเนะทำได้อยู่แล้ว”

          “ไม่เอาไม่อยากพูดแล้ว รู้สึกไม่ดีเลย”

          “ยังไงเหรอ?”

          “ก็ฉันอยากให้มานากะคอยดูแลฉันนี่ ถ้าวันนึงไม่มีเธอ มันคง…”

          “เธอก็อย่าพูดสิ” ชิดะเชยคางหญิงสาวที่ตัวเล็กกว่าขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ตัวเองจะก้มลงจูบที่มุมปากของหล่อน ไม่จูบลงบนริมฝีปาก เหมือนหยอกเล่นเสียมากกว่า

          “ไหนมานากะบอกไม่ชอบให้ฉันแกล้งไง นี่เอาคืนหรอ?” ไม่พูดเปล่า มือนี่ไปแล้ว ฟาดลงบนต้นแขนของมานากะแรงๆซักทีสองที

          “ปะ เปล่า อย่าตีสิ โอ้ย! มือหนักจัง ฮือ เค้าล้อเล่นแค่นี้เอง”

          “น่าหมั่นไส้จริงๆมานากะเนี่ย หึยยย”

          “อย่าบีบแก้มเค้าสิ ฮือ เจ็บนะ”

          งุ้งงิ้งกันไปงุ้งงิ้งกันมาจนรู้ตัวอีกทีก็ถึงหน้าบ้านของมานากะซะแล้ว อากาเนะไม่จำเป็นต้องขอพ่อแม่ของอีกฝ่ายเพราะบ้านนี้หญิงสาวผมสั้นอาศัยอยู่คนเดียว มีเพื่อนที่ทำงานแวะมาค้างบ้าง แต่ก็คงไม่บ่อยเท่าเธอ ที่ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ก็จะมาค้างเสมอ อีกนิดก็แทบจะหอบเสื้อผ้ามาอยู่ด้วยแล้ว

          .

          .

          .

          .

          .

          “อืม รกจริงๆด้วยนะ นี่ไม่ได้ทำความสะอาดมากี่วันแล้วเนี่ย?” โมริยะพูดเสียงเรียบๆ มือคีบก้อนกระดาษที่ถูกชิดะขยำๆแล้วโยนทิ้งไว้ไม่ได้เก็บไปทิ้งขึ้นมา ถอนหายใจแรงๆ นี่มันรกกว่าคราวที่แล้วอีกนะเนี่ย…

          “อย่าพึ่งเหวี่ยงกันสิ ก็ไหนบอกจะช่วยกันเก็บไง โถ่ อากาเนะที่รักกก”

          “ทีแบบนี้อ้อนจังนะ ฉันไม่เข้าใจมานากะเลยจริงๆ กะอีแค่หยิบกระดาษพวกนี้ไปทิ้งขยะมันยากนักรึไง นี่กองเต็มพื้นห้องไปหมดแล้ว”

          “อย่าพึ่งบ่นเค้าสิ ก็ตอนที่หัวมันแล่นต้องรีบลงมือทำนี่นา จะให้ลุกไปเก็บกวาดก็ใช่เรื่อง เกิดไอเดียหายไปตอนนั้นทำไงล่ะ งานก็ไม่คืบหน้าสิคะ”

          “ข้ออ้างเยอะจริงๆ เฮ้อ~ แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็รกเฉพาะห้องทำงานกับห้องนอนล่ะนะ”

          “ก็เวลาคิดงานฉันก็เดินไปๆมาๆอยู่ 2 ห้องนี้แหละ แหะๆ มันก็เลยรกมากๆอยู่ 2 ห้องไง…”

          “……….”

          โมริยะกรอกตา เดินไปเก็บพวกขยะชิ้นใหญ่ๆทิ้งถังขยะก่อน มานากะก็ทำตัวเป็นแฟนที่ดีกับเขาหน่อย ช่วยหญิงสาวผมลอนเก็บกวาดพวกเศษกระดาษทิ้ง แต่บังเอิญ ระหว่างที่กำลังกวาดพวกเศษๆทิ้งหล่อนก็เจอแปลนงานที่ทำหายไป

          ‘อยู่ตรงนี้เองหรอกเรอะ…’

          ด้วยความที่ทั้งห้องทำงานกับห้องนอนของมานากะ ‘รกมาก’ ทำให้กว่าจะเก็บกวาดกันเสร็จตะวันก็แทบจะลับขอบฟ้าไปหมดแล้ว ดวงจันทร์กำลังจะขึ้นมาแทนที่ อากาเนะปาดเม็ดเหงื่อตามไรผมออก ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาในห้องทำงานของชิดะ ซึ่งเจ้าของห้องเองก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

          “ดื่มน้ำก่อนนะ ฉันบอกแล้วว่าบ้านฉันรกก็ไม่เชื่อ ขอโทษนะ”

          “อื้ม ขอบคุณนะ ก็ใครใช่ให้ทำรกล่ะ เพราะใคร ฮึ?”

          “จะพยายามไม่ทำรกอีกแล้วจ้า แหะๆ” สาวผมสั้นสีอ่อนหัวเราะแห้งๆ มองคนรักดิ่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่

          ‘เห้อ..รักจังเลย’

          “เหนียวตัวเลยอ่ะ แย่จัง มานากะฉันขอไปอาบน้ำก่อนนะ”

          “อ่ะ อื้ม ได้สิ ผ้าเช็ดตัวอยู่ในลิ้นชักเดิมนะ”

          “อืม แล้วจะให้ใส่ชุดนอนตัวไหนล่ะ”

          “จริงสิ อากาเนะตัวเล็กกว่าฉันนี่นะ…”

          “ไม่เป็นไรหรอก ใส่ตัวไหนก็ได้แหละ” โมริยะยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ หล่อนลุกออกจากโซฟา ค่อยๆแกะยางมัดผมที่เกล้าเอาไว้ตอนช่วยกันเก็บกวาดห้องรกๆ หยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป

          แต่ทว่า…หล่อนเข้าห้องน้ำไปได้ไม่นานก็ตะโกนเรียกชื่ออีกคนเสียงดัง

          “มานากะ!”

          “จ๋าาาาาา!?”

          “ยาสระผมหมดแล้ว ทำไงอ่ะ? มีสำรองมั้ย?”

          “เอ๋!? หมดแล้วเหรอ ฉันจำได้ว่าพึ่งเปลี่ยนขวดใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเองนะ แป๊บนะอากาเนะ”

          “อื้ม เร็วๆหน่อยก็ดีนะ”

          ชิดะลุกขึ้นไปหายาสระผมขวดใหม่ จะได้เอาไปให้อากาเนะ แต่แล้วความคิดแปลกๆก็แว้บเข้ามาให้หัว เขาลอบยิ้มกรุ้มกริ่ม พอหาเจอแล้วก็รีบเอาไปให้โมริยะตามที่เจ้าตัวบอก ดวงตาเจ้าเล่ห์ฉายแววสนุกสนานทันทีที่อีกฝ่ายเปิดประตูห้องน้ำออกมาเพื่อรับยาสระผมขวดใหม่ที่ตัวเองเอามาให้ ใช้โอกาสนี้แทรกตัวผ่านช่องว่างระหว่างประตูเข้าไปในห้องน้ำ

          “มานากะ!!!! ทำอะไรเนี่ย เข้ามาทำไม๊!?”

          “ก็เอายาสระผมมาให้อากาเนะไง” คิดว่าฉันไม่รู้หรอว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ คนเจ้าเล่ห์!!!

          “ออกไปเลยนะ ฉันจะอาบน้ำ”

          “ไหนๆก็เข้ามาแล้ว เค้าอาบด้วยไม่ได้เหรอคะ” คราวนี้เป็นตามานากะที่ใช้ลูกอ้อนบ้าง แถมตอนนี้เสื้อเขาก็เปียกน้ำไปแล้วด้วย ใช้เป็นข้ออ้างได้อย่างดีเลย

          “ให้ตายสิ! คนเจ้าเล่ห์! จะยอมให้สักครั้งก็ได้ เห็นว่าเปียกแล้วหรอกนะ” โมริยะหันหน้าหลบสายตาของชิดะที่มองเธอยิ้มๆอยู่ใกล้ๆ ดูท่าทางชิดะกำลังสนุกกับการปั่นหัวโมริยะไม่น้อย คนผมสั้นค่อยๆปลดกระดุมเสื้อที่เปียกลู่แนบกับลำตัวออกอย่างใจเย็น ราวกับแกล้งถ่วงเวลา เหมือนกับการถอดเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำมันยากเย็นเหลือเกิน ท้ายที่สุดโมริยะที่ยืนรออย่างสงบก็ทนไม่ไหว

          ทำไมชักช้านัก นี่คิดจะแกล้งอะไรกันอีกเจ้าเหมียวเจ้าเล่ห์ หนอย ฉันชักจะหงุดหงิดแล้วนะ!

          “มานา…กะ” หล่อนเอื้อมมือไปดึงปกเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้กว่าเดิมอย่างกระทันหัน ชิดะเหวอไปเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มออกมาได้อีกรอบเมื่อหญิงสาวลงมือปลดกระดุมเขาออกเองกับมือ คิ้วขมวดมุ่ยนั่นไม่ได้ทำให้เธอดูน่ากลัวขึ้นเลยในเวลานี้ กลับดูน่ารักแปลกๆ ราวกับเด็กน้อยที่โดนขัดใจ พอปลดกระดุมบนเสื้อออกจนหมด เสื้อผืนนั้นก็ถูกโยนลงตะกร้าผ้าไป ชิดะยังรู้สึกอยากแกล้งโมริยะต่ออีก เธอจึงจับมือโมริยะไปวางไว้ที่ขอบกางเกง พร้อมกับมองต่ำลงไปที่เอว…

          “ช่วยเค้าทีสิคะ”

          “มะ…ไม่! ไม่เอา” โอ้ยยยยยยย นังเหมียวนี่! ได้คืบจะเอาศอกนะ!

          โมริยะยืนนิ่งรอดูปฎิกิริยาของอีกฝ่ายว่าจะจัดการตัวเองเมื่อไหร่ แต่อีกฝ่ายก็ยืนยิ้มอยู่เฉยไม่กระดุกกระดิกเลย… มันหมายความว่าไงชิดะ มานากะ จะให้ฉันถอดให้จริงเหรอ!?

          แล้วสุดท้ายเธอก็ต้องยอม คนนิสัยไม่ดี ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ เมื่อจัดการกับเสื้อผ้าเจ้าปัญหาที่ทำให้เธอเสียเวลาไปหลายนาทีโดยไม่ได้ทำอะไรนอกจากยืนเฉย ดูเหมือนตอนนี้มานากะกำลังคิดจะทำอะไรอีกแล้ว เธอขยับตัวเข้ามาใกล้อากาเนะ นั่นทำให้อากาเนะต้องถอยหลังไปอีก แต่เนื่องจากพื้นที่ในห้องน้ำมีขนาดจำกัด ทำให้ถอยไปไม่กี่ก้าวหลังของหล่อนก็ชนเข้ากับผนังห้องน้ำเสียแล้ว อากาเนะลอบกลืนน้ำลายไม่รู้ว่าตัวเองจะโดนอะไรบ้างจากเจ้าเหมียวไม่รู้จักพอตัวนี้

          “มะ มานากะ ขยับเข้ามาทะ ทำไมคะ”

          “เดี๋ยวจะไม่สบายนะ อากาเนะมานี่สิ…” มานากะไม่รอช้าอย่างที่อากาเนะทำ มือเรียวปลดปมผ้าเช็ดตัวของหญิงสาวออก ไม่เสียเวลาหยิบมันไปแขวนด้วยซ้ำ หล่อนปล่อยให้มันกองอยู่ที่พื้น รั้งร่างบางที่กำลังออกอาการเหวออยู่เข้ามาแนบตัว ก่อนจะลงมืออาบน้ำให้คนรัก(?) ตามที่หล่อนได้ตั้งใจไว้

          จะหนีไปไหนที่รัก คุณหนีฉันไปไหนไม่ได้หรอก หึหึ


          “หืม ทุ่มนึงแล้วเหรอเนี่ย ไม่รู้ตัวเลย”

          “………”

          “ยูกะ ทุ่มนึงแล้ว ตื่นได้แล้ว” วาตานาเบะแตะมือลงบนไหล่เปลือยเปล่าของหญิงสาวคนรัก ปลุกหล่อนให้ตื่นไปทานข้าวเย็น อาบน้ำแล้วค่อยมานอนต่อ เพราะปกติยูกะเคยอดข้าวที่ไหน.. อีกอย่างเขากลัวหล่อนเป็นโรคกระเพาะ

          “หืม…ขออีก 5 นาทีนะคะ คุณเซบาสเตียน”

          “ฉันไม่ใช่คุณเซบาสเตียนนะยูกะ หืม ง่วงขนาดนั้นเลยเหรอ ตื่นมาทานอะไรก่อนนะค่อยนอนต่อ”

          “อา จริงสิ นี่อยู่ที่คอนโดนี่นา กี่โมงแล้วคะ”

          “ทุ่มนึงแล้วล่ะ งั้นเดี๋ยวฉันไปทำอะไรให้ทานนะ ยูกะนอนพักก่อนก็ได้ เดี๋ยวเสร็จแล้วฉันจะมาปลุกอีกรอบนะ จุ๊บ” สุไกพยักหน้าตอบเบาๆ ทำให้วาตานาเบะก้มลงประทับจูบที่หน้าผากมนของอีกฝ่ายก่อนลุกออกไป

          เจ้าของห้องเดินไปทางห้องครัว แน่นอนว่าที่ไหนมีริสะที่นั่นก็ต้องมีแก๊งก้อนขนฟูๆ(ที่ไม่มีทอม)เดินตามพันแข้งพันขาไปด้วย คนผมสั้นเดินไปดูชามข้าวของพวกแมวๆถึงได้เห็นว่าอาหารเม็ดในชามหมดเกลี้ยงแล้วเลยหยิบซองอาหารเปียกที่ยูกะเพิ่งซื้อมาจากร้าน Pet shop มาเทให้ใหม่ มื้อนี้ถือเป็นมื้อพรีเมี่ยมแล้วกัน…

          “เหมี๊ยว~ / มี๊~ / ม๊าว~” ดูท่าทางเจ้าพวกแก๊งหน้าขนจะดีใจมากที่ได้กินอาหารเปียกสูตรใหม่

          หลังจากต้องกินอาหารรสชาติเดิมๆมาเป็นเวลานานหลายเดือน ทั้งสามตัวดูเอร็ดอร่อยกับการกินมาก ยกเว้นทอม ที่ท่าทางจะยังไม่หิว(?) หรืออาหารรสใหม่นี้ไม่เป็นที่ถูกปากของมันกันนะ ริสะได้แต่คิดเงียบๆในใจ เหลือบมองทอมที่เดินไปหาเจ้านายสุดที่รักของมันในห้องนอน แทนที่จะมาล้อมวงกินอาหารเหมือนพี่ๆน้องๆของมัน

          ริสะผละตัวจากพวกหน้าขนไปทำอาหารให้คุณหนูบ้านสุไกบ้าง หล่อนคงเหนื่อยสะสมจากกิจกรรมเรียกเหงื่อเมื่อตอนกลางวันอยู่หน่อย คงต้องทำอาหารอ่อนๆให้ทาน จะได้ไม่จุกเกินไปด้วย

          “อืม..โจ๊กดีมั้ยนะ หรือข้าวต้มดี..” หล่อนพึมพำกับตัวเอง คิดไปคิดมาสุดท้ายก็เทใจมาทำโจ๊กไปให้แทน ทอมคงไม่มาแย่งยูกะกินใช่มั้ย..

          .

          .

          .

          .

          .

          “ยูกะ” เสียงของวาตานาเบะดังขึ้นข้างหูอีกครั้งพร้อมกับสัมผัสจากมืออุ่นๆของเขาที่ทาบลงบนไหล่ของเธอ หญิงสาวผมยาวยังแอบงอแงอยู่เล็กๆเหมือนจะยังนอนไม่พอ ริสะค่อยๆสอดมือเข้าไปช่วยประคองอีกฝ่ายขึ้นนั่ง สวมเสื้อคลุมให้เรียบร้อย พร้อมกับจูบลงบนแก้มของยูกะเบาๆ เธอจะได้ตื่นเต็มตาเสียที

          “ไม่งอแงสิคะ ทานโจ๊กก่อนนะ อ้าม ฉันป้อนนะ”

          “อ้ามมมม”

          “ง่วงอะไรขนาดนั้น ต้องหลับตาเคี้ยวด้วยเหรอ ฮะๆ โถ่ยูกะ”

          “คิก ไม่ได้เหรอ เค้าห้ามหลับตาเคี้ยวกันเหรอคะ”

          “เปล่าหรอก แต่มันตลกดี” น่ารักด้วย.. เขาคิด มือข้างที่ว่างไม่ได้ถือชามโจ๊กยีผมอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว นึกเอ็นดูคนอายุมากกว่าอยู่ไม่น้อย คนอะไร ทำอะไรก็น่ารักไปหมด

          “งืมมม อย่ายีผมฉันสิคะ”

          แล้วทั้งสองคนก็งุ้งงิ้งๆกันอย่างนั้นจนกระทั่งยูกะกินโจ๊กหมดชาม ริสะบอกให้คุณหนูตระกูลสุไกนั่งก่อนอย่างเพิ่งนอนเลย เดี๋ยวจะเป็นกรดไหลย้อนเอา ส่วนตัวเองก็เดินไปแช่ชามเอาไว้ ค่อยตื่นมาล้างอีกที

          ‘เจ้านายไม่สนใจผมเลย เพราะผู้หญิงคนนนั้นแท้ๆ หึ ขอให้เลิกกันไวๆ เชอะ!!!’ ทอมได้แต่คิดน้อยเนื้อต่ำใจ  ทำหน้าบึ้งแล้วเดินสะบัดตูดไปนั่งพองขนอยู่มุมห้องตัวเดียวเงียบๆ

          โถ่ ทอม ไม่น่าน้อยใจเลย ทั้งเจ้านายและคุณแฟนของเจ้านายคนนี้เนี่ยดูแลแกดีมากๆแล้วนะ ถ้าแกรู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แกจะไม่มีทางขอให้พวกเค้าเลิกกันแบบนี้หรอก เชื่อเถอะ…